[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 36 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ End Chapter
- Home
- [LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก
- ตอนที่ 36 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ End Chapter
Part 4
ดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายขึ้นจากท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเริ่มส่องสว่างที่เส้นขอบฟ้า มันเริ่มเอียงไปทางทิศตะวันตกจนพระอาทิตย์ตกดิน ในไม่ช้าม่านสีดำแห่งความมืดมิดจะปกคลุมและช่วงเวลากลางคืนได้มาถึงโลกใบนี้
เดรคตัวหนึ่งกำลังวิ่งผ่านทะเลทรายที่ลมร้อนพัดมา
ขาของมันแม้จะไม่พ้นทราย แต่ก็วิ่งได้อย่างสง่างามและบางครั้งก็พลิ้วไหวไปตามสายลม บนหลังมีฮิโระที่ขี่ม้าไม่ได้ แต่สามารถขี่เดรคได้
จุดหมายปลายทางอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่หากพิจารณาถึงเดรคที่วิ่งมานาน ต้องได้หยุดพัก
“น่าจะมีหมู่บ้านอยู่แถวๆนี้นะ”
เขาค่อยๆให้เดรควิ่งช้าลงและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา ซึ่งเป็นแผนที่ของราชอาณาจักรลิชไทน์ เขามองไปรอบๆและเห็นเงาเล็กๆบนขอบฟ้า
“ทนไปอีกสักหน่อยได้ไหม คู่หู?”
เดรคพยักหน้าและเริ่มวิ่งอีกครั้ง
เงาเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเขาเห็นบ้านดินตั้งอยู่เรียงราย ฮิโระรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าจะไม่ใช่ฮิโระคนอื่นก็คงตระหนักได้เช่นกัน ฮิโระก้าวลงจากเดรคและเดินเข้าไปในหมู่บ้านมองไปรอบๆ หมู่บ้านนั้นเงียบแบบแปลกๆ ผู้คนต่างวิตกกังวล
ฮิโระรีบดึงฮู้ดของแบล็คคามิเลียขึ้นทันทีและปิดหน้าของเขา
“อืม ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
ฮิโระเรียกชาวนาที่อยู่ใกล้ๆ แม้ว่าเขาจะตกใจกับรูปลักษณ์ของฮิโระเล็กน้อยแต่เขาก็ตอบกลับ
“…นักเดินทางอย่างงั้นเหรอ?”
มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากบอกไปว่ามาจากมหาจักรวรรดิแกรนท์ ดังนั้นฮิโระจึงแนะนำตัวว่าเป็นนักเดินทางจากสาธารณรัฐสไตน์เชิน ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของราชอาณาจักรลิชไทน์
ราชอาณาจักรลิชไทน์ตอนแรกเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสไตน์เชิน ที่อยู่ใกล้เคียงกันจนเมื่อสองร้อยปีก่อน บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ สีหน้าของชาวนาจึงดูค่อยๆโล่งอก
“ไม่คิดเลยว่าจะมาไกลขนาดนี้ แต่ดูเหมือนจะมาผิดจังหวะแล้วล่ะ.”
เขาอาจหมายถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามหาจักวรรดิแกรนท์เข้าโจมตี มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ฮิโระต้องการทราบข้อมูลเหล่านั้น จึงตัดสินใจที่จะเงียบ
“ดูเหมือนว่าพวกมหาจักรวรรดิแกรนท์กำลังรุกรานมาที่นี่.”
“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ทางตอนใต้พวกทาสเริ่มอาละวาดและกองทัพของเจ้าชายก็แตกพ่าย แม้แต่ความอยู่รอดของราชอาณาจักรนี้ก็วอดวายไปหมดแล้ว”
“…กองทัพเจ้าชายโดนจัดการเหรอครับ?”
“ใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเจ้าชายคาร์ลลุกขึ้นยืนหยัดในสถานการณ์เช่นนี้ เขาเริ่มรวบรวมทหารอีกครั้งเพื่อเอาชนะเหล่ากบฏ ด้วยเหตุนี้พื้นที่รอบๆที่นี่จึงไร้การป้องกัน โจรอาละวาดไปทั่ว ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่เหล่ามอนสเตอร์เองก็ออกมาเช่นกัน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังมีมหาจักรวรรดิบุกเข้ามาอีก ได้ยินว่าพวกเขากำลังเคลื่อนตัวไปทางตอนใต้ด้วยความรวดเร็วเพื่อไปยึดเมืองหลวง”
“เมืองหลวง…?”
