[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 29 Volume 2 Chapter 1 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง End Chapter
- Home
- [LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก
- ตอนที่ 29 Volume 2 Chapter 1 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง End Chapter
Part 4
17 เดือนเจ็ด ปีจักรวรรดิที่ 1023 หลังจากการเดินทางอันยาวนานเป็นเวลาห้าวันในที่สุดก็ถึงมหานคครจักรวรรดิ
รถม้าที่คิออร์กเตรียมไว้ให้ฮิโระเน้นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ดังนั้นทุกครั้งที่ข้ามบั้นบันไดตัวเขาจะลอยและศีรษะเขาจะกระแทกกับอะไรเสมอ
พูดอีกอย่างโครตห่วยแตกเลย
“โอ้ย――.”
วันสุดท้ายมันยังทำให้ฮิโระเจ็บปวด
“อ่า แย่ชะมัดนอนไม่หลับหรอกแบบนี้.”
ขณะที่เขาลูบหัวบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ ฮิโระก็ลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ ด้านในของรถม้าพร้อมกับถอนหายใจลึกๆ แม้ว่าตู้โดยสารจะไม่ค่อยสะดวกสบายนัก แต่มันก็พอให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายได้บ้าง
ขณะที่เขามองออกไปนอกหน้าต่างทางด้านขวาของรถมม้าเขาเห็นทุ่งหญ้าและในขณะที่มองไปด้วยแววตางัวเงีย หน้าต่างด้านหน้าก็เปิดจากด้านนอก
“ตื่นแล้วเหรอพ่อหนุ่ม?”
คนที่มองเข้ามาคือคนขับรถม้าที่ควบคุมรถม้าสายด่วนคันนี้ จากนั้นฮิโระเลยยกมือตอบกลับ
“พวกเราใกล้ถึงจุดพักรถม้าครั้งสุดท้ายแล้วเตรียมตัวพร้อมจะลงดีกว่านะ.” คนขับรถม้ากล่าว
รถม้าสั่นสะเทือนเสียงดังเมื่อคนขับรถม้าปิดหน้าต่าง ฮิโระก็เริ่มลุกขึ้นและเตรียมลงจากรถม้าที่ไม่ได้ตรงไปยังมหานครจักรวรรดิ มันจะหยุดตรงสถานีที่ห่างจากที่นั่นหนึ่งเซล(สามกิโลเมตร)
“ขอบคุณมากครับ”
หลังจากมาถึงสถานี ฮิโระก็ลงจากรถม้าเขาตกใจกับจำนวนคนเล็กน้อย
“ฉันเองก็พอจะเข้าใจหัวอกพ่อหนุ่มอยู่หรอกนะ นี่คือเมืองหลวงไงล่ะ เพราะงั้นมันเลยมีคนมากมายขนาดนี้.”
สถานีนี้เต็มไปด้วยผู้คนทุกอาชีพ ตั้งแต่ขุนนาง สามัญชนไปถึงทหารรับจ้างและนักผจญภัย
สายลมอันน่ารื่นรมย์และกลิ่นของใบไม้สีเขียวจั๊กจี้จมูกของฮิโระ ฮิโระกล่าวออกจากสถานีที่แออัด มีรถม้าสำหรับนั่งต่อไปที่มหานครหลวงแห่งจักรวรรดิ แต่ชั้นเลือกที่จะเดิน
(ดูเหมือนจะถูกตามแฮะ)
มันลำบากถ้ามีคนเข้ามาโจมตีเขาที่นี่ เขาอยากหลีกเลี่ยงนำคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาพัวพันให้น้อยที่สุด จากนั้นฮิโระก็เข้าในไปทางเดินเท้าข้างๆถนนและนับตำนวนคนน่าสงสัยที่ตามเขามา
(สาม ……..หก……..แปดคนงั้นเหรอ?)
ความจริงที่ว่าการที่พวกนั้นปรากฏตัวให้เห็นเรียกได้ว่ามือสมัครเล่นมากกว่า แต่ยังเร็วเกินไปที่จะพูด
(อย่างไรก็ตาม ควรรีบออกห่างที่นี่.)
ฮิโระสามารถรอให้ฝ่ายศัตรูเปิดได้ แต่ถ้าเหล่าทหารได้ยินเสียงการต่อสู้ ฮิโระซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนเข้าเมืองจะถูกนำตัวไปสอบสวนแทน
แม้ว่าจะพิสูจน์ตัวตนได้ แต่ก็ไม่มีใครบอกเขาได้ว่าเขาจะถูกคุมตัวไว้นานแค่ไหน หากทหารรักษาการทำงานภายใต้การควบคุมของคนอื่นอีก นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเสียกับสิ่งเหล่านี้
(เอาล่ะ คราวนี้ใครก่อนดี.)
ฮิโระเล็งไปยังศัตรูที่ใกล้ที่สุด ในขณะเดียวกันรอยแยกมิติก็แตกออก และมีกริซเล่มหนึ่งออกมาซึ่งเป็นอาวุธภูติเหมือนกัน
“ถ้าเล่นตุกติกแม้แต่นิดเดียว ชั้นจะฆ่าแก ถ้าเข้าใจ ก็ไปบอกเพื่อนร่วมทีมซะ”
เขากดคมมีดลงไปที่หลังของชายคนนั้นและพูดอย่างเงียบๆ
“ขะขะเข้าใจแล้ว อย่าฆ่าฉันเลย”
ชายคนนั้นเหลือบมองเพื่อนของเขาที่ปลอมตัวเป็นนักเดินทางที่นั่งอยู่บนชายหิน จากนั้นชายที่มีรอยแผลเป็นบนแก้มยกแขนขึ้นไว้เหนือศีรษะอยู่หลายครั้ง หลังจากยืนยันว่ามีหลายๆคนถอยตัวไป ฮิโระก็ผลักชายตรงหน้าให้ถอยไป
“ชั้นจะถามคำถามแกสักข้อ ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้แต่แกจะต้องตายอยู่ที่นี่และชั้นจะไปถามเพื่อนของแกแทน”
เขาขยับคมมีดกดลงไปที่ใบหน้าของชายคนนั้นช้าๆและเสื้อผ้าสกปรกของชายคนนั้นก็ถูกตัด
“ได้โปรดหยุดเถอะ เดี๋ยวจะบอกทุกอย่างที่อยากรู้ให้เอง”
ฮิโระข่มศัตรูให้กลัว และมันก็ได้ผลดีซะด้วย
(สุดท้ายก็เป็นแค่มือสมัครเล่น…)
ในขณะสังเกตชายที่ขาสั่น ฮิโระยิงคำถามออกไป
“ทำงานให้ใคร?”
