[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 61 Volume 3 Chapter 2 ภารกิจใหม่ Part 4
- Home
- [LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก
- ตอนที่ 61 Volume 3 Chapter 2 ภารกิจใหม่ Part 4
Part 4
ณ พระราชวังหลวงเวเนซีน (T/N:เปลี่ยนอีกแล้วโว้ย) แต่บางคนก็มีพื้นที่เป็นของตัวเองในพระราชวัง ทางด้านตะวันออกอันกว้างใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยและเป็นสนามฝึกสำหรับ “อัศวินสิงโตทองคำ” ชั้นยอดของกองทัพจักรวรรดิที่หนึ่ง เป็นสถานที่มีการจำลองการต่อสู้เป็นประจำและได้ยินเสียงดังสั่นสะเทือนอากาศตลอดทั้งวันราวกับว่าพวกเขากำลังระบายความโกรธ
พวกเขายังเป็นอัศวินภายใต้การควบคุมโดยตรงของจักรพรรดิ แต่ไม่ได้ยกเว้นเรื่องการออกสำรวจทางทหาร พวกเขาทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงในยามสงบ
ยังไงก็ตาม มหาจักรวรรดิไม่ได้เผชิญกับสงครามมาเกือบสองร้อยปีแล้ว จากนั้นไม่ว่าพวกเขาจะฝึกมาดีแค่ไหน แต่มันก็ถดถอยลงเรื่อยๆ ไม่น่าแปลกใจที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดประสบการณ์ต่อสู้จริง สิงโตที่ไม่รู้วิธีล่าสัตว์ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
เพราะแบบนั้นจักรพรรดิจึงใช้ “การสำรวจทางการทหาร”เพื่อเตือนสิงโตให้นึกถึงการล่าสัตว์โดยปล่อยพวกเขาสู่ป่า
อย่างที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้
ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าสิงโตที่ถูกปล่อยออกจากกรง ราชันจะไร้ซึ่งผู้ต่อกร
นี่คือเหตุผลที่สร้างความย่ำเกรงในสนามรบ
ทุกวันนี้เขาใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกฝนเพื่อเอาชนะศัตรูที่พวกเขาไม่เคยได้เห็น มีคนหนึ่งกำลังดู “อัศวินสิงโตทองคำ” เขามีผมสีทองเหมือนสิงโต และผมสั้นที่เหมือนกับแผงคอ เสื้อผ้าของขุนนางหลวมๆของเขาซ่อนกล้ามเนื้อที่พัฒนาอย่างดี แต่ไม่ได้ปกปิดออร่าขมขู่ที่ปลดปล่อยออกมา
เขาคือเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง เรนฮาร์ต แซทโทเบล ฟอน แกรนท์ ซึ่งกำลังถูกกักบริเวณ
“ดูเซ็งๆนะครับ”
คนที่พูดแบบนั้นไม่ใช่แซทโทเบล แต่มีคนที่มาจากด้านหลังคือ เทรย์ ฟรีเอน ฟอน โลอิ่ง
“ขอกระผมนั่งข้างๆได้ไหมครับ?”
แซทโทเบลไม่ได้กล่าวอะไร โลอิ่งจึงนั่งลง นายพลที่ชราแล้วอายุห้าสิบเจ็ดปีในปีนี้ แต่เขามีบรรยากาศเยาว์วัยซึ่งทำให้ยากที่จะเชื่อ
“ข้าคิดว่าหลานสาวของเจ้าพึ่งอายุครบรอบนี่ มาอยู่ที่นี่จะดีรึ?”
โลอิ่ง มีลูกชายหนึ่งคน และลูกชายที่มีลูกสาวก็เป็นหลานสาวของเขาพึ่งอายุครบปีเมื่อวานนี้
“ก็โดนกักบริเวณอยู่นี่ครับ เช่นเดียวกับฝ่าบาทแซทโทเบล กระผมจะไปเข้าร่วมงานฉลองได้เช่นไรครับ?”
“หืมมมมมม ไม่เห็นมีใครจะบ่นกับนายพลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้หรอกมั้ง”
เมื่อแซทโทเบลดมกลิ่นและพูดโลอิ่งก็ลูบเคราด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“ภรรยาของผม เธอปฏิเสธกระผมที่จะทำอะไรที่มันสร้างประสบการณ์แย่ๆแก่หลานสาวน่ะครับ.”
