[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 33 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 1
- Home
- [LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก
- ตอนที่ 33 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 1
Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้
Part 1
อัลบากัล เมืองหลวงของราชอาณาจักรลิชไทน์ ในพระรามวังทองคำซึ่งเป็นที่บ่งบอกถึงอำนาจของพวกเขา ขุนนางกำลังวิ่งไปรอบๆกระซิบกันและแสดงความไม่พอใจต่อเจ้าชาย
เมื่อเดือนที่แล้ว ราชอาณาจักรลิชไทน์ประสบความพ่ายแพ้อย่างหนักหนาสาหัส โดยสูญเสียเจ้าชายทั้งสองคน นอกจากนี้ทางตอนใต้ เผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งประกอบด้วยทาสและทหารรับจ้าง ได้ปลดแอคตัวเอง นำโดยอดีตทาส ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้
ไม่มีใครที่ริเริ่มจะระงับสถานการณ์นี้ และเจ้าชายเองก็หมดความกล้าหาญ จึงนำทหารสี่พันนาย ทหารราบเกราะเบาสองพันนาย และ ทาสหนึ่งพันนาย เข้าสนามรบเมื่อสี่วันก่อน
ในกรณีที่ราชาไม่อยู่พระราชวังทองคำก็เต็มไปด้วยขุนนางมากมาย ที่กำลังวิตกกังวล ถึงเวลาแล้วที่ผลการปะทะของเจ้าชายกับกลุ่มกบฏจะถูกรายงานให้ทราบ
จากนั้นผู้ส่งสารก็รีบเข้ามาพร้อมหอบหายใจรุนแรง
“ขอโทษด้วยครับ กองทัพกบฏได้เอาชนะกองทัพของเจ้าชายแล้วครับ!”
ขุนนางต่างโอดครวญ พวกเขาคิดว่าฝ่ายเจ้าชายจะชนะ จากนั้นขุนนางคนหนึ่งก็ก้าวมาข้างหน้าและเผชิญหน้ากับผู้ส่งสาร
“โกหกใช่ไหม ไม่จริงใช่ไหม? เป็นไปไม่ได้.”
ใบหน้าของเขาซีดและเขาส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความที่ไม่อยากจะเชื่อ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ จำนวนกบฏที่มีนั้นน้อยกว่าสองพันคนในทางตรงกันข้าม กองทัพของเจ้าชายประกอบด้วยหน่วยหัวกะทิ แม้ว่าขวัญกำลังใจจะต่ำหลังจากพ่ายแพ้อันเจ็บปวดเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ก็ได้รับการยกระดับให้อยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบโดยผู้นำที่เป็นเจ้าชาย นอกจากนี้ ผู้คนรอบตัวเขาล้วนแต่เป็นขุนนางที่มีประสบการณ์ในการรบดังนั้นไม่น่าจะมีผิดพลาดเรื่องสั่งการ
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?”
“พวกทาสมันก่อกบฏและขุนนางก็ถูกฆ่าตาย เจ้าชายพยายามสู้อย่างหนัก แต่ความพยายามของเขาไม่เพียงพอ!”
“พวกทาสงั้นเรอะ…”
ขุนนางถอยออกห่างจากผู้ส่งสารด้วยสีหน้าซีดๆ งอเข่าลง วางหน้าผากลงบนพื้นและเริ่มร้องไห้ ขุนนางโดยรอบก็ทรุดตัวกันหมด บางคนก็บอกว่าที่นี่มันจบแล้ว และวางแผนที่จะออกจากราชอาณาจักร ทุกคนต่างจินตนาการว่าราชอาณาจักรลิชไทน์ได้ล่มสลายในไม่ช้า แต่มีใครบางคนที่หยุดความสิ้นหวังเหล่านั้น
“ใจเย็นสหาย ไม่มีเวลาให้เศร้าโศก เราจำเป็นต้องหารือเกี่ยวกับอนาคต เราไม่สามารถปล่อยให้พวกกบฏทำตามใจชอบได้”
สายตาของขุนนางจดจ่ออยู่กับคนที่ก้าวเข้ามาในห้องโถง ชายคนนั้นหยุดเดิน อาจเป็นเพราะแววตาโกรธแค้น แต่ในไม่ช้าเขาก็เดินบนพรมแดง
ตัวของเขานั้นผอมและดูอ่อนแอ ใบหน้าซีดราวกับว่าจะล้มป่วยได้ทุกเมื่อ เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของราชาแห่งราชอาณาจักรลิชไทน์ ชายหนุ่มที่ไม่มีใครต้องการให้เป็นทายาทเพราะความอ่อนแอของเขา ชื่อของเขาคือ คาร์ล โอ๊ค ลิชไทน์ ตำแหน่งเคานต์
ขณะที่เขาเดินไปที่ศูนย์กลางของขุนนาง เขาก็หันแขนซีดๆและผิวสีแทนไปด้านทางเข้า
“เขาเองก็มาเหมือนกัน.”