“ไม่รู้หรอกจู่ๆพวกเขาก็เอาเงินมาให้ฉันและบอกให้มาทำร้ายนาย”
“เหหหห ช่วยบอกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนั้นหน่อยได้ไหม?”
“พอดีว่าพึ่งปฏิบัติงานในฟิลด์เสร็จ จู่ๆก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งโผล่มาที่บ้านฉัน”
“ชายแปลกหน้า? แปลกยังไง”
“จำใบหน้าของเขาไม่ได้เพราะเขาสวมผ้าคลุม แต่เสียงเป็นผู้ชายแน่นอน”
ฮิโระควงกริซในมือของเขาและกดหัวด้ามไปที่ชายคนนั้นเพื่อกระตุ้นให้เขาพูดต่อ
“ถูกบอกให้ว่าส่งตัวนายให้ยาม จริงๆฉันเองก็ไม่อยากทำ แต่ได้มาสองเหรียญทองแกรนท์ก็เลย….”
ชายคนนั้นก็แค่ร้อนเงิน คนอื่นๆเองก็มาจากหมู่บ้านเดียวกัน
“ใครล่ะไม่อยากได้เงิน? ใช่ไหม? ดังนั้นขอโทษด้วยนะ.”
ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเขาโกหกแม้แต่น้อย การถามไปมากกว่านี้ก็ไม่น่าจะได้ข้อมูลอะไร
“ตอนนี้ไปได้แล้ว แต่ถ้ายังเล่นตุกติกอีก คราวนี้ไม่ปล่อยให้รอดหรอกนะ และอย่าเสนอหน้าให้ชั้นเห็นอีก ถ้าเจอหน้าที่ไหนชั้นฆ่าแกแน่?”
“แน่นอน เข้าใจแล้วฉันไม่โผล่ให้นายเห็นหน้าอีก”
หลังจากพยักหน้าอย่างแรงอยู่หลายครั้งชายคนนั้นก็วิ่งออกจากถนนและข้ามที่ราบโดยไม่หันหลังกลับมาเลย ผู้ชายที่เป็นเพื่อนของเขาก็รีบตามเขากลับไปอย่างร้อนรน
ฮิโระเฝ้าดูพวกเขาจากไป จากนั้นจึงตัดสินใจเดินไปยังมหานครหลวงจักรวรรดิต่อ
(เดี๋ยวพวกนั้นก็ถูกผู้ว่าจ้างฆ่าตายอยู่ดี แม้ว่าชั้นจะไม่ลงมือเองก็เถอะ)
ไม่มีงานง่ายๆได้ผลตอบแทนมหาศาลหรอก ถ้าเป็นงานแบบนั้นจริงๆพวกเขาต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น หากพวกเขาทำล้มเหลวพวกเขาก็จะถูกผู้ว่าจ้างฆ่าตายซึ่งก็เป็นสิ่งที่สมควรได้รับแล้ว
(แม้ว่าจะสงสัยก็เถอะทำไมถึงได้ใช้พวกชาวนาพวกนั้น.)
หากคู่ต่อสู้เป็นนักสู้มากความสามารถ ฮิโระคงต่อสู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นก็เป็นเรื่องของเวลาว่าเขาจะโดนจับได้เมื่อไร
(ช่างมันเถอะ ไว้ค่อยคิดที่หลัง ตอนนี้มาเพลิดเพลินกับเมืองหลวงหลังจากผ่านไปนานกันเถอะไม่สิ มหานครหลวงจักรวรรดิสินะ.)
ฮิโระหยุดคิดและจ้องมองไปยังข้างหน้าคือประตูหลักที่ยิ่งใหญ่ของมหาจักรวรรดิ
เมื่อมองขึ้นไปเหนือศีรษะ ฮิโระถูกห่อหุ้มด้วยความกลัวของกำแพงเมืองที่ใหญ่โต เมื่อเขามองลงไปในคูน้ำที่ล้อมรอบเมือง น้ำที่ดึงมาจากแม่น้ำเคนเดลล์ทางตอนเหนือรวมตัวกันเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด
สะพานทอดยาวจากอีกฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก เมื่อข้ามสะพานไปจะโดนตรวจสัมภาระ
“อาาาาาา…”
จากตรงหน้าทางเข้าอันล้นหลาม ยื่นออกมาจากทางประตูหลักเป็นทางเดินที่ปูด้วยหินทั้งหมด ในช่วงเวลาปกติทั้งสองด้านมีรูปปั้นขนาดยักษ์สูงทะลุท้องฟ้าซึ่งเป็นรูปปั้นยักษ์มหึมาที่แกะสลักอย่างประณีต เป็นเทพทั้งสิบสององค์แห่งแกรนท์
เหล่าทวยเทพมองลงมายังถนนราวกับต้อนรับผู้มาเยือน แผงลอยเรียงรายอยู่ที่ทางเดินเท้า ร้านค้าเต็มไปด้วยผู้คนผลุกพล่าน และพ่อค้าแม่ค้าก็เริ่มส่งเสียงเรียกลูกค้ากันใหญ่
“…อาคารเหล่านี้สูงกว่าเมื่อพันปีก่อนมากและที่สำคัญคนเยอะโครต.”
ฮิโระเริ่มเดินไปรอบๆมองไปรอบๆอย่างลังเล เขาพบกลุ่มคนส่งเสียงดังที่หน้าแผงขายเหล้าในตอนกลางวันโดยถือขวดเหล้าขวดหนึ่งไว้ในมือ
“ศัตรูตัวฉกาจของเราเฟลเซ็นถูกทำลายแล้วโว้ย เอาเหล้ามาดิ! ถ้าไม่ฉลองเดี๋ยวก็กร่อยกันพอดีสิวะ!”