“เพราะแบบนั้นเลยอยากไปทำงานที่ทางใต้มากกว่างั้นเหรอ?”
โลอิ่งพยักหน้ากับคำพูดของแซทโทเบล ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะปฏิเสธการเข้าร่วมงานฉลอง โลอิ่งเป็นผู้บัญชาการของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ แต่เขาเสียตำแหน่งนั้นเช่นเดียวกับการโดนกักตัวในตอนนี้
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นบ้านเกิดเขาอยู่ทางตอนใต้————เขายังเป็นขุนนางทิศใต้
อิทธิพลของเจ้าชายลำดับที่สี่และเจ้าหญิงลำดับที่หกกำลังเติบโตมากขึ้นทุกวัน ถึงกระนั้น หัวหน้าตระกูลโลอิ่งก็สนิทกับเจ้าชายแซทโทเบล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเจ้าชายส่วนกลาง
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลโลอิ่งอาจรู้สึกว่าจะอยู่ฝ่ายเล็กๆมากกว่า แต่มันจะกลายเป็นความจริงหากตระกูลมูซุก ซึ่งรวมขุนนางเข้าด้วยกัน
“แต้ถ้าเจ้าได้คุยกับเธอ เธอก็อาจจะได้ย้ายมาที่ส่วนกลางก็ได้นะ?”
แต่นายพลชราส่ายหัว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ติดขัดเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะยากลำบากที่จะพูด
“เป็นเพราะ หลานสาวของกระผมชื่นชมเจ้าหญิงลำดับที่หก เซเลีย เอสทรีย่าครับ.”
แซทโทเบยเข้าใจแล้ว นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมมันอาจเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของเธอ กล่าวอีกนัยหนึ่งเธออยากจะเข้าทำงานที่ป้อมปราการเบิร์กที่เจ้าหญิงลำดับที่หกอาศัยอยู่
ดูเหมือนว่าลักษณะของเธอจะคล้ายกับนายพลคนนี้เธอต้องการสนับสนุนคนที่ชอบ
“ความจริงที่ว่าเธอเองก็ชอบตกทุกข์ได้ยากก็ได้มาจากเจ้าใช่ไหมเนี่ย ดังนั้นเธอน่าจะมั่นใจในทักษะมากแน่ๆ.”
“เฉพาะด้านบุคลิกภาพใช่ครับ……แต่ว่าเค้าโครงร่างกายไม่ใช่ครับ.”
รูปร่างหน้าตาไม่ได้เหมือนเขา แต่โลอิ่งก็พูดอย่างมีความสุข แซทโทเบลเองก็เห็นด้วย เขารู้ดีว่าโลอิ่งกำลังคิดอะไรอยู่ หากนายพลคนนี้เป็นผู้หญิง มันคงไม่เพียงไม่น่าดูเท่านั้น ดูเหมือนสัตว์ประหลาดเสียมากกว่า
โลอิ่งยกแขนขึ้นราวกับว่าเขากำลังถือดาบ หลังจากถอนหายใจเขาก็ฟันมันไปบนท้องฟ้า
“มีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกระผม เธอไม่สามารถถือดาบได้ ดูเหมือนว่าเธอต้องการจะเป็นข้าราชการมากกว่า”
“…เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้วเกี่ยวกับเรื่องหลานสาวของเจ้า”
พอแล้วกับการพูดคุยเรื่อยเปื่อย แซทโทเบลพูดธุระออกมา
“ถ้างั้นมาคุยธุระกันเถอะ เจ้าคงไม่ได้มาเพราะอยากคุยเรื่องหยุมหยิมแค่นั้นใช่ไหมล่ะ?”
นายพลคนนี้ไม่เคยเข้าหาเขาด้วยเรื่องส่วนตัว
“ก็หวังว่าจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของท่านได้บ้าง…”
“เออก็ช่วยได้มากเลย”
“งั้นเหรอครับ?”