มาร์ควิสรังกิลส์ ผู้พิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีหยิ่งผยอง เขาหัวเราะเยาะเย้ยขุนนางที่หวาดกลัวด้วยท่าทางที่ค่อนข้างหยาบคาย
ชายคนนี้ตอนอายุ 34 ปี เป็นวีรบุรุษของราชอาณาจักรลิชไทน์โดยเอาชนะกองทัพสไตน์เชินที่มีจำนวนมากกว่าสามหมื่นนายจากประเทศเพื่อนบ้านเมื่อสองปีก่อน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีพรสวรรค์แต่ก็ถูกกีดกัดให้ไปชายแดนเพราะบุคลิกที่หยาบกระด้างของเขา
“ต้องขอโทษจริงๆวะ เจ้าชายตายแล้วงั้นเหรอวะเนี่ย ไม่มีเวลามาเศร้าหรอกโว้ยไอ้พวกเวร เคานต์ คาร์ล จะขึ้นครองบัลลังก์ในทันที”
มาร์ควิสรังกิลส์ ซึ่งจู่ๆปรากฏตัวในที่แห่งนี้ประกาศอย่างมั่นใจ พูดตามใจต้องการ พร้อมกับเสียงโห่ร้องของขุนนางที่ดังก้องขึ้นมา
“แกคิดว่าแกเป็นใครวะ ท่านคาร์ลอ่อนแอเกินกว่าจะรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว――.”
“หมายความว่ายังไงหะไอ้พวกเวร ไม่อยากพูดจาใส่ร้ายคนตายหรอกนะ แต่เจ้าชายที่ตายไปแม่งเห็นแก่ตัวไม่สนใจประเทศ รางวัลกับบทลงโทษแม่งไม่มีความเท่าเทียมเลยสักนิด และเขาจ้องหาแต่ขั้วอำนาจใหญ่ๆ นอกจากนี้ ลูกชายที่ถูกต้องตามกฏหมายยังเป็นพวกโง่เง่าที่มีอารมณ์ดุร้ายโดยยั่วได้ง่ายๆ แถมลูกชายคนที่สามแม่งก็ติดผู้หญิง”
“แก แกมันหยาบคายเกินกว่าจะเชื่อ!”
ใบหน้าของขุนนางเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ และพวกเขาก็เข้าใกล้รังกิลส์
“ฮ่าฮ่า พอตรูพูดความจริงพวกมึงก็รับไม่ได้งั้นเรอะ เพราะพวกมึงมันได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายบนกองเงินกองทอง ไม่เคยออกไปบนสนามรบไง?”
“หมายความว่าไง…?”
“ยังจะให้ต้องบอกอีกเหรอไอ้พวกโง่ ความจริงพวกมึงก็รู้อยู่แก่ใจ”
ในกองทัพของเจ้าชายที่ไปบุกในครั้งนี้พร้อมกับเหล่าขุนนางอาจกล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุของความเสื่อมถอยของประเทศนี้อยู่ด้วย การหายตัวไปของขุนนางเหล่านั้นหมายความว่าพวกนั้นจะมาแทนที่ขั้วอำนาจเก่า
(เอออ….ไม่ยอมให้ทำอะไรตามที่ต้องการหรอก)
ถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ประเทศแห่งนี้กลับสู่สภาวะปกติ แม้ว่าเจ้าชายจะยังไม่ตาย แต่อนาคตของประเทศนี้ก็จะเกิดสงครามกลางเมือง ทุกอย่างล้วนมีอะไรแอบแฝง แต่มันจะต้องใช้กำลังในการกำราบเท่านั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คราวนี้กองทัพกบฏได้ถือกำเนิดแล้ว
(ยังไงก็ตาม สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงในสองสามครั้งในเวลาอันสั้นได้ยังไง?)