“พวกเราควรแสดงความยินดีให้กับเจ้าหญิงลำดับที่หกที่เอาชนะราชอาณาจักรลิชไทน์ได้นะ!”
“ยิ่งกว่านั้นได้ยินมาว่าทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สองอยู่กับเธอด้วยนะ!”
หลังจากผ่านถนนที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยมากมายเขาข้ามประตูหลักมาแล้วพบกับบ่อน้ำพุอันงดงามที่ต้อนรับผู้มาเยือน เสาน้ำที่พุ่งออกมาจากกลางบ่อและเมฆด้านหลังสร้างบรรยากาศอันลึกลับ และเสียงของน้ำที่เปล่งประกายกำลังไหลช่วยเยียวยาจิตใจ
บริเวณบ่อน้ำพุเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ผู้หญิงที่มีลูกไปจนถึงพวกผู้ชายขี้เมา จนไปถึงเหล่านักเรียนที่กำลังอ่านหนังสือ นอกจากนี้มีบรรยากาศเงียบสงบแตกต่างจากหน้าทางเข้ามาก สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือรอยยิ้มของผู้คน
บางทีผลกระทบที่ค้างคาจากชัยชนะสองครั้งที่เฟลเซ็นและลิชไทน์อาจจะทำให้ผู้คนฉลองยินดีกันอยู่
“เอ่อนั่นท่านทายาทไม่ใช่เหรอครับ?”
เมื่อถูกเรียกจากด้านหลัง ฮิโระหันกลับมาก็เจอกับลูกน้องของออร่าสปิตซ์
“นานแล้วที่ไม่ได้เจอนะ มาทำอะไรที่นี่เหรอ? ชั้นคิดว่าพวกนายกลับไปยังทิศตะวันตกซะอีก…”
“ทางฝั่งผมต่างหากที่ต้องถามท่าน ทำไมท่านทายาทถึงได้มาอยู่ที่นี่?”
“โดนจักรพรรดิเรียกตัวมาน่ะ”
“อ๋อ งั้นเองเหรอครับ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ถูกเรียกตัว”
“แล้วสปิตซ์ ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าทำไมอยู่ที่นี่?”
“ก่อนกลับไปทางทิศตะวันตก หัวหน้าของผมเองก็ถูกฝ่าบาทเรียกตัวเหมือนกัน”
“ออร่าเหรอ?”
ไม่ใช่เลยครับ สูงกว่านั้นอีก ฝ่าบาทบลูทาร์ต่างหากครับ.”
เมื่อสปิตซ์เริ่มเดินฮิโระก็ตามเขาไป
“กองทัพจักรวรรดิที่สาม “อัศวินดำจักรวรรดิ”-ถูกจับได้ว่าทำการเคลื่อนทัพเป็นการส่วนตัว ในขณะที่องค์จักรพรรดิออกไปทำศึกสงคราม ดังนั้น ก็เลยถูกตั้งคำถามในหลายๆด้าน.”
“ก็นั่นสินะสมควรโดนอยู่หรอก ก็หมายถึงพยายามมายุ่งกับลิซนี่”
“สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกันดังนั้นการลงโทษนั้นรุนแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว.”
ปัญหาคือการปฏิบัติตัวต่อเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง สปิตซ์กล่าวเสริม
“มันเป็นปัญหาใหญ่ในพระราชวังหลวงเลยครับ ความยายามในการจะบังคับเจ้าหญิงลำดับที่หกและการจะฆ่าทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง นั่นเป็นเรื่องใหญ่มากเลยครับ.”
“เหหหหหหหห…”
“อย่างไรก็ตามแม้เขาจะเป็นผู้ถือครอง “”มิย็อลล์นีร์” ไม่ต้องพูดถึงการซัพพอร์ตของตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้า ซึ่งทำให้องค์จักรพรรดิต้องปวดหัวกับเรื่องนั้น (T/N: เอาจริงๆหลายๆที่เขียนไม่เหมือนกันเลยอะชื่อค้อนผมเลยไม่รู้ว่าอันไหนมันถูกต้องกันแน่)
จากนั้นสปิตซ์ก็หันมาสนใจฮิโระ
“และความจริงที่ว่าท่านทายาทได้ปรากฏตัวในมหานครหลวงจักรวรรดิก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่อง.”
เมื่อสปิตซ์มองไปยังท้องฟ้าด้วยสายตาล่องลอย ฮิโระก็ถามเขาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“แล้วพวกเราจะไปไหนกันดี?”
“อืม ผมเองก็พอจะบอกได้อยู่ มันเป็นสถานที่พิเศษ ดังนั้นคาดหวังได้เลยครับ”
ฮิโระและสปิตซ์กำลังเดินไปตามถนนทางตะวันออกของมหาจักรวรรดิ
ไม่เหมือนถนนกลางที่มีร้านค้ามากมายเรียงรายอยู่ รวมถึงร้านตีเหล็กมากมาย ร้านขายอาวุธ ร้ายขายเครื่องมือ แถวนี้มีนักผจญภัย ทหารรับจ้าง และผู้คนหลายประเภทมารวมตัวกันมากมาย และถนนเองก็ไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดีนัก ขณะที่ฮิโระกำลังมองไปด้วยความสนใจ สปิตซ์ก็เข้าไปในซอยระหว่างป้อมยามและโรงแรม ฮิโระยังคงตามเขาต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ต้องเจอกับแสงแดดที่สาดส่องลงมาอย่างระยิบระยับ มีวิหารเก่าๆถูกตั้งอยู่ที่นั่น
“อย่างที่เห็นแหละครับ ท่านออร่าอยู่ทีนี่”
สปิตซ์ชี้ไปทางออร่าที่กำลังนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ อ่านหนังสืออย่างคล่องแคล่วด้วยมือซ้ายของเธอในขณะที่แขนขวาของเธอหักอยู่
ข้างๆเธอมีกลุ่มอัศวินดำถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าเด็กๆ
แม้จะมีรูปลักษณ์เข้มงวดแต่ทหารเหล่านั้นก็ถือขนมหวานจำนวนมากไว้ในอ้อมแขน และดูเหมือนว่าเด็กๆจะแห่กันมาหาพวกเขา
“พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าจากสงคราม รู้ไหมครับ เด็กเหล่านี้คือเด็กที่ถูกนำมาที่วิหารภูติ.”