หลังจากพูดเช่นนั้น โลอิ่งก็กลับไปทำสีหน้าปกติ และก็แสดงท่าทางเหมือนนายพลผู้ยิ่งใหญ่ บรรยากาศเปลี่ยนไปเกิดความตึงเครียดบดขยี้ความร่าเริงให้หายไป
จิตวิญญาณอันสูงส่งของโลอิ่งกระตุ้นผิวของแซทโทเบลราวกับกำลังจะลุกไหม้
“ดูเหมือนว่าจะมีการเคลื่อนไหวน่ารำคาญเกิดขึ้นที่อาณาจักรเลเบอริ่ง”
“ใครเป็นคนเคลื่อนไหวละ?”
“ดูเหมือนว่ามกุฏราชกุมาร เฟราส์(Fraus) กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ครับ”
“หืม ไอ้คนไร้ความสามารถนั่นอะนะ.”
เมื่อประมาณสองปีที่แล้วเขามีโอกาสได้พูดคุยกับมกุฏราชกุมารเฟราส์ครั้งหนึ่ง
มันมีจิตใจที่ชั่วช้า แม้สีหน้าจะถูกปกคลุมไปด้วยความสดใส แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในคือความคิดที่ชั่วร้าย แม้ว่าจะไม่เลวร้ายเท่าพวกราชวงศ์แกรนท์ ราชวงศ์เลเบอริ่งเองก็มีปัญหาของตัวเองเช่นกัน
“อย่างไรก็ตาม ผู้ไร้ความสามารถนั้นไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น จะเป็นการดีที่สุดที่คิดว่าพวกมันมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็อย่างที่บอกเจ้าได้ข้อมูลมาจากไหนล่ะ?”
“[นิรนาม] ปรากฏตัวที่บ้านพักเดี่ยวของกระผมเมื่อวาน”
“ไอ้หมอนั่นเองเรอะ…”
แซทโทเบลเดาะลิ้น
“นิรนาม” เป็นชายจากเผ่าหูยาวที่กล่าวกันว่าแซทโทเบลพึ่งเพิ่มเขาเข้ามาในฐานะข้าราชการ
เขาไม่เคยเอ่ยชื่อของตัวเองออกมาและไม่ทราบที่อยู่ของเขา เขาจะปรากฏตัวในการประชุมทางทหาร ให้คำแนะนำ แล้วก็จากไป ทุกๆสิ่งที่ทุกคนรู้คือแซทโทเบลพยายามทำให้เผ่าหูยาวเป็นข้าราชการของเขา นั่นคือสิ่งที่ผู้คนคิด
มันลำบากเกินไปที่จะปฏิเสธเพราะงั้นเลยปล่อยข่าวลือแบบนั้นไป
“ข้าไม่ค่อยเชื่อใจมันเท่าไหร่ แต่พวกเราควรไว้ใจมันในเรื่องงานใช่ไหม?”
แซทโทเบลพูดด้วยความหงุดหงิดและโลอิ่งพยักหน้าขณะครุ่นคิด
“ไม่มีอะไรผิดปกติจากข้อมูลที่ได้รับมาจาก “นิรนาม”.”
“ช่างเรื่องนั้นไปก่อน พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เพราะถูกกักบริเวณ ตอนนี้พวกเราทำแค่ได้ดูจากข้างสนาม.”
“นั่นก็จริง แต่ก็ไม่มีอะไรน่าหงุดหงิดไปกว่าที่รู้และทำอะไรไม่ได้เลย.”
“ไอ้แก่เจ้าเล่ห์นั่น————-จักรพรรดิมันน่าจะได้ข้อมูลไปแล้ว.”
เป็นการยากที่จะหลอก “วายุ” ของจักรพรรดิ มิฉะนั้นแซทโทเบลจะไม่ถูกกักขังในบ้านอย่างเงียบๆ แซทโทเบลพูดด้วยความขยะแขยง
“แต่การกักบริเวณก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ตอนนี้สามารถทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ.”
“แบบนั้นไม่อันตรายเกินไปหน่อยเหรอครับ การเฝ้าระวังขององค์จักรพรรดิน่ะ?”
“ไม่ว่าใครก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ไม่มีใครหยุดข้าได้เมื่อข้ารู้เรื่องแล้ว.”