คำสั่งของจักรพรรดิคือการยึดพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศแล้วปล่อยให้เป็นการเจรจาระหว่างประเทศ ทำไมพวกเขาถึงมุ่งหน้าไปเมืองหลวงด้วยตัวเอง
(นี่เสียสติไปแล้วรึไง?)
บทบาทของกองทัพจักรวรรดิที่สี่คือการครอบครองโอเอซิสทางตอนเหนือแล้วเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของประเทศอื่นๆที่มีพรมแดนติดกับทางทิศใต้ มหาจักรวรรดิแกรนท์ในปัจจุบันไม่มีเวลามาเข้ายึดราชอาณาจักรลิชไทน์
ปัจจุบันจักรพรรดิมุ่งเน้นไปที่ดินแดนเฟลเซ็นและขุนนางในใจกลางจักรวรรดิกำลังหวังผลประโยชน์ต่างๆหากมีรายงานว่าไปทำลายราชอาณาจักรลิชไทน์ อาจจะโดนตัดหัวหรือโดนลดยศได้เลยนะ
(…แล้วยิ่งกว่านั้นหากเกิดพวกนั้นแพ้ขึ้นมา?)
ไม่ว่ากองทัพจักรวรรดิที่สี่จะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ไม่ฝ่าย การต่อต้านของอีกฝั่งก็ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เสียเอกราช และสงครามอาจยืดเยื้อ ซึ่งหมายความว่ากองกำลังทางตอนใต้จะเหนื่อยล้าจากศึกสงครามระยะยาว ซึ่งทำให้อำนาจในประเทศเสื่อมถอย นอกจากนี้เสบียงทางการทหารก็ไม่ได้มาฟรีๆ มีข้อจำกัดในสิ่งที่สามารถจัดหาได้ในประเทศของศัตรู
(หากขาดแคลนอาหารมีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำ หวังว่าลิซจะไม่ได้ทะเลาะกับผู้บัญชาการหรอกนะ.)
ชาวนาเรียกฮิโระที่กำลังคิดอย่างเงียบๆ
“รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่าก่อนที่จะโดนลูกหลงไปด้วย.”
“แล้วพวกคุณไม่หนีกันเหรอครับ?”
ฮิโระถามคำถามโง่ๆออกไป แต่มันอดไม่ได้จริงๆ
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราทิ้งบ้านเกิดของตัวเองล่ะ? พวกเราไม่มีเงินติดตัว ไม่มีเสบียงหรือกองหนุน หากฝืนออกไปก็มีแต่อดตาย นอกจากนั้นหากสงครามสิ้นสุดลงพวกทหารก็จะกลับมาคุ้มกันเราเหมือนเดิม”
ชาวนาหยิบดาบขึ้นสนิมที่เท้าและยักไหล่
“ประเทศอื่นๆอาจจะเรียกพวกเราว่ารัฐทาสหรือดินแดนแห่งความอดอยาก แต่นี่คือแผนดินที่พวกเราเกิดและเติบโตมา ไม่ว่าจะเผชิญความยากลำบากแค่ไหน พวกเราก็จะอดทนต่อไป.”
ทัศนคติของเขาหนักแน่นมาก แต่ถ้าดูที่ขาของเขา จะสังเกตได้ว่าสั่นกลัวอยู่
พวกขุนนางกระเป๋าหนักน่าจะหนีไปประเทศอื่น อย่างไรก็ตามคงทำเช่นนั้นไม่ได้ และมีเพียงไม่กี่คนหรอกที่สามารถรอดชีวิตหลังจากออกจากบ้านเกิดได้
ฮิโระที่กำลังจะแนะนำเหล่าชาวนาที่มีสุขภาพดีเช่นนี้ จากนั้นชาวบ้านคนหนึ่งก็ตะโกนมาจากทางเข้าหมู่บ้าน
“ชิบหายแล้ว ! พวกโจรมันมุ่งหน้ามาทางนี้”
ชายคนนั้นกำลังชี้ไปยังกลุ่มฝุ่นที่ก่อตัวขึ้นแผ่กระจายออกไปในแนวนอน มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆและชาวบ้านต่างหวาดผวา
“พวกมันคือกลุ่มเดียวกันที่บุกโจมตีพวกเราก่อนหน้านี้?”
