[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ - ตอนที่ 35
วันรุ่งขึ้น วันจันทร์ต้นสัปดาห์
ผมไปโรงเรียนตามเวลาปกติและเตรียมตัวเข้าชั้นเรียนอย่างรวดเร็ว
ในห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจากทุกหนทุกแห่ง บรรยากาศเกรง ๆ ที่เคยมีตอนเริ่มเปิดเรียนได้หายไปทั้งหมด ในที่สุดก็เป็นสถานที่เหมาะสมกับคำว่า “โฮมรูม”
“วีส~ หัวหน้าห้อง”
“โอ๊ะ โย่ โทคิวะ”
จากนั้น “ตัวละครเพื่อนสนิท”—โทคิวะ เออิจิที่าเข้าเรียนหลังจากซ้อมตอนเช้าก็เข้ามาตบไหล่ทักทายผม
“อ้า หิวแล้ว กินข้าว ๆ”
“เดี๋ยวนะ นี่เลือกหมูทอดเป็นอาหารตั้งแต่เช้าเลยเรอะ…”
ข้าวกล่องเช้าที่วางอยู่ตรงที่นั่งข้าง ๆ นั้นอัดแน่นไปด้วยเนื้อทอดและไข่ ถึงจะชอบเนื้อสัตว์แค่ไหน ผมก็ไม่คิดว่าการกินอาหารหนัก ๆ ในตอนเช้านั้นมันจะเป็นเรื่องที่ดีหรอกนะ
“นี่เป็นของเหลือจากเมื่อวานน่ะ! แม่ก็เลยให้เอามาจากบ้าน”
“โอ๊ะ รู้สึกว่าที่บ้านของนายจะทำร้านอาหารชุดสินะ”
ผมรีบดึงข้อมูลจาก “บันทึกมิตรภาพ” ออกมาทันที เพราะนี่เป็นข้อมูลที่ได้มาจาก “อีเวนต์เดินอ้อม IV” ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ผมดึงข้อมูลนี้ออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา
“ใช่ ๆ แต่เมื่อวานนี้เราไม่ได้เปิดร้านหรอก อันนี้เป็นของเหลือที่ได้มาจากงานมุจินของพวกญาติ ๆ น่ะ”
“โฮ่…”
อนึ่ง “มุจิน” ที่ว่านั้นก็คือ งานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อดื่มหรือรับประทานอาหารซึ่งมักจะจัดกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนสนิท และในบางครั้งหากพวกเขาประหยัดได้ก็อาจมีพาสมาชิกไปเที่ยวด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นคำที่ไม่มีในจังหวัดอื่นด้วย นี่จึงเป็นธรรมเนียมเฉพาะที่มีในจังหวัดนี้เท่านั้น
ว่าแต่งานรวมญาติเหรอ ทุกวันนี่หายากนะ แต่บ้านโทคิวะก็มาจากชนบท ธรรมเนียมนี้ก็เลยยังมีอยู่ละมั้ง
“เอาเป็นว่าถ้าจะกินก็รีบกินเข้าเถอะ เยอะขนาดนั้นถ้าไม่รีบก็คงไม่หมดหรอกใช่ไหมละ”
“ก็ว่างั่ม ๆ ๆ”
โทคิวะเริ่มกินข้าวกล่องโดยที่ยังพูดไม่ทันจบ
“อ๊ะ หัวหน้าย่องก็อยากกินย่วยสินะ~”
จากนั้นโทคิวะก็ยื่นเนื้อจากตะเกียบส่งมาให้ผม
“ขอรับไว้แค่ความรู้สึกละกัน แล้วก็อย่ามา ‘อ้าม~’ กับผู้ชายด้วยกันสิ”
“เอ๋ แต่เมื่อวันก่อนนายก็เพิ่งทำตอนกินราเม็งมาเองไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่แล้ว ‘อ้าม~’ กับการแบ่งอาหารจากชามนี่มันต่างกันราวโลกกับสวรรค์เลยนะ”
คนละกรณีกันเลย คนละกรณี ทำงั้นไปนายจะโดนผู้หญิงแปลก ๆ เอาไปเมาท์นะ แบบ โทคิxนากะ อะไรแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะมีสาววายสวย ๆ อยู่ในห้องของเราหรอก!