แซทโทเบลลุกขึ้นยืนและมองไปที่พระราชวังซึ่งกำลังจัดงานเฉลิมฉลองของเจ้าชายลำดับที่สี่และเจ้าหญิงลำดับที่หก
“แต่ว่าการโดนรบกวนเองก็ลำบากเช่นกัน สงสัยข้าต้องเล่นไม้แข็งสักหน่อยแล้ว”
จากนั้นแซทโบเบลก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทางตะวันตก
“เข้าใจแล้วท่านพยายามจะสร้างชื่อให้กับตัวท่าน ถ้างั้นกระผมจะช่วยท่านสักหน่อย”
ฮิโระและลิซกำลังสะสมความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เจ้าชายลำดับที่สามก็ดูเหมือนจะพยายามอย่างหนักที่เฟลเซ็น
“จะปล่อยให้ฝ่ายนั้นทำแต้มได้ฝ่ายเดียวได้หรอกเว้ย มันไม่มีทางที่จะไร้พ่ายหรอก ไม่มีใครไม่เคยพลาด”
มีทางเดียวเท่านั้นที่ไปข้างหน้าสำหรับมหาจักรวรรดิแกรนท์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับพระอาทิตย์ขึ้นและดวงจันทร์ที่ตกดินไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
***
ฮิโระและคนอื่นๆกลับมายังพระราชวังเมื่อท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดง ขณะนี้พวกเขาอยู่ในห้องของลิซในพระราชวังซึ่งมีผู้หญิงสองคนกำลังเตรียมตัวอยู่
“ลิซ โรซ่า ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”
ฮิโระถามและผู้หญิงทั้งสองคนก็กะพริบตา
“นั่นควรเป็นฝ่ายเราที่ต้องถาม.”
โรซ่าที่กำลังเดือด นิ้วบางๆของเธอถูกปกคลุมไปด้วยแหวนที่ฮิโระมอบให้เธอ
ตรงกลางของแหวนเป็นคริสตัลที่ด้อยกว่าอัญมณี อย่างไรก็ตาม เมื่อโรซ่าสวมใส่คู่กับชุดเดรสสีแดง มันก็เปล่งประกายยิ่งกว่าอัญมณีเป็นไหนๆ
“อืมมม ฉันคิดว่าฮิโระน่าจะเป็นคนที่ต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ”
ลิซปัดผมด้านข้างของเธอไปด้านหลังพร้อมกับยิ้มเจื้อนๆ
เธอสวมชุดที่ไม่ใช่เครื่องแบบทหาร ซึ่งเธอไม่ค่อยคุ้นชิน เป็นชุดสีดำขอบสีแดง และรอบคอเธอมีสร้อยคอที่ฮิโระมอบให้
“ไม่หรอก ชั้นเองก็เตรียมพร้อมแล้วไปกันเถอะ?”
สาวๆต่างจ้องมองอย่างเย็นชา และฮิโระก็ต้องถอยหลัง
“เดี๋ยวก่อนนะ นายจะไปทั้งๆที่สภาพแบบนั้นเนี่ยนะ?”
“อย่างน้อยก็หวีผมให้มันเป็นทรงหน่อยไม่ได้หรือไงเนี่ย?”
ทั้งสองคนถอนหายใจด้วยความเสียใจอย่างมากลุกขึ้นจากเก้าอี้และเข้าหาฮิโระ กลิ่นหอมหวานโชยเข้ามาในจมูกของฮิโระ ลิซและโรซ่าก็เริ่มเล่นกับเขาตามต้องการ
“จะใส่แบล็คคามิเลียก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ปัญหาคือกลิ่นของนาย ในงานเลี้ยง พวกขุนนางสาวทั้งหลายจะเข้าหานาย ดังนั้นช่วยทำตัวให้มีเสน่ห์ดึงดูดสาวๆมากกว่านี้อีกได้ไหม เพราะนายต้องการกำลังซัพพอร์ตจากพวกเธอนะ”
ขณะที่โรซ่าบ่น เธอก็เดินจากฮิโระและเริ่มค้นกล่องใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็กลับมาพร้อมน้ำหอมหลายขวด
“ควรจะฉีดน้ำหอมตามเทรนด์ดีไหมนะ? ไม่สิ พวกเธอคงจะไม่ชอบหรอกมั้ง”
ถัดจากโรซ่าที่ถามตอบกลับตัวเอง ลิซกำลังเอื้อมมือไปลูบผมด้านข้างของฮิโระ
“หืมมมมมม ไอ้ผมหยักนี่……..ลำบากจังแฮะ.”