“บ้าเอ้ย ไอ้พวกเวรนั่น มันต้องชดใช้!”
“ใช่ ข้าเองก็เตรียมพร้อมที่จะสู้ นี่เป็นโอกาสของพวกเราที่จะชิงเด็กที่ถูกลักพาตัวกลับคืนมา!”
ฮิโระที่ได้ยินชาวบ้านคุยกันก็เรียกหาชาวนาตรงหน้า
“ก่อนหน้านี้โดนบุกจู่โจมมาก่อนเหรอครับ?”
“ใช่ เจ้าชายบุกไปยังมหาจักรวรรดิแกรนท์ พวกโจรใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น สำหรับโจรหากไม่มีกองกำลังป้องกันหมู่บ้าน ก็เป็นแหล่งปล้นสะดมชั้นดี ทุกหมู่บ้านตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ผู้หญิงและเด็กจำนวนมากถูกลักพาตัวไป”
สีหน้าของเขาตึงเครียดและตบแก้มของเขา “ลูกๆของชั้นเองก็เช่นกัน” เขาพูดอย่างเสียใจ
“พาผู้หญิงและเด็กไปที่บ้านของชั้น ผู้ชายทุกคนหยิบอาวุธออกมา อย่าปล่อยให้มันเล่นงานเราฝ่ายเดียว”
ชาวนาขึ้นเสียงแล้วหันมาหาฮิโระ
“นายน่ะรีบออกไปจากที่นี่จะดีกว่านะ.”
ฮิโระส่ายหัวหลายครั้ง ไม่เพียงแต่ราชอาณาจักรลิชไทน์ แต่ยังรวมถึงมหาจักรวรรดิแกรนท์ มัวแต่แก่งแย่งชิงดีกัน จนประชาชนตาดำๆเดือดร้อนไปหมด แม้ว่ามหาจักรวรรดิจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นฮิโระคิดว่าเขาต้องช่วย
“…ตรงนี้ให้ชั้นรับมือเอง”
“เฮ้ย จะทำอะไรของนาย――?”
หลังจากที่ฮิโระเดินออกมาจากหมู่บ้าน เขาก็ถูกโจรล้อมรอบ
“แกเป็นตัวแทนหมู่บ้านงั้นเรอะ?”
โจรสามคนที่ขึ้นขี่อูฐ ด้านหลังมีโจรอีกจำนวนสิบเจ็ดคน
“เฮ้ย ตรูถามมึงอยู่นะเว้ย.”
ชายที่อยู่ตรงกลางน่าจะเป็นหัวหน้าโจร เขาสวมชุดเกราะสีเงินโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ และส่องแสงท่ามกลางแสงแดดยามเย็น ชายสองคนที่อยู่ทั้งสองข้างของเขามีอุปกรณ์น้อยกว่า แต่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าโจรคนอื่นๆที่อยู่รอบตัว เสียงของฮิโระทำท่าทางเหมือนสั่นกลัว
“อืมมม……..พอจะเจรจากันได้รึเปล่าครับ? พวกเราจะง่ายเงินให้บางส่วน.”
“ไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้น พวกข้าจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากหมู่บ้านของแก.”
“งั้นเหรอ แกบังคับให้ชั้นไม่มีทางเลือกเองนะ”
จังหวะนั้นเองฮิโระหยิบเอ็กซ์คาลิเบอร์ออกมาแทงมันลงกับพื้นและกางแขนออก ลมกรรโชกแรงพัดชายเสื้อคลุมสีดำของเขาและฮู้ดที่สวมอยู่ก็ถูกเปิดออก
“เอาล่ะใครอยากจะตายเป็นคนแรก?”
โจรรอบตัวเขาหัวเราะกับคำพูดของเขา
“ตลกดีนี่ไอ้หนู?”