พอเห็นโทคิวะเคี้ยวเนื้อทอดอย่างมีความสุข ผมก็เกิดรู้สึกเหงาปาก เลยหยิบหมากฝรั่งสำหรับแก้ง่วงชิ้นหนึ่งขึ้นมาเคี้ยว
“โทษนะ ฉันขอด้วยหนึ่งชิ้น”
“โอ๊ะ… อรุณสวัสดิ์ โทริซาวะ”
คนที่เดินผ่านพร้อมกับหยิบหมากฝรั่งไปหนึ่งเม็ดก็คือ “ตัวละครหนุ่มหล่อมากความสามารถ”—โทริซาวะ คาเครุ
เขาขยี้ตาอย่างง่วง ๆ คงอดนอนมาทั้งคืนอีกแล้วแหง ๆ
“วันนี้นายก็อยู่ถึงเช้าอีกแล้วเหรอ ช่วงนี้บ่อยเกินไปหรือเปล่า”
“ฉันยังแต่งเพลงไม่ทันเลยน่ะ… เหลืออีก 2 เพลง”
“สำหรับไลฟ์ครั้งหน้าเหรอ”
“แต่งเพิ่มให้ชมรมน่ะ ฉันถูกเขาขอให้ช่วยแต่งเพราะเพลงใหม่ของฉันกำลังฮิต”
โทคิวะตอบพร้อมกับหาวด้วยเสียงหล่อ ๆ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว MV เพลงใหม่ที่โทริซาวะทำคนเดียวทั้งเนื้อ ทำนอง แสดง และร้องที่ปล่อยบน YuuTube ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม และมีผู้เข้าชมมากกว่า 10,000 วิวภายในเวลาไม่ถึงวันหลังจากการอัปโหลด แต่ตรงคอมเมนต์เต็มไปด้วยคำว่า “หล่อ” นี่แหละที่เขาว่าคนหล่อก็มีปัญหาของคนหล่อ
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเกิดมีอะไรจะให้ฉันช่วยก็บอกได้เสมอ ต่อให้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพิมพ์โน้ตเพลงก็บอกมาเถอะ”
“โอ้…”
โทริซาวะเดินโซเซกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
หืม หายากนะที่เขาจะดูสะโหลสะเหลขนาดนั้น ฝืนตัวเองไปหรือเปล่านะ
“โทริงั่มง่า น่าเป็นงั่ม ห่วงนิดหน่อยนะงั่ม ๆ ๆ”
“นั่นน่ะสิ”
เอาเป็นว่าค่อยส่งมิน〇ดาฮะ (เครื่องดื่มแก้ง่วง) ให้เขาทีหลังละกัน
ในขณะที่ผมกำลังคิดเช่นนั้น
“อรุณสวัสดิ์จ้า นากาซากะคุง”
เสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากด้านหลังเหมือนกับระฆังใส
“นางเอกหลัก” ของแผนการผม—คิโยซาโตะ เมย์ ปรากฎตัว
“อรุณสวัสดิ์ คุณคิโยซาโตะ”
“ยุนหวาด เมย์จรวง~”
“อรุณสวัสดิ์เช่นกันจ้า โทคิวะคุง ข้าวกล่องดูน่าอร่อยตั้งแต่เช้าเลยเนอะ”
เธอส่งยิ้มราวกับนางฟ้าตามปกติ
“นากาซากะคุงเคี้ยวมันฝรั่งเหรอ หรือว่าเธอง่วงเหรอ”
“อ๋อ พอมองไปที่ข้าวกล่องของโทคิวะแล้วมันก็เกิดนึกขึ้นมาว่า ‘เราไม่มีอะไรกินเลยนี่’ แล้วก็กลายมาเป็นแบบนี้นี่น่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ เข้าใจความรู้สึกเลย อ๊ะ ฉันมีบิสกิตอยู่นะ เอาหน่อยไหม”
“เอ๋ จะดีเหรอ”
“อื้ม ชิ้นละร้อยเยน!”
“ไม่ได้แพงเลยนี่!”
หนำซ้ำยังเป็นราคาที่จับต้องได้ด้วย โหดร้ายมาก!