“ดังนั้นที่นี่เลยมีเด็กจำนวนมาก แต่ทำไมถึงมีวิหารอยู่ที่นี่?”
ผู้คนในทวีปกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาจักรวรรดิแกรนท์ มีผู้คนมากมายที่เชื่อในตัวราชันภูติ และมีคนบูชาไม่ขาดสาย เหตุใดจึงสร้างวิหารในที่รกร้างเช่นนี้
“เพราะว่าเหล่าภูติชอบที่นี่มากๆไงล่ะครับ.”
สิ่งที่สปิตซ์พูดทำให้ฮิโระเข้าใจทันที
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยธรรมชาติราวกับแยกจากเมืองที่พัฒนาแล้ว บริเวณโดยรอบของวิหารถูกปกคลุมไปด้วยหญ้า และดอกไม้หลากสี ทั้งสีแดงและสีขาว แถมยังมีสายลมอุ่นๆอีก การส่องของแสงแดดเองก็ช่วยชำระล้างวิหารให้สะอาดด้วย
“ด้วยการพัฒนาของเมือง ภาคตะวันออกจึงกลายเป็นสถานที่ๆเหล่านักผจญภัย ทหารรับจ้าง ทางการพยายามทำบางสิ่ง แต่ก็ไม่สำเร็จครับ”
“พวกเขาไม่สามารถไล่นักผจญภัยหรือทหารรับจ้างออกจากเขตตะวันออกได้ใช่ไหม?”
ฟันเฟืองที่ยิ่งใหญ่จะพังลงหากไปขัดสิ่งที่ฝังรากลึกลงไปแล้ว
“ครับนั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาสร้างป้อมยามเพื่อปกป้องเหล่าเด็กๆ”
มันถูกสร้างขึ้นก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ สปิตซ์กล่าว
“อย่างไรก็ตามที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งหลักของเหล่า “อัศวินดำจักรวรรดิ” อีกด้วยเจ้าหน้าที่คนก่อนละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ท่านออร่าเลยไล่เขาออกและให้เขาไปรักษาการทางภาคตะวันออกแทน.”
เมื่อสปิตซ์พูดอย่างภูมิใจ ออร่าที่สังเกตเห็นพวกเราก็เข้าใกล้จากร่มเงาของต้นไม้
“…ท่านคือคนสุดท้ายที่ดิฉันอยากเจอพอดีเลยค่ะ”
“ไงออร่า ผ่านมาสักพักแล้วนะ แม้ว่าจะไม่นานมากก็เถอะ”
“…อืม ฉันพึ่งเขียนจดหมายหาท่านเมื่อวานนี้ นอกจากนั้น ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”
“โดนจักรพรรดิเรียกตัวมาน่ะสิ.”
ฮิโระลดกระเป๋าลงกับพื้น เปิดกระเป๋าออกและหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา
“นี่คือ แต่.”
“…ขยะเหรอ?”
แน่นอนมันแย่ยิ่งกว่าตอนที่ลิซเอามาให้อีก
หลังจากอ่านจดหมายที่ส่งให้เธอแล้ว ออร่าก็สงสัย
“…ฉันพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้วค่ะ ว่าแต่ท่านจะเข้าไปในพระราชวังหลวงได้ยังไงกันคะ?”
“ก็ผมสีดำ ตาสีดำนี่ไง”
“แบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ปัจจุบันที่พระราชวังหลวงมีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายเกิดขึ้น ยังไงพวกทหารยามก็ไม่ให้ผ่านไปหรอกค่ะ”
“ถ้าชั้นโชว์จดหมายน่าจะ…”
“…ไม่มีใครคิดว่าขยะนี่เป็นจดหมายจากองค์จักรพรรดิหรกค่ะ.”
ออร่าคืนจดหมายให้ฮิโระและวางมือไว้ที่หน้าผากของเธอและส่ายหัวด้วยความทุกข์ใจ
“จดหมายจากองค์จักรพรรดิถูกขยำเป็นขยะแบบนี้ คอของท่านหลุดออกจากบ่าแน่นอนค่ะ ต่อให้จะเป็นท่านทายาทก็ตาม ไม่เคยมีใครทำกับมันเหมือนขยะเลยนะคะ แม้ว่ามันจะเป็นวิธีเดียวที่เข้าไปหาองค์จักรพรรดิได้ แต่ก็คงถูกประหารเพราะไม่แสดงความเคารพต่อตัวองค์จักรพรรดิ.”
“พูดอีกก็ถูกอีก…”
“เหมือนจะไม่มีทางเลือก ดิฉันต้องไปกับท่าน”
“เอ๋?”
“ถ้าดิฉันไปด้วยก็สามารถพาท่านฮิโระผ่านไปได้”
“ก็ขอบคุณอยู่หรอกแต่ว่า…”
เมื่อจ้องมองไปทางด้านหลังเธอ ก็เห็นเหล่า “อัศวินดำจักรวรรดิ”กำลังวางเด็กๆลง
“พี่สาวออร่าจะไปไหนงั้นเหรอคะ?”
หญิงสาวตัวน้อยพูดจาห้วนๆดึงแขนเสื้อออร่า ออร่าลูบหัวและยิ้ม
“ดิฉันจะไปที่พระราชวังหลวง ในช่วงนี้จะปล่อยให้สปิตซ์เล่นเป็นเพื่อนพวกเธอนะ.”
คงไม่แปลกฮิโระมองไปทางสปิตซ์ ก็เห็นว่าเขาหน้าซีด ออร่าพูดอย่างเพิกเฉยว่า “ตามดิฉันมาได้เลยค่ะ”แล้วเริ่มเดิน
“ได้โปรดรอก่อน ท่านออร่าาาาาาาาาาาาา”
เด็กๆที่ไม่ได้ถูกคุมตัวเอาไว้ก็เข้าไปรุมสปิตซ์ในพริบตา
“หยุดนะ ข้าเป็นขุนนาง จะทำแบบนี้ไม่ได้?”
“ข้าคือฝ่าบาทชวาร์ตชชายผู้จะโค่นชายไร้สาระคนนี้!”