“นี่มันมุขตลกแห่งปีชัดๆ.”
“เดี๋ยวก่อนนี่อาจจะเป็นการเจรจารูปแบบใหม่ก็ได้วะ ให้ตรูตายก่อน!”
ชายคนหนึ่งเดินออกมาทั้งน้ำตาย
“แกก่อนสินะ”
จากมุมมองของชายคนนั้นไม่มีวี่แววว่าฮิโระขยับ แม้แต่เสียงลมก็ไม่ได้ยิน และดาบสีเงินยังคงปลักลงบนพื้น แต่ชายที่เข้าใกล้ฮิโระคอขาด และละอองเลือดจำนวนมากก็ย้อมท้องฟ้าให้แดงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
“หะ?”
“เกิดบ้าอะไรขึ้นวะ…?”
ผู้คนที่มองไม่เห็นการโจมตีก็ได้แต่งงกับภาพตรงหน้า
จากนั้นฮิโระก็อยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกางแขนออกมาอย่างไร้ความปราณี
“เอาล่ะใครอยากตายเป็นคนถัดไป?”
ผมของเขาที่ดำเฉกเช่นเดียวกับความมืดมิดของแบล็คคามิเลีย ดวงตาสีดำที่เปรียบเสมือนห้วงอเวจีหากได้จ้องมองเข้าไป แสงสว่างที่ส่องประกายในส่วนลึกของดวงตาของเขานั้นเย็นยะเยือกดุจเทือกเขาเกลาซาร์มที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แม้ในทะเลทรายที่ร้อนชื้นขนาดนี้
“ฮี้้…”
เสียงกรีดร้องที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามาจากหลังลำคอของโจรคนไหน เขาถอยหลังและพยายามจะหนี แต่ก่อนที่จะรู้ตัวคอก็ขาดไปแล้ว
เสียงของศพที่ตกลงมาดึงดูดสายตาทุกคน
“เอาล่ะ ยังคิดจะเล่นเกมต่อรึเปล่า?”
เสียงของฮิโระทำให้พวกเขาหวาดกลัวและใบหน้าของโจรเริ่มเต็มไปด้วยความตึงเครียด โจรบนอูฐต่างส่งเสียงกรีดร้องและยกดาบขึ้นมา ฮิโระที่ยืนอยู่เฉยๆ ก็มีโจรหัวหลุดออกจากบ่าอีกคน
เขาไม่ได้ขยับออกจากจุดเดิมเลยแม้แต่น้อย แต่มีซากศพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“…ชั้นจะปล่อยให้พวกแกรอดเป็นบางคน หากบอกที่อยู่ของคนที่พวกแกลักพาตัวไป.”
ฮิโระจับด้ามของเอ็กซ์คาลิเบอร์ และบิดร่างกายของเขา เสื้อคลุมสีดำแผ่ออกไปต่อหน้าโจร สัญลักษณ์ของความมืดมิดได้แพร่กระจาย มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความกลัว
ทุกคนต่างตกใจและแข็งทื่อ โจรคนหนึ่งโดนฟัน อีกคนโดนกระทืบจนกระดูกแตกร้าว ฮิโระเข้าไปใจกลางกลุ่มโจรและหายตัวไป เส้นสีขาวเงินถูกวาดออกมาฟันร่างของโจรรอบๆขาดเป็นสองส่วน
ราวกับว่าไม่ได้สวมชุดเกราะเลย พวกมันถูกตัดออกราวกับผ้าที่ฉีกขาด ด้วยการแกว่งดาบเพียงครั้งเดียว ชีวิตจำนวนมากได้ถูกพรากออกไป และเลือดก็ไหลกลบทะเลทราย
“อ๊ากกกกกกกกกกกห์”
โจรส่วนใหญ่ตกอยู่ในความตื่นตระหนกเพราะสหายของพวกเขาที่ตายไป พวกเขาไม่เห็นการโจมตีเหล่านั้นเลย ดังนั้น จึงมีบางส่วนที่วิ่งหนี บางคนเลือกที่จะสู้ บางคนกลัวเกินกว่าจะขยับออกจากจุดนั้น คนที่คิดสู้ก็โดนตัดคออย่างง่ายดาย และคมดาบคมๆก็ฟาดฟันใส่ผู้ที่ไม่อาจขยับได้
“…เกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย?”