“เมื่อวานฉันซื้อหนังสือจนกระเป๋าโบ๋ไปแล้วน่ะ เพราะงั้นนี่เลยเป็นของหรูสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของเดือนนี้”
“โห งั้นเหรอ… งั้นถ้าเกิดเปย์ (ปาซูเปอร์แช็ต) สักหน่อยก็คง…”
“ฮ่า ๆ ๆ ก็ต้องล้อเล่นอยู่แล้วสิ! แต่ถ้าเกิดเธออยากโดเนทฉันก็จะรับไว้นะ”
คุณคิโยซาโตะคุ้ยกระเป๋านักเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เธอหยิบกล่องบิตกิตออกมาจากข้างในกระเป๋า และเปิดกล่องออก ทำให้เห็นซองขนมที่มีห่อละสามชิ้น
“เอ้า เชิญเลยจ้า ฉันเพิ่งซื้อมาสด ๆ ร้อน ๆ เลยนะ”
“บิตกิตที่เพิ่งซื้อ? แถมยังไม่ใช่ชิ้นเดียวอีก จะดีเหรอ”
“อื้ม ฉันกินไม่หมดกล่องน่ะ เดิมทีว่าจะแบ่งให้คนอื่นอยู่แล้วละ”
ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้า เธอเอียงหัวเล็กน้อย แล้วยื่นกล่องที่วางอยู่บนมือทั้งสองข้างให้ผมอย่างเบามือ
อา ท่าทางแบบสองมิตินั่นมันน่ารักชะมัด… เลิฟเลย…
ผมขอบคุณเธอและหยิบมา แล้วรีบเปิดห่อดูทันที
คุณคิโยยิ้มอีกรอบ จากนั้นก็เก็บกล่องแล้วเดินไปจากที่นั่งของผม
แหะ ๆ วันนี้คุณคิโยซาโตะก็ทำตัวเป็น “นางเอก” ตามธรรมชาติอีกแล้ว ทั้งยิ้มแย้มแล้วก็เป็นห่วงคนอื่นเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถพูดคุยโดยไม่ทำให้คนอื่นอึดอัดได้อีก น่าทึ่งชะมัด มิหนำซ้ำยังปรับตัวเข้ากับเพื่อนทุกคนในห้องได้อีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
—ตอนเข้าไปคุยกับก๊วนหนุ่มโอตาคุพูดมาก
“อ๊ะ ดีเด้อ ๆ คุณคิโยซาโตะ”
“อรุณสวัสดิ์เด้อ อานายามะคุง~ อ๊ะ เดี๋ยวฉันคืนการ์ตูนที่ยืมไปเมื่อวันก่อนให้นะ”
“เป็นไงบ้าง ๆ ในบรรดาการ์ตูนแนวต่อสู้ผมยกให้มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยนะ”
“อื้ม สนุกมาก! ตอนสู้ในนรกมันเจ๋งจนขนลุกไปหมด ฉันชอบคนผมเปียมากเลยละ”
“เข้าใจดีเลยนี่! งั้นคราวหน้าถ้าเกิดมีเรื่องแนวนี้ในนิตยสารอีกผมจะเอามาแนะนำให้นะ”
—ตอนเข้าไปคุยกับสาวชมรมกีฬาที่ดูเป็นหัวหน้าก๊วน
“เมย์ มีลูกเทนนิสหล่นอยู่หน้าห้องชมรมเรานะ ฉันบอกให้เธอเก็บให้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“อ๊ะ อิซึมิ! ขอบคุณที่เก็บให้นะ! สงสัยมันคงหล่นมาจากในตะกร้ามั้ง”
“ถ้ายัดเข้าไปเยอะ ๆ มันก็ต้องร่วงอยู่แล้วสิ เธอสะเพร่าไปนะ”
“โอ้ ฉันอยู่ในวัยที่อยากทำให้มันเสร็จ ๆ ไปในรอบเดียวน่ะ ก็สนามเทนนิสมันอยู่ไกลนี่นา”
“นี่เธออายุเท่าไหร่กันน่ะ”
—ตอนเข้าไปคุยกับหนุ่มขี้หลีที่มักจะทำท่าทางเจ้าชู้
“โอ้ เมย์จัง! วันนี้ดูน่ารักตั้งแต่เช้าเลยนะ!”
“อิเดะคุงก็ดูหล่อตั้งแต่เช้าเหมือนกันนะ!”
“แหม ก็เหมือน ๆ เดิมนั่นแหละ หรือว่าฉันจะดูต่างไปจากเดิมงั้นเหรอ”
“เธอจัดทรงผมใหม่นี่! ดูดีมากเลยจ้า กู๊ดจ็อบ!”
“โอ้ เอาจริงดิ!? สุดยอด นี่เมย์จังเห็นด้วยเหรอเนี่ย!”