“ถ้างั้นข้าคือนายพลเรย์!”
“ถ้างั้นฉันเป็นฝ่าบาทอัลทิอุส!”
“เดี๋ยวหยุดอย่าจับตรงน้านนนนนนนนนนนนนนน!”
สปิตซ์พูดอะไรบางอย่างกับพวกเขา แต่เด็กๆไม่ฟัง ด้วยเสียงกรีดร้องของสปิตซ์ ฮิโระและออร่าจึงมุ่งหน้าไปทางที่เขามาและมุ่งหน้าไปทางเหนือของถนนกลางระหว่างทางออร่าถามฮิโระ
“สถานที่ๆพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปนี้เป็นโลกที่มีแต่ผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ นั้นไม่เกินจริงเลย แต่ว่าที่นั่นก็คือโลกอันแสนอันตรายที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและการแก่งแย่งซึ่งอำนาจ เพราะฉะนั้นโปรดระวังตัวด้วยค่ะ?”
“อืม.”
“ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งต่อคนที่จะเข้ามาพบท่าน อย่าเข้าหาและอย่าตามพวกเขาไปโดยเฉพาะผู้หญิงให้ระวังเป็นพิเศษ เพราะในอดีตแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังถูกนารีเหล่านี้ทำให้ล่มสลายมานักต่อนักแล้ว.”
“นี่กำลังกังวลเกี่ยวกับชั้นงั้นเหรอ?”
นั่นเป็นเหตุผลที่คิดว่าวันนี้เธอพูดมากเป็นพิเศษ แต่ออร่ามองชั้น
“หุบปากและตั้งใจฟังค่ะ ดิฉันไม่ได้ล้อเล่น”
“ครับ…”
“น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถคุ้มกันท่านได้ตลอดเวลา ท่านเป็นคนเดียวที่องค์จักรพรรดิเรียกตัว”
“ใช่ เรื่องมารยาทเองก็ค่อนข้างสำคัญ แต่ชั้นว่าไม่น่าห่วงเท่าไร?”
“ถ้างั้นก็ดีค่ะ แต่ว่าt…”
เธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่งในขณะที่พวกเราเดินกันต่อไป
ขณะที่พวกเขาเดินขึ้นเนินประตูเหล็กที่สูงกว่าฮิโระถึงห้าเท่าก็ปรากฏขึ้น มันเป็นประตูเหล็กปลายแหลมเหมือนหอกที่หากใครตกจากที่สูงคงโดดเสียบตาย
เมื่อทหารยามเห็นออร่า พวกเขาก็วิ่งมาหาเธอ
“พลจัตวา ออร่า วันนี้มีอะไรให้กระผมรับใช้เหรอครับ?”
“จักรพรรดิทรงสั่งให้ดิฉันนำพาบุคคลนี้ไปที่พระราชวังหลวงค่ะ”
ออร่าชี้ไปยังฮิโระ ยามต่างอ้าปากค้างมองฮิโระ
“ไม่เคยได้รับสั่งแบบนั้นมาก่อนเลยครับ ขอโทษด้วย กระผมคงให้ท่านผ่านไปไม่ได้.”
ฮิโระขมวดคิ้ว นั่นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากจักรพรรดิเขียนจดหมายส่วนตัวหาเขา จึงไม่มีทางที่เขาจะไม่บอกทหารยามหรอก
มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแผนการของใครบางคนที่จะหยุดฮิโระไม่ให้เข้าไปหรืออาจเป็นไปได้ที่ทหารเหล่านี้อยู่ฝ่ายใครสักคน
“…ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกชื่อและสังกัดของพวกนายมาได้ไหมคะ?”
“หือ?”
“พวกนายสงสัยในตัวดิฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นคนสนิทของเจ้าชายลำดับที่สาม พวกคุณจะได้รับผลที่สมควรได้รับในการกระทำครั้งนี้ค่ะ.”
กล่าวอีกนัยหนึ่งข่มอีกฝ่ายจนทำให้อีกฝ่ายตกงานได้เลยนั่นเอง
“นั่นมัน…”
ใบหน้าของทหารยามต่างบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่ากำลังขัดแย้งอยู่ในใจ หลังจากนั้นใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อก็กล่าวขึ้น
“เชิญผ่านได้เลยครับ.”
ฮิโระรู้สึกขอโทษกับเหล่าทหารยาม แต่เมื่อออร่าผ่านประตู ฮิโระก็ไล่ตามเธอไป
เมื่อเขาก้าวไปยังพื้นที่อันกว้างใหญ่ เขาก็จำได้ว่ามียามกำลังลาดตระเวนพื้นที่
ในขณะที่พวกเขาจ้องมองเพื่อหาพฤติกรรมน่าสงสัย ฮิโระก็เดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ เป็นเส้นตรงมีน้ำพุขนาดใหญ่และถนนที่เป็นสี่แยก
ด้านตะวันตกเรียงรายไปด้วยคฤหาสน์ของผู้ทรงอิทธิพล ฝั่งตะวันออกเป็นที่ตั้งของ “อัศวินสิงโตทองคำ” ทหารหัวกระทิของกองทัพจักรวรรดิที่หนึ่งและสนามฝึก ด้านเหนือเป็นศูนย์กลางของมหาจักรวรรดิแกรนท์ พระราชวังหลวง เวเนซิเน่(Venezyne)
“ผู้พิทักษ์ด้านหน้าพระราชวังก่อนหน้านี้มาจากตระกูลโครน พวกเขาสนับสนุนเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเพราะงั้นระมัดระวังตัวด้วยค่ะ.”
ออร่ากระซิบข้างหูเขาและเขาพยักหน้าเล็กน้อย
“ท่านทราบเรื่องการเสียชีวิตของหัวหน้าตระกูลเคลไฮนต์ไหมคะ?”