ไม่มีคำอื่นใดที่อธิบายได้เท่าคำนี้ หัวหน้าของโจรได้พูดขึ้น
“นี่มันความฝันใช่ไหม…?”
หัวหน้าโจรมองไปยังเหล่าศพที่กองกันอยู่ จากนั้นลูกน้องคนหนึ่งที่หน้าซีดก็วิ่งมาหาเขา
“บอส! พวกเราควรหนี! หมอนั่นมันสัต――!”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค คอก็ขาดไปแล้ว เสียงกรีดร้องของโจรแพร่กระจายไปทั่วและความกลัวก็ปกคลุมไปทั่วพื้นที่
“บ้าเอ้ย หนีกันเหอะ!”
พวกโจรพยายามจะหนี ทันทีที่จะกำลังจะหนีนั่นเองฮิโระก็พุ่งตัวออกมาและคว้าหัวของโจร ดึงเขาออกจากหลังอูฐ ฮิโระไม่ลังเลต่อยเข้าที่หน้าของหัวหน้าโจร
“อั่ก อึก อ๊อก!?”
หลังจากต่อยหน้าไปหลายหมัด ในที่สุดฮิโระก็เตะเข้าที่หน้าของหัวหน้าโจร ทำให้เขาหมดสติพร้อมความเจ็บปวด
จากนั้นฮิโระก็หมุนด้ามจับของเอ็กซ์คาลิเบอร์ ในมืออีกข้างอย่างคล่องแคล่วและตั้งท่าในแนวนอน โจรคนหนึ่งที่กำลังชี้ดาบมาที่เขาก็ปล่อยอาวุธและร้องไห้ออกมา เขาที่พยายามลอบโจมตีแต่ก็ล้มเหลว
“ขอโทษ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ข้าจะไม่บุกรุกหมู่บ้านอีก!”
“อืมได้สิ”
“จริงเหรอ?”
“ได้ ถ้าหากพวกแกสามารถหนีรอดจากตรงนี้ล่ะก็.”
“เหหหหหหหหหห อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!?”
ชายคนนั้นที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่แล้วก็โดนคมดาบแทงเข้าที่คอ
ทันทีที่ชายคนนั้นทรุดตัวลงด้วยเลือดจำนวนมากไหลออกจากปาก โจรที่เหลือก็โยนอาวุธลงและพยายามจะหลบหนี ฮิโระมองหลังโจรอย่างเย็นชา ชี้ประกายดาบสีเงินของเขาออกมาแล้วออกจากที่แห่งนี้
ชาวบ้านที่เฝ้ามองต่างตกใจ ในพริบตากลุ่มโจรยี่สิบคนถูกกวาดล้างโดยไม่ได้เข้าโจมตีหมู่บ้าน
จากนั้นฮิโระก็เข้ามาในหมู่บ้าน ในมือของเขามีหัวหน้าโจรที่เป็นลมอยู่ ฮิโระโยนผู้นำที่หมดสติให้ชาวบ้าน
“หมอนี่เป็นหัวหน้าโจรหมู่บ้านของพวกคุณ ดังนั้นผมจะปล่อยให้พวกคุณจัดการเรื่องนี้กันเอง”
ฮิโระหันหลังกลับให้กับชาวบ้านที่สับสนและเข้าหาสวิฟเดรคที่กำลังพักผ่อนใต้ร่มไม้
“ไม่ต้องห่วงหมอนั่นยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพยายามทำให้มันคายข้อมูลออกมา จะได้รู้ว่าเหล่าเด็กและผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวอยู่ที่ไหน.”
หากพวกเขาเห็นคนธรรมดาที่มีพลังมากเกินไป พวกเขาจะหวาดกลัว ไม่ว่าจะทำบุญคุณให้มากแค่ไหนก็ตาม ต่อให้ช่วยหมู่บ้านของพวกเขา ฮิโระที่คิดแบบนั้นก็กำลังจะออกจากหมู่บ้านไป แต่
“เดี๋ยวก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบไปเลย ตอนกลางดึกอากาศมันหนาวมากนะในทะเลทราย มีที่พักรึยังพ่อหนุ่ม?”