ตัวทายาทและเจ้าชายคนที่สามตายระหว่างการต่อสู้ นอกจากนี้กบฏยังเอาชนะเจ้าชายองค์ปัจจุบันอีก รังกิลส์ รู้สึกว่าอยากจะมอบรางวัลให้กับกลุ่มกบฏเสียเหลือเกิน
“แต่โชคยังดีที่ตระกูลของเขายังมีเจ้าชายผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญาและความกล้าหาญ ท่าน คาร์ล โอ๊ค ลิชไทน์ ผู้ห่วงใยประชาชน เคารพต่อเหล่าทหาร และรักลูกน้องของเขา.”
“แต่ก็อย่างที่ทุกคนเห็น ตัวผมนั้นอ่อนแอ สามารถตายได้ทุกเมื่อ จะรวบรวมประเทศนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ?”
มาร์ควิสรังกิลส์ยิ้มและพยักหน้ากับเจตจำนงอันแรงกล้าของคาร์ล
“ข้าหามิใช่หมอ ดังนั้นไม่รู้หรอกว่าร่างกายท่านจะทรุดลงเมื่อใด แต่ในยุคนี้ ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกอาจจะตายได้ทุกเมื่อ และสำหรับข้าแล้วคนที่แข็งแรงยืนยาวนั้นตายง่ายกว่าคนมีโรคซะอีก.”
ลูกชายคนโตตาย เจ้าชายตาย เหลือเพียงเจ้าชายผู้อ่อนแอ
“ฮ่ะฮ่าก็จริงนะ…”
เคานต์คาร์ลหัวเราะออกมาดังๆกับการประชดประชัน
“ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะไม่ใช่ความคิดแย่ที่จะลองเป็นเจ้าชายในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ประชาชนจะเห็นด้วยกับผมไหม?”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลย หากเอาชนะกบฏได้ ทุกคนก็จะยอมรับท่าน.”
“ถ้างั้นผมจะขึ้นเป็นเจ้าชายหลังจากจัดการกบฏให้เรียบร้อย.”
มาร์ควิสรังกิลส์ซึ่งพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นมองไปรอบๆขุนนางพึมพำเกี่ยวกับความจริงจังของเขา
“ตอนนี้ดูเหมือนท่านคาร์ลจะตัดสินใจแล้ว แล้วพวกแกล่ะ ท่านสุภาพบุรุษ?”
“ถ้าท่านคาร์ลตัดสินใจแล้ว เราก็ไม่มีทางเลือก แต่เราจะจัดการกับกลุ่มกบฏที่เอาชนะชนชั้นสูงของเราได้อย่างไร?”
ขุนนางลืมวิธีคิดอย่างอิสระและเป็นเรื่องน่าท้อแท้ที่เห็นถึงการทุจริตที่พวกเขาเคยก่อ
(อยากจะฆ่าพวกมันโดยเร็วจริงๆ แต่พวกมันยังมีประโยชน์สำหรับพวกมัน ก่อนอื่นข้าจะต้องรีดเค้นความมั่นคั่งที่พวกเขาสะสมมา)
มาร์ควิสรังกิลส์ซึ่งยังไหล่พูดต่อ
“พวกเราไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มกบฏเลยแม้แต่น้อย”
“มาร์ควิสรังกิลส์ หมายความว่าไง?”
เพื่อตอบสนองต่อคำพูดของคาร์ล มาร์ควิสรังกิลส์กล่าว “ช่วยรออีกสักครู่.”
ครู่ต่อมาชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องโถง
“มีรายงานครับ กองทัพจักรวรรดิที่สี่กำลังรวมตัวกันที่ป้อมเบิร์กเพื่อเข้าโจมตีพวกเราครับ!”
เป็นรายงานที่เขารอคอย ในขณะนี้มาร์ควิสรังกิลส์ เชื่อมั่นในชัยชนะของเขา
ชายผู้มีสติปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้ เป็นคนที่ประเทศอื่นให้ฉายาเขา มาร์ควิสรังกิลส์ยิ้มออกมาเพราะมีโอกาสได้ทดสอบสติปัญญาหลังจากไม่ได้ผ่านมานาน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่กรณีของขุนนาง สิงโตที่ครอบงำทวีปกลางกำลังจะเข้าโจมตี ห้องโถงเต็มไปด้วยความกลัว
ราวกับจะปลอบใจพวกเขามาร์ควิสรังกิลส์ก็ขึ้นเสียง
“ใจเย็นน่า ข้ามีแผน”
มาร์ควิสรังกิลส์เชี่ยวชาญในการควบคุมจิตใจคน
หากมีขุนนางเก่าแก่ที่นี่เพียงคนเดียว เขาคงโดนต่อต้านแน่นอน แต่ตอนนี้พวกมันตายไปหมดแล้ว ดังนั้นขุนนางที่เหลืออยู่จึงไม่มีใครกุมบังเหียน และมีแต่พวกหวงอำนาจไม่อยากสูญเสียตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องการคนที่มาช่วยรักษาอำนาจพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าก่อนหน้านี้แม้จะบ่น แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฟังรังกิลส์
“ท่านคาร์ล พวกเราสามารถปล่อยให้กบฏต่อสู้กับกองทัพจักรวรรดิที่สี่ได้”
“…หมายความว่าพวกเราจะใช้พวกบกฏต่อสู้กับกองทัพจักรวรรดิที่สี่เหรอครับ?”