“ฮ่า ๆ ๆ ก็ต้องเห็นสิ ถ้าดูดี ๆ ก็เห็นได้ทันทีนั่นแหละ”
ก็ประมาณนี้แหละ
มีเพียงคุณคิโยซาโตะคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเป็นมิตรกับ
คุณคิโยซาโตะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้ากับทุกคนได้ และสามารถโต้ตอบกับเพื่อนในห้องทุกคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ หนำซ้ำยังไม่หยิ่งทะนงหรือว่าถือตัวด้วย ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบมาก
“เมย์จังนี่สุดยอดเลยเนอะ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เข้ากับคนได้ไปหมด”
จู่ ๆ โทคิวะก็พูดออกมาในขณะที่วางตะเกียบ
ใช่ ถูกต้องที่สุด
ไม่ว่าเธอจะคุยกับใคร หรือว่าจะคุยกับก๊วนแบบไหน เธอก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกคนได้หมด
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้แม้เธอจะมีรูปร่างดีหรือว่าตรงสเปกผู้คนมากเท่าไหร่ เธอก็ยังดูไม่โดดเด่นด้วยเหตุผลบางอย่าง บางทีคงเป็นเพราะเธอกลมกลืนเข้ากับทุกกลุ่ม ทำให้รู้ตัวอีกทีตัวตนของเธอก็จางหายไปหมด
ให้ยกตัวอย่างก็คงเป็น “อากาศ” ที่เรารู้ว่ามีอยู่จริง แต่ก็มักจะไม่สังเกตเห็น
“โทษค่า~ ช่วยถอยไปหน่อยได้ไหมคะ รุ่นพี่”
ทันใดนั้นเสียงบาดหูก็ได้ดังเข้ามาจากด้านข้างผม
…โธ่เว้ย
ไอ้แบบนี้นี่มันเดจาวูชัด ๆ
“…ไง คัตสึนุมะ อรุณสวัสดิ์นะ”
“ชิ ไม่ได้ยินเหรอค้า~ ก็บอกแล้วไงว่าขวางทาง”
หลังจากจงใจเดาะลิ้นให้ได้ยิน เธอก็กอดอกแล้วมองลงมาที่ผมอย่างหงุดหงิดใจ
ผมทองยาวดัดเป็นลอน แต่งหน้าได้สมบูรณ์แบบ เครื่องแบบยับยู่ยี่ไม่เรียบร้อย คำพูดคำจาไม่สละสลวยเหมือนไม่ได้ผ่านการกรอง
ค่าเลิฟคอมเมดี้ E “ผู้ไม่เหมาะสม”—คัตสึนุมะ อายูมิ ปรากฏกาย
ผมถอนหายใจ
ช่วงนี้เห็นเงียบไปแล้วแท้ ๆ นี่ยังจะมาวอแวกับเราอีกเหรอเนี่ย เข้ามาหาแบบซ้ำ ๆ ซาก ๆ น่าเบื่อชะมัด
“ถึงจะบอกว่าขวาง… แต่นี่มันที่นั่งของฉันอยู่แล้วนะ”
“หา แล้วไง ก็บอกว่าให้นายหลีกเพื่อให้ฉันคุยกับเออิจิไง”
หน้าหนากว่านี้มีอีกไหม!?
“เห็นไหม นี่ฉันขอนายแบบสุภาพเลยนะ แล้วทำไมฉันต้องมาใช้ภาษาสุภาพในห้องตัวเองด้วยนะ โคตรเห่ย”
ฉันไม่ตบมุกให้เธอหรอกนะ ยัยเวรเอ้ย!
ในระหว่างที่ผมกำลังคิดตอบโต้ท่าทางหยิ่งผยองนั้น โทคิวะก็ได้เข้ามาพูดแทรกด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อายูมิ ฉันก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้น่ะ ไอ้ท่าทีแบบนั้น”
“อะไรกันเล่า! จะกี่รอบต่อกี่รอบเออิจิก็เข้าข้างไอ้หมอนี่อยู่ตลอด!”
“ก็บอกว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าศัตรูหรือมิตรมันไร้สาระยังไงละ”
“อ้า ไม่เป็นไรหรอก ๆ เดี๋ยวฉันไปยกชีทที่คุณครูขอไว้มาให้เอง”
ผมถอนหายใจอีกรอบแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
อีหรอบนี้ต่อให้ผมพูดอะไรไปก็คงจะให้ผลตรงกันข้าม วิธีที่ดีที่สุดจึงเป็นการเดินหนีออกมาจากจุดนั้น
คัตสึนุมะเดาะลิ้นดัง “ชิ” อีกครั้ง แล้วนั่งลงบนโต๊ะที่ผมจากมา
เฮ้ย นี่ตัวปัญหาหายไปแล้วนะ อย่างน้อยก็ควรนั่งลงบนเก้าอี้สิฟะ
“ไปก่อนนะ โทคิวะ”
“รีบไปสิยะไอ้เวรโรนิน เหม็นกลิ่นปลาหมึก”
“ปลาหมึ…”
เป็นคำด่าที่เลวร้ายที่สุดเลยโว้ย! อย่างน้อยก็เรียกว่าพวกซิงสิฟะ อย่างน้อยมันก็ยังอยู่ในเกณฑ์เลิฟคอมเมดี้นะ
ผมเดินออกไปจากห้องเรียนด้วยความเวียนหัว พร้อมกับคิดว่าจะลดทักษะการพูดยัยนี่ลงไปอีกขั้น
ทันใดนั้นความอึกทึกครึกโครมก็เริ่มสงบนิ่ง