ชาวนาที่เขาพบคนแรกเรียกเขา
“อืม————-พอดีมีคนรู้จักที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย และกำลังจะคิดไปพักที่นั่นในวันนี้น่ะ.”
“เข้าใจแล้วถ้างั้นก็รอก่อน”
ชายคนนั้นหายเข้าไปข้างในและกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
“ถึงจะไม่มากแต่ก็ช่วยรับสิ่งนี้เป็นการตอบแทนเถอะ”
มีผ้าห่มและอาหารมากมายในมือเขา
“หวังว่ามันจะช่วยนายได้ในการเดินทางครั้งนี้”
“ไม่หรอก แต่นี่มัน ของทุกคน――.”
ชาวนาส่ายหัวขัดคำพูดของฮิโระ
“พวกเราควรจะให้เงินนายด้วยซ้ำ แต่พวกเราเป็นหมู่บ้านจนๆ ขอโทษด้วย.”
หากเป็นเช่นนั้น อาหารก็เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับพวกเขา เป็นเรื่องน่าละอาย เขาไม่อยากจะรับอะไรมาสักอย่างแต่ชาวนาคนนั้นก็พยายามให้เขาเก็บไว้
“พวกเราอาจจะตายไปแล้ว และพวกเราคงไม่ได้กินมัน แต่ต้องขอบคุณนายที่ทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ ดังนั้นให้พวกเราแสดงความขอบคุณเถอะ”
ดวงตาของชาวนาคนนั้นราวกับไม่ยอมแพ้ ฮิโระถอนหายใจด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“…เข้าใจแล้ว ถ้างั้นก็ขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดี――.”
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อของชาวนาคนนี้มาก่อน
ชาวนาคนนั้นยิ้มราวกับว่าอ่านความคิดฮิโระออก
“ชื่อของชั้นคือคุคุริ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านนี้.”
“ผมชื่อฮิโระ คุคุริซัง บุญคุณนี้ผมจะมาทดแทน”
“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราต้องพูดต่างหาก”
เมื่อเขาโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งให้กับคุคุริที่ยิ้มแย้ม ฮิโระพลิกเสื้อคลุมสีดำของเขาและมุ่งไปหาสวิฟเดรค
มาจบสงครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้กันดีกว่า ระหว่างนั้นต้องมีหมู่บ้านหลายแห่งต้องเสียสละมากขนาดไหน ฮิโระที่กำลังจะออกจากหมู่บ้านก็….
“ขอบคุณมากๆ คราวหน้าจะเตรียมอาหารอย่างดีไว้ให้เลย เพราะงั้นถ้ามาคราวหน้าก็ทำตัวผ่อนคลายตามสบายได้เลย!”
เมื่อฮิโระหันกลับไปมอง ก็เห็นชาวบ้านโบกมือให้กับเขา โดยมีคุคุริเป็นผู้นำ ฮิโระยิ้มและดึงบังเหียน เสียงคำรามของเดรคดังขึ้น
จุดหมายปลายทางคือป้อมปราการที่ห่างออกไปเก้าเซล(ยี่สิบเจ็ดกิโลเมตร) ห่างจากหมู่บ้านนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้เวลาไม่นานหากใช้สวิฟเดรค
เมื่อความหนาวเหน็บมาเยือนในทะเลทราย ฮิโระก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ครั้งหนึ่งมันเคยงดงาม แต่ตอนนี้ถูกเผาจนไม่เหลือซาก
แต่ว่าก็เหมาะกับสถานที่ซ่อนตัว พวกเราเลยเริ่มการสนทนาลับโดยไม่มีใครรู้ได้
“ฝ่าบาทพวกเรากำลังรออยู่เลยครับ”
ทหารคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าฮิโระ เขาเป็นทหารส่วนตัวของคิออร์กที่ฮิโระส่งจดหมายไปล่วงหน้า
“ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม?”
“ครับ ตามที่ท่านสั่ง พวกเราได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว พร้อมทำตามคำสั่งใด้ทุกเมื่อ.”