“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ข้าวางแผนเอาไว้ไม่มีอะไรยากเลยสักนิด ตามรายงานของสายลับของข้ากองทัพจักรพรรดิที่สี่จะนำโดลนายพลที่ไร้ชื่อเสียงที่เป็นตัวแทนนายพลโลอิ่งที่โดนกักบริเวณ เพราะงั้นมันไม่น่าจะลำบากที่จะไปเล่นกับพวกเขา.”
รังกิลส์ขุดกระเป๋าของเขาและกางแผ่นกระดาษ แผนที่ของราชอาณาจักรลิชไทน์ บนพรมแดง
“ก่อนอื่นพวกเราจะให้พวกเจ้าดินแดนทั้งหลายรวบรวมกองกำลังมาให้มากที่สุด พวกเราไม่สามารถเริ่มต้นอะไรได้หากไม่มีทหาร”
ได้ยินเช่นนั้นขุนนางต่างๆก็รีบออกไปรวมกำลังพลในดินแดนของตน ในช่วงเวลาเช่นนี้ใครที่ลงมือก่อนจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เริ่มทีหลังจะจบลงด้วยรางวัลอันน้อยนิด หลังจากขุนนางที่พยายามแย่งชิงกันลงมือเพื่อสร้างผลงาน ก็รีบออกจากห้อง
ในทางตรงกันข้ามฝ่ายที่ไม่มีทหารก็จะนำทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาทุ่มไว้ ในเวลาไม่นานทั้งห้องบัลลังก์ก็เหลือขุนนางสองคนและทหารที่เฝ้าพวกเขา
“ตอนนี้ไม่มีการรบกวนอีกต่อไปแล้ว โปรดอย่าบอกใครเกี่ยวกับแผนการในครั้งนี้ นี่เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการชนะสงครามเข้าใจไหม”
มาร์ควิสรังกิลส์กล่าวคาร์ลเองก็พยักหน้าให้
“ก่อนอื่นพวกเราต้องนำทางกองทัพจักรวรรดิที่สี่ไปหาพวกกบฏ.”
“พวกเราจะล่อพวกกองทัพจักรวรรดิที่สี่ได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราจะจงใจสร้างเส้นทางสำหรับพวกเขา หากเราทำให้การป้องกันของป้อมเบาบางลง เราก็สามารถแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาเดินทัพได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นด้วยวิธีนี้ และนายพลที่ไร้ชื่อเสียงที่ต้องการผลงาน จะไล่ตามมาอย่างแน่นอนและพวกเราจะนำพวกเขาเข้าไปในดินแดนของพวกเรา.”
ใบหน้าของเคานต์คาร์ลไม่ชัดเจนแม้ว่ารังกิลส์จะพูดอย่างมั่นใจ
“เขาเป็นนายพลของมหาจักรวรรดิใช่ไหมครับ นายพลของมหาจักรวรรดิจะไม่สามารถมองแผนการนี้ได้เลยงั้นเหรอครับ?”
“ความโลภของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด หากโยนเหยื่อไปแล้วก็จะกัดไม่ปล่อย สิ่งที่ต้องทำคือทำให้พวกนั้นคิดว่าทุกอย่างจะไปได้สวย ศัตรูที่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่กองทัพศัตรูที่ประมาทน่ะย่อยได้ง่ายๆ”
มาร์ควิสรังกิลส์พูดต่อขณะที่คาร์ลพยักหน้า
“ต่อไปเราจะมาดูกันว่าใครชนะแล้วเราจะไล่กวาดล้างผู้ที่เหนื่อยล้า”
“ฟุมุ พวกเราจะมาปลามาเกยตื้นสินะ…”
“ใช่ จนถึงตอนนี้มันประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับทหารที่จะตัดสินใจว่าเราจะชนะได้หรือไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจข้า.”