ตระกูลเคลไฮนต์เป็นตระกูลขุนนางยิ่งใหญ่ที่รวมขุนนางตะวันออกเข้าด้วยกัน หลังจากเสียหัวหน้าตระกูลไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว แม้ว่าจะมีการระบุต่อสาธารณชนว่าการเสียชีวิตเป็นการพลัดตกจากม้า แต่ในความจริงคือเป็นการลอบสังหาร
“ดิฉันสงสัยว่าเป็นทางตระกูลโครนที่สั่งเก็บแน่นอนค่ะ แม้จะไม่มีหลักฐานใดๆแต่พวกเขากำลังวางแผนเข้าครอบครองตระกูลโดยเสนอข้อเสนอการแต่งงานให้กับดัชเชสแห่งตระกูลเคลไฮนต์ซึ่งเพิ่งสูญเสียสามีของเธอไป พวกเขาไม่ลังเลที่จะวางยาพิษใส่ท่านฮิโระเป็นแน่”
“ถ้างั้นชั้นต้องระวังตระกูลโครนเป็นพิเศษสินะ”
หลังจากขอบคุณออร่าแล้วฮิโระก็มาถึงพระราชวังหลวง หายใจเข้าลึกๆเขาไม่ได้ประทับใจกับความสวยงามเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความรู้สึกคิดถึงบ้านเก่ามากกว่า
แม้ว่าจะถูกบูรณะขึ้นใหม่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังชวนให้นึกถึงพระราชวังเมื่อพันปีก่อน
(…รู้สึกเหมือนได้กลับมาบ้านจริงๆ)
ที่นี่คือสถานที่แรกที่เขาถูกอัญเชิญมายังโลกแห่งนี้ เป็นสถานที่ๆเขาทำสนธิสัญญาเป็นพี่ชายน้องชายกับอัลทิอุส ถูกต้อนรับโดยเหล่าสหายมากมายที่ผ่านศึกสงครามมาด้วยกัน
นี่คือสถานที่สุดท้ายที่จักรวรรดิให้กำเนิดขึ้น สงครามจบลง และเขาก็บอกลาอเลเทีย
สถานที่ๆเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ
(ไม่ว่าอะไรจะรออยู่ข้างหน้า ชั้นก็จะไม่หยุด)
ด้วยโอกาสในครั้งนี้ การเริ่มต้นใหม่ของเขา ฮิโระก้าวเข้าสู่พระราชวังอีกครั้ง เมื่อเข้าไป ฮิโระได้รับการตรวจร่างกายโดยเหล่าองค์รักษ์และออร่าเองก็ได้รับการตรวจร่างกายจากเจ้าหน้าที่หญิง
หลังจากตรวจว่าปลอดภัยดี ออร่าก็มองไปยังฮิโระ
“พวกเขาจะมารับท่านเองค่ะ.”
เมื่อฮิโระมองไปยังข้างหลังออร่า ชายคนหนึ่งก็เข้ามาหา
“ขอบคุณที่เหนื่อยยากลำบากมาจนถึงที่นี่ กระผมไบแซน กราซี ฟอน ชาร์ม(Byzan Graeci von Scharm) เป็นอธิการบดีของมหาจักรวรรดิ ท่านก็คือลอร์ดฮิโระใช่ไหม”
ชายคนนั้นก้มศีรษะและพูดด้วยรอยยิ้มเต็มไปใบหน้า
“ท่านฮิโระใช่ไหมครับ?”
“อ่าครับ ผมโอกุโร่ ฮิโระ”
“ท่านใช่ไหมที่อ้างตัวเองว่าเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง?”
“ครับถูกต้องแล้ว”
“ถึงแม้จะรีบไปหน่อย แต่ทางเราอยากให้ท่านได้พิสูจน์ตัวตน ได้โปรดตามมาด้วยครับ.”
อธิการบดีกิลส์หันหลังและเริ่มเดินจากไป และฮิโระกับคนอื่นๆก็ตามมา ที่ผนังด้านขวาของทางเดินหน้าต่างวงกลมเรียงรายแสดงความมั่งคั่ง
บนเพดานมีภาพอันงดงามของราชันภูติและเทพสิบสององค์แห่งแกรนท์และ นักรบเสื้อคลุมสีดำซึ่งเชื่อว่าเป็นฮิโระในอดีตกำลังยืนต่อสู้กับศัตรู
“มีหลายคนที่อ้างตนเองว่าเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง แต่ไม่มีใครเป็นตัวจริง ถึงกระนั้นก็ไม่มีปัญหาเพราะมันมีการแอบอ้างอยู่แทบตลอดเวลา”
เสียงของอธิการบดีกิลส์ดังผ่านแก้วหูของฮิโระ
“ดังนั้นแม้จะเป็นคำพูดจากปากของท่านเซเลีย เอสทรีย่า กระผมก็ไม่สามารถวางใจได้ หากไม่มีหลักฐานที่ว่าเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง บอกตามตรงกระผมไม่รู้สึกตกใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก”
มีคนเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะเบื่อกัน
“มหาจักรวรรดิแกรนท์เป็นรัฐทางการทหาร มีหลายคนเชื่อในตัวเทพเจ้าแห่งสงคราม แน่นอนว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าท่านอ้างว่าตัวเองเป็นทายาท และโกหกล่ะก็ จะโกรธกันไม่ได้นะครับ เพราะนั่นจะทำให้กระผมคนนี้ที่นับถือเทพเจ้าแห่งสงครามโกรธสุดๆเลย.”
อธิการบดีกิลล์หยุดอยู่หน้าห้องและหันหลังกลับ
“หวังว่าท่านฮิโระจะเป็นตัวจริง กระผมจะเชื่อมั่นในคำพูดของท่านเซเลีย เอสทรีย่า.”
อธิการบดีกิลล์ปลดล็อคประตูแล้วเดินเข้าไป ฮิโระและออร่าก็ตามเข้าไป
ผนังทาสีขาวทุกด้าน ไร้ซึ่งหน้าต่าง มีเสื้อคลุมแขน แขวนไว้กลางห้อง และเสื้อคลุมนั้นเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในห้องแห่งนี้
อธิการบดีกิลล์เดินหน้าไปข้างหน้า กวักมือเรียกฮิโระเมื่อพวกเขามาถึงตรงเสื้อคลุม
“มีผู้คนมากกว่าสองพันคนที่อ้างว่าตนเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง “เทพเจ้าแห่งสงคราม” จนถึงตอนนี้ทุกคนต่างเสียชีวิตทันทีที่สวมเสื้่อคลุมนี่.”