ฮิโระตามหัวหน้าหน่วยที่เดินไปข้างหน้า ฮิโระถามเขา
“แล้วทหารคนอื่นๆไปไหนหมด?”
“พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในป้อมปราการนี้ครับ.”
หัวหน้าหน่วยหยุดที่พื้นที่ตรงหน้า เปิดประตูและชี้มือเข้าไปข้างในกระตุ้นให้ฮิโระเข้าไป มีทหารห้าคนในชุดเกราะ และพวกเขาลุกจากเก้าอี้ขึ้นทักทาย
ฮิโระหันมือไปหาพวกเขาและบอกให้พวกเขาสบายใจได้ จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะยาวตรงกลาง
“ตอนนี้กองทัพจักรวรรดิที่สี่อยู่ที่ไหน?”
“พวกเราไม่ทราบตำแหน่งที่แน่ชัดจนกว่าหน่วยสอดแนมจะกลับมา แต่มันน่าจะอยู่บริเวณนี้ครับ ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันจากป้อมปราการนี้ หากใช้สวิฟเดรคจะใช้เวลาครึ่งวันครับ.”
“แล้วกองทัพกบฏล่ะ?”
“จากข้อมูลเมื่อสี่วันก่อนพวกเขาอยู่ที่นี่ครับ”
หัวหน้าชี้ไปยังจุดที่อยู่ห่างไปจากป้อมนี้สามสิบสองเซล (เก้าสิบหกกิโลเมตร)
“แล้วกองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์?”
“ยังไม่มีการเคลื่อนทัพออกจากเมืองหลวงครับ บางทีพวกเขาอาจจะพยายามป้องกันตนเอง รวบรวมทหารจากทั่วประเทศ และธงของขุนนางชูขึ้นบนกำแพงเมืองเพิ่มขึ้นทุกๆวันครับ.”
“ชูธงที่กำแพงเมืองงั้นเหรอ…?”
“มีอะไรกวนใจท่านเหรอครับ?”
“ใช่ มีบางอย่างกวนใจนิดหน่อย”
ฮิโระหยิบหมากจากโต๊ะและวางไว้บนแผนที่
“มีข้อมูลเกี่ยวกับป้อมอาร์ซูบ้าหรือเปล่า? เป็นป้อมปราการที่ตั้งอยู่ใกล้กับอัลบากัล.”
ทหารมองไปยังตรงนั้นและผู้นำก็กล่าวขึ้น
“ไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียด แต่มีทหารจำนวนสองพันนายประจำการอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ลดจำนวนลงเพราะเป็นสถานที่สำคัญที่เขาสามารถเฝ้าระวังได้จากทุกฝ่ายครับ”
ฮิโระจ้องมองไปยังแผนที่อย่างเงียบๆ เขาวางตำแหน่งตัวเองไว้แทนตำแหน่งนายพลของราชอาณาจักรลิชไทน์
(ล่อศัตรูเข้ามายังโซนปิดตายและตัดเสบียงอาหารทิ้ง ในกรณีนั้น ไม่มีใครบอกได้ว่ากองทัพศัตรูจะทำอะไรต่อไป จากนั้นพวกเขาสามารถเข้าประชิดได้จากด้านข้างจากทางป้อมปราการในกรณีหนึ่งก็ปล่อยให้พวกนั้นอดตายได้ในศึกที่ยืดเยื้อ หรือพวกเขาสามารถแยกกองกำลังและไล่บดขยี้เป็นส่วนๆได้ แต่ราชอาณาจักรลิชไทน์ไม่มีเวลาให้เสียมากขนาดนั้น.)
ดังนั้นตัวเลือกทางฝ่ายเขาค่อนข้างจำกัด
(พวกเขามีเวลาไม่มาก นอกจากนี้มีความกังวลว่าจะมีการบุกรุกจากประเทศข้างเคียง เมื่อพิจารณาถึงอนาคตแล้ว การต่อสู้ระยะสั้นคือทางเลือกที่ดีที่สุด หากพวกเขาบังคับให้กองทักจักรวรรดิถอยได้ ประเทศอื่นๆก็ไม่กล้าเข้ามายุ่ง หากเป็นกรณีนี้ วิธีที่ดีที่สุดในการจะรับมือก็คือการล่อกองทัพกบฏไปสู้กับกองทัพจักรวรรดิเพื่อตัดกำลังกันเอง ในระหว่างนั้นพวกเขาจะบุกโจมตีโดยใช้ทหารที่รวบรวมมาจากทั้งราชอาณาจักรเพื่อปิดบัญชีทั้งสองฝั่ง นั่นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด.)