“อะไรเหรอครับ?”
“ดูเหมือนว่าสาธารณรัฐสไตน์เชิน และ แกรนด์ดัชชีแห่งดรัล ได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกแล้ว การล่มสลายของเฟลเซ็นอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่การเสียชีวิตของประมุขแห่งสาธารณรัฐสไตน์เชิน น่าจะเป็นสาเหตุหลักมากที่สุด”
“…แบบนั้นก็เป็นปัญหาหนึ่งใช่ไหม?”
“สาธารณรัฐสไตน์เชิน ดูเหมือนจะสูญเสียความสามัคคีเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีการรับประกันว่าจะไม่มีคนที่จะโจมตีพวกเราเพื่อแสวงหาความได้เปรียบ”
ราชอาณาจักรลิชไทน์เสียทหารจำนวนมากและแพ้ศึกถึงสองครั้งติด ด้วยเหตุนี้การปกป้องดินแดนนอกพื้นที่วิกฤตจึงเบาบางลง
“กบฏ มหาจักรวรรดิแกรนท์ สาธารณรัฐสไตน์เชิน ราชอาณาจักรลิชไทน์ของเรานี่เป็นแหล่งยอดฮิตเหลือเกินนะ แม้ว่าหลายประเทศจะดูหมิ่นพวกเราว่าเป็นรัฐทาส.”
ราชอาณาจักรลิชไทน์ เป็นดินแดนที่แห้งแล้งปกคลุมไปด้วยทะเลทราย ซิเกิร์ล แต่มีผู้คนมากมายที่โลกดินแดนแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ เหตุผลนี้คือการมีอยู่ของโอเอซิสที่สวยงามกระจายอยู่ทั่วทะเลทรายซีเกิร์ล ภูติไม่เข้าใกล้โอเอซิสเพราะมีคนอาศัยอยู่ แต่กล่าวอีกนัยหนึ่งหากไม่มีผู้คนอาศัยอยู่จะมีภูติเข้ามาอาศัย หากใครสามารถคว้าโอเอซิสมาได้จะสามารถหาผลึกภูติได้ พวกเขาไม่สามารถเลี่ยงมันได้เลยเพราะมหาจักรวรรดิแกรนท์กับราชอาณาจักรลิชไทน์สนิทสนมผ่านการค้าทาส
เมื่อเดือนที่แล้วความสัมพันธ์ของสองประเทศนั้นไม่ลงรอยกัน
“ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จะอยู่ได้ไม่นาน”
โจรและมอนสเตอร์เข้าโจมตีหมู่บ้าน หากความขุ่นเคืองของประชาชนระเบิดอารมณ์ กองทัพกบฏที่สองจะกำเนิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้น คงไม่ง่ายที่จะรักษารูปลักษณ์ของประเทศแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานจากภายนอกและภายในจะทำให้ราชอาณาจักรลิชไทน์หายไปจากแผนที่
วิธีเดียวคือทำสงครามระยะสั้นแทนที่จะยืดเยื้อ
“เป็นไปได้ไหมที่มาร์ควิสรังกิลส์จะทำแบบนั้น?”
“ใช่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นข้าอยากให้ท่านวางใจข้า”
“…โอเค”
มาร์ควิสรังกิลส์พูดอย่างมั่นใจเพื่อให้คาร์ลมั่นใจ แต่…
(สถานการณ์รบในตอนนี้มันยากลำบากสุดๆ)
จำนวนทหารที่รวมได้มากที่สุดของราชอาณาจักรลิชไทน์น่าจะประมาณห้าพันคนอย่างดีที่สุด นี่ไม่เพียงแต่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิที่สี่เลย แต่ยังด้อยกว่ากองทัพกบฏที่รุกคืบด้วยกองกำลังมากขึ้นในสถานที่ต่างๆ
“ถึงกระนั้น ข้าจะนำชัยชนะมาสู่ท่านอย่างแน่นอน”
นี่คือประเทศที่เขาเกิดและเติบโตมา เขาต้องการให้มันรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง มาร์ควิสรังกิลส์เริ่มกำหนดกลยุทธ์ด้วยความมุ่งมั่นในใจ
ช่วยกันหารค่าเล่มนิยาย ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ผู้แปลได้ที่นี่