อธิการบดีกลางเสื้อคลุมสีดำออก
“นี่คือ “แบล็คคามิเลีย” ที่เทพเจ้าแห่งสงครามเคยสวมใส่ ในนี้มีภูติสิงสถิตย์อยู่ พวกเธอจะเลือกนายของมันด้วยตัวเอง หากมีผู้ที่อ้างตัวตนและไม่คู่ควรกับนาง นางจะสาปส่งวิญญาณเหล่านั้นไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดไปชั่วโครตตระกูล”
เตรียมตัวพร้อมรึยัง? อธิการบดีกล่าวเช่นนั้น ฮิโระพยักหน้า
(นี่มันทำให้นึกถึงเลยนะ…)
สหายที่ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ดังนั้นชั้นไม่มีความตึงเครียดอะไร และฮิโระรู้สึกคิดถึงเธอมากกว่า จากนั้นฮิโระก็พยายามคว้าแบล็คคาเมเลียแต่มันก็หลุดออกจากมือของอธิการบดีกิลล์ การที่มันร่วงในกรณีที่ไม่มีลมทำให้มีริ้วรอยปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของอธิการบดีกิลล์
(หืมนางกำลังอารมณ์เสียงั้นเหรอ.)
เสื้อคลุมสีดำเป็นภูติที่มีลักษณะเฉพาะตัว และเมื่อเทียบกับภูติหลักทั้งห้าแล้ว เธอนั้นเป็นคนอารมณ์ที่หงุดหงิดได้ง่ายแต่หายยาก นอกจากนี้ เธอถูกเขาทิ้งมาพันปี ฮิโระจึงโกรธเธอไม่ลงเพราะเขาเป็นฝ่ายผิด
(ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอต้องรอนานขนาดนี้)
หลังจากขอโทษ “แบล็คคามิเลีย” ที่ตกลงไปบนพื้น ฮิโระก็ยื่นมือไปหาเธอ แต่เสื้อคลุมสีดำหลุดผ่านมือของฮิโระและลอยขึ้นไปบนอากาศ
อธิการบดีจ้องมองด้วยความตกตะลึงในทางกลับกันออร่ามองด้วยความสนใจ
ในขณะที่ฮิโระกำลังสับสน เนื่องจากคิดว่าโดนโกรธจนไม่น่าให้อภัย ความมืดก็พองตัวเริ่มพันแขนขาของฮิโระ ในพริบตา ร่างกายของฮิโระถูกห่อหุ้มด้วยความมืดราวกับถูกลากเข้าไป
อธิการบดีกิลล์และออร่าเบิกตากว้างโดยไม่มีคำพูดใดๆในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การปรากฏตัวของมวลแห่งความมืดราวกับว่ามันจะกลืนกินและขยายตัวหดตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อย่างที่คิดเป็นพวกสวมรอยอีกแล้ว.”
อธิการบดีกิลล์พึมพำด้วยความผิดหวัง มันเป็นฉากที่เขาเคยเห็นหลายต่อหลายครั้ง การเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นต่อหน้าเขา มันเหมือนกับดอกไม้แห่งความมืดได้ผลิบาน
“…ไม่จริงใช่ไหม”
ต่อหน้าอธิการบดีกิลล์ที่ตกใจ ฮิโระตั้งท่าอย่างสงบปรากฏตัวในเครื่องแบบที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เครื่องแบบจักรพรรดิสีดำที่มีเสื้อคลุมสีดำสนิททับอยู่ และการออกแบบของมังกรสีทองบนไหล่ที่ดูน่าเกรงขาม
เป็นเสื้อคลุมสีดำที่ได้รับพรจากภูติและเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในตำนานของ “เทพแห่งสงคราม”
“แบล็คคามิเลีย”ซี่งเปล่งประกายความลึกลับและความสง่างามในแบบ
――”ราชวงศ์.”
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องสงสัยเลย.”
อธิการบดีที่มองฮิโระเหมือนตัวตลกเมื่อครู่ ตอนนี้คุกเข่าลงและคำนับเขาในทันที
“ขอโทษสำหรับความหยาบคายที่กระผมได้ทำลงไปด้วยครับ เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่านทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง.”
“ไม่หรอกชั้นเป็นแค่ทายาท ไม่ควรจะกลัวชั้นด้วยซ้ำ แล้วชั้นก็ไม่ใช่ตัวฝ่าบาทสักหน่อย”
ถึงจริงๆจะเป็นเขาก็เถอะ แต่ถ้าอธิการบดีรู้เรื่องนี้
ไม่ว่าในกรณีใด ฮิโระรู้สึกงงกับท่าทางของชายชราคนนี้
เมื่อเขาหันไปขอความช่วยเหลือจากออร่า เธอก็มองฮิโระราวกับจะกลืนกิน
ตัดสินว่าเธอคงพึ่งพาไม่ได้แล้ว ฮิโระจึงกล่าวสองสามคำต่ออธิการบดี
“…อืม เท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วใช่ไหม?”
“โอ้ ยังหรอกครับ หลังจากนี้ท่านต้องไปที่วิหารราชันภูติ.”
หลังจากสงบสติได้แล้ว อธิการบดีก็หายใจเข้าลึกๆและอธิบาย
“ถ้าหากมีใครอ้างตัวว่าเป็นทายาทของชวาร์ตช ให้ไปที่วิหารราชันภูติเพื่อตรวจสอบว่าเป็นทายาทของชวาร์ตชจริงหรือไม่ ถ้าเขาเป็นจริงจงให้สถานะและเกียรติยศที่คู่ควรกับเขา ผู้ที่ฝ่าฝืนพันธสัญญานี้จะถูกสาปแช่งโดยราชันภูติ ท่านทราบเรื่องนี้ไหมครับ?”