ในกรณีนั้น สงครามจะเริ่มจากจุดไหน และภูมิประเทศแบบไหนที่เหมาะที่สุด
(หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเมืองหลวงสถานที่เดียวที่เหมาะสำหรับการสังเกตการณ์กองทัพทั้งสองคือป้อมอาร์ซูบ้า ธงที่ประดับอยู่ที่เมืองหลวงเป็นแค่การข่มขู่)
หลังจากรวบรวมความคิดได้แล้ว ฮิโระเงยหน้าขึ้น
“รู้รึเปล่าใครเป็นนายพลของราชอาณาจักรลิชไทน์?”
“ส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายโดยกองทัพกบฏหมดแล้วครับ”
“ไม่เหลือนายพลที่มีชื่อเสียงอีกเลยเหรอ?”
“ไม่ครับ ยังเหลืออีกหนึ่งคนคือ รังกิลส์ คาลิกูร่า กิลเบอร์ริส”
“แล้วประวัติการทำสงครามล่ะ?”
“ชื่อของเขาเพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อสองปีก่อน สองปีที่แล้วสาธารณรัฐสไตน์เชินบุกราชอาณาจักรลิชไทน์ด้วยกองทัพสามหมื่นนาย เนื่องจากเขาเอาชนะกองทัพศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า จึงได้ฉายาว่า “อินทรีผู้โกรธเกรี้ยวแห่งแดนตะวันฉาย” ครับ”
“เดาว่าพรสวรรค์ของเขาคงไม่ได้รับการขัดเกลาเพราะมีพวกที่หวาดกลัวอำนาจนั้นและไล่เขาออกไปสินะ”
“ตามที่ท่านว่ามาเลยครับ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้บัญชาการที่คอยรับศึกกับฝั่งสไตน์เชิน อย่างไรก็ตาม มันเป็นจุดสำคัญดังนั้นเลยเหมาะกับงานของเขาครับ”
(เป็นที่เคารพรักในหมู่ประชาชนและเหล่าทหาร แต่โดนเกลียดโดยเหล่าขุนนางที่แสวงหาผลประโยชน์.)
อาจมีโอกาสให้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ อาจเป็นไปได้ที่จะทำลายกองทัพราชอาณาจักรลิชไทน์ ฮิโระดึงแผ่นกระดาษและหมึกจากบริเวณใกล้เคียงและเริ่มเขียน
“นี่คือคำแนะนำสำหรับอนาคต.”
ฮิโระยื่นกระดาษให้หัวหน้าหน่วยซึ่งตรวจสอบเนื้อหาแล้วหันมามองเขา
“ท่านจะไปเข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิที่สี่เหรอครับฝ่าบาท?”
ถ้าฮิโระขี่สวิฟเดรคไปตอนนี้ เขาสามารถไปรวมกับลิซได้ในเที่ยงวันพรุ่งนี้ กลยุทธ์ในอนาคตที่เขียนไว้ในกระดาษ จะใช้งานได้แม้เขาไม่อยู่ก็ตาม
“ใช่ ชั้นจะรีบไปเร็วๆนี้ ฝากดูแลส่วนที่เหลือได้ไหม?”
“ไม่ต้องกังวลครับฝ่าบาท พวกเราจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างถูกต้อง.”
“ถ้างั้นขอฝากที่เหลือไว้กับพวกนาย”
“ฮ่ะ ฝากความคิดถึงของพวกเราไปถึงฝ่าบาทเซเลีย เอสทรีย่า ด้วยนะครับ”
ฮิโระที่เห็นทหารกล่าวลา ก็ออกมาข้างนอกพร้อมกับความหนาวเหน็บ แต่เขาไม่รู้สึกหนาวเพราะมีแบล็คคามิเลียปกป้องอยู่