“ไม่มีเวลามาเป่าผมให้แห้งแล้ว เพราะงั้นฉีดน้ำลงบนผมเขาเลย”
โรซ่าพูดด้วยความผิดหวังหลังจากเห็นรูปลักษณ์ของฮิโระ เมื่อเธอเลือกน้ำหอมเสร็จแล้ว
จากนั้นโดยไม่พูดอะไรเธอพลิกเสื้อโค้ทของฮิโระขึ้นเผยให้เห็นหน้าท้องกระชับของเขาและนำปลายขวดน้ำหอมมาฉีดรอบเอวของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆกระตุ้นรูจมูกของเธอ และผสมปนในอากาศ
จากนั้นโรซ่าก็นำหน้าของเธอไปใกล้อกของฮิโระ
“ด้วยเหตุนี้จะไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมา อืมกลิ่นหอมดีมากเลยล่ะ อย่างที่คาดไว้น้ำหอมเอเวอร์รีนนี่ดีจริงๆ”
หลังจากดมกลิ่นฮิโระสักพักโรซ่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ถ้ามีใครถามว่าน้ำหอมได้มาจากไหนให้บอกพวกเขาว่ามาจาก “ไซเลนต์” ของเอเวอร์รีน อิชทาร์ก”
รอยยิ้มของเธอพร้อมกับใบหน้าของเธอที่คำนวณเรื่องต่างๆหวังจะสร้างกำไรจากงานในครั้งนี้
ฮิโระยิ้มเล็กน้อยแล้วยักไหล่
“จะจำเอาไว้นะ”
จากนั้นเขาก็มองลิซที่อยู่ด้านข้าง
“เอาล่ะ เป็นทรงเรียบร้อยแล้ว”
หลังจากได้ยินลิซบอกเช่นนั้น ฮิโระก็ลูบผมของเขาและผมที่เคยหยักศกมาจนถึงตอนนี้ก็ถูกปัดไปทางด้านขวาอย่างเรียบร้อย ซึ่งสร้างบรรยากาศแปลกประหลาดที่รวมเข้ากับผ้าปิดตาของเขา
“อุมุ แบบนี้แหละเยี่ยมเลย หล่อมาก จะเป็นการดีที่สุดถ้านับจากนี้ไว้ผมทรงนี้ต่อไป”
โรซ่าวางมือบนแก้มของเธอและมองเขาอย่างหลงใหล
“ช่าย ช่าย ฉันเองก็บอกหลายครั้งหลายหนแล้วว่าไว้ทรงนี้ดูดีสุดแล้ว.”
ลิซเองก็พูดอย่างมีความสุข และเธอก็เข้าไปเกาะแขนพี่สาว
“ฟุฟุฟุ เหมาะกับเขามากเลยเนอะ!”
“อืม เฝ้ารองานเลี้ยงคืนนี้ได้เลยรับรอง สาวๆเข้าหาไม่พัก.”
ภาพของสองพี่น้องที่สนิทกันดีทำให้คนอื่นยิ้มได้ อย่างไรก็ตาม มันจะไม่คงอยู่ตลอดไป พวกเขาต้องเปลี่ยนท่าที
เพราะพวกเขาจะต้องไปพบกับองค์จักรพรรดิ และเนื้อหาการสนทนาน่าจะทำให้พวกสาวๆไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
(ต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนที่จะได้เริ่มงานเลี้ยงอย่างมีความสุข)
สนับสนุนผู้แปลได้ที่ QR Code ข้างล่าง หรือเลขบัญชี108-0-77984-1 กรุงไทย ครับ
ลงให้อ่านแค่สองที่เท่านั้นคือ Goshujin.tk กับ Nekopost อ่านจากที่อื่นไม่มีภาพประกอบเพราะโดดดูดไปลงนั่นเอง