ฮิโระพยักหน้าต่ออธิการบดี เขาลุกขึ้นอธิบายต่อ
“ตอนแรกก็กะจะให้ท่านไปที่วิหารราชันภูติก่อน แต่ตอนนี้กระผมไม่สามารถพาท่านไปพบกับมิโกะของวิหารราชันภูติในตอนนี้ได้ หากเกิดอะไรไม่ดีกับเธอ พวกเรารับผิดชอบกันไม่ไหว ดังนั้นหากพิจารณาถึงความปลอดภัยของเธอแล้ว ให้ตัดสินว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นทายาทสวม “แบล็ค คามิเลีย” นี้ให้ได้เสียก่อน”
อธิการบดีกล่าวเช่นนั้น “ทางนี้ครับ” และกระตุ้นให้ฮิโระไปที่ทางออก
“ที่เหลือที่ต้องทำมีเพียงแค่ไปยังวิหารราชันภูติและให้มิโกะแห่งวิหารเป็นคนยืนยัน――.”
เมื่อสังเกตเห็นทหารยามที่วิ่งเข้ามา อธิการบดีก็หยุดพูด
“ท่านชาร์มครับ อัศวินภูติได้มาที่นี่ และมีจดหมายจ่าหน้าถึงองค์จักรพรรดิ ผู้ที่เขียนเป็นมิโกะแห่งวิหารภูติครับ!”
“จากมิโกะแห่งวิหารภูติถึงองค์จักรพรรดิ? เข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะตามไป พวกเจ้าจงพาอัศวินภูติเข้ามา.”
“ฮ่ะ!”
ทหารยามกล่าวทักแล้วกลับไปทางที่พวกเขาจากมา อธิการบดีก็หันมามอง
“ขอโทษด้วยนะครับ มีเรื่องเร่งด่วนต้องดูแล ช่วยรอที่นี่สักครู่ได้ไหมครับ?”
“ไม่เป็นไรหรอกแต่ว่าชั้นต้องรอที่นี่เหรอ…?”
“เปล่าครับ ได้โปรดไปรอที่ห้องพักขุนนาง ถ้างั้น――.”
อธิการบดีกำลังจะยกมือเรียกสาวใช้ ตอนนั้นออร่าเองก็ยกมือขึ้น
“เดี๋ยวดิฉันจะพาท่านฮิโระไปเองค่ะ.”
“ฝากด้วยนะครับ พลจัตวาออร่า เดี๋ยวกระผมจะรีบกลับมา”
หลังจากเห็นอธิการบดีควบม้าออกไปฮิโระก็เดินไปกลับออร่า
“เป็นเรื่องผิดปกติมากเลยนะคะที่จะมีจดหมายจากมิโกะแห่งวิหารภูติส่งตรงถึงองค์จักรพรรดิ.”
“จริงเหรอ?”
“ค่ะโดนปกติแล้วมิโกะแห่งวิหารภูติจะรับคำพยากรจากราชันภูติและถ่ายทอดให้อธิการบดี ความจริงที่ว่าส่งตรงถึงองค์จักรพรรดิเองหมายความว่าเป็นคำพยากรณ์สูงสุดเลยก็ว่าได้ค่ะ.”
“นั่นเป็นเหตุผลที่เขาดูร้อนรนขนาดนั้นเลยสินะ”
“หากเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ก็เป็นเรื่องความเป็นความตายเลยนะคะ จดหมายจะถูกส่งให้องค์จักรพรรดิทันที.”
ทันใดนั้นออร่าก็หยุด ข้างหน้าเธอมีประตูสองบาน ออร่าผลักมันออกด้วยความคุ้นเคย
เธอนั่งลงบนโซฟา ฮิโระนั่งตรงข้ามกับเธอ
“ชั้นได้แต่สงสัยว่าตอนนี้เขาจะใช้เวลานานแค่ไหนในการจัดการธุระให้เสร็จ”
“น่าจะไม่นานค่ะ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาในจดหมายมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน.”
“หวังว่าทุกอย่างจะโอเคนะ”
ฮิโระยักไหล่มองไปรอบๆและสังเกตเห็นบางสิ่ง
“ยังไงก็ตาม ห้องพักขุนนางนี่ไม่มีใครใช้เลยเหรอ?”
“ที่นี่คือที่ส่วนใหญ่ที่เหล่าขุนนางที่ไม่มีคฤหาสน์ในเขตพระราชวังจะเข้ามาใช้กันค่ะ แต่ว่าขุนนางเล็ก กลาง ส่วนมากจะพักที่โรงแรมที่สร้างอยู่ในเมือง ก็เลยไม่ค่อยมีคนใช้เท่าไร.”
“ออร่ามีคฤหาสน์ที่นี่ด้วยเหรอ?”
“ฉันมีหลังหนึ่งค่ะ ทุกวันนี้ดิฉันไม่ได้ใช้เพราะนอนที่ป้อมปราการตลอดจนกระทั่งมาถึงมหานครหลวงนี่แหละค่ะ.”
หลังจากสนทนาไปครึ่งชั่วโมง แทนที่จะเป็นอธิการบดีมา ดันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาแทน
“ท่านฮิโระ ต้องขออภัยด้วย แต่ได้โปรดช่วยมาที่ห้องบัลลังก์ได้ไหมครับ?”
“ตอนนี้น่าจะมีเรื่องการสอบปากคำเจ้าชายลำดับที่หนึ่งและเจ้าชายลำดับที่สามอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?”
ขณะที่ออร่าถาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงพยักหน้า
“อ่า ตอนนี้มันจบลงแล้วครับ สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้คือการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิ แต่ก่อนหน้านั้น องค์จักรพรรดิได้ขอให้กระผมนำตัวท่านฮิโระไปที่ห้องบัลลังก์.”
“…พาเธอไปด้วยได้ไหม?”
“ท่านอธิการบดีบอกว่าท่านออร่าสามารถตามไปด้วยได้ อย่างไรก็ตามให้เธอไปทางประตูหลังแทน แต่ท่านฮิโระจะเข้าทางด้านประตูหน้าครับ.”
“เอาล่ะ ถ้างั้นออร่าเธอควรมาด้วยนะ”
“ค่ะ”
ออร่าลุกขึ้นยืนตามการกระตุ้นของฮิโระ
“ถ้างั้นได้โปรดตามกระผมมา.”
ฮิโระและคนอื่นๆออกจากห้องโดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงนำทางไป
ช่วยค่าน้ำค่าอาหารผู้แปลได้ที่นี่ หรือจะช่วยค่าเล่ม คนละบาทสองบาทก็ได้เด้อ