LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend - ตอนที่ 7.2: ความรัก
คอฟฟี่ช็อปที่พวกยูมะแวะมา เป็นร้านตกแต่งสไตล์คลาสสิกเงียบสงบ
พนักงานในร้านเชิญทั้งสองคนให้ไปนั่งโต๊ะมุมร้านข้างในสุด ไม่มีใครรบกวน
ยูมะคิดว่าร้านนี้เป็นร้านที่เหมาะกับการเดทมาก เพราะบรรยากาศร้านและคนรอบข้างที่ดูจะเป็นใจมาก
ยุมะสั่งเซ็ทแซนวิชย์กับพนักงานร้าน
ระหว่างที่ยูมะสั่ง ยุยเงียบตลอดไม่พูดจา หยิบเมนูมาดู ไม่สิ ยูมะดูออกทันทีว่าเธอแสร้งหยิบมาอ่านไปงั้นแหละ เพราะสายตาเธอล่อกแล่กแอบมองซ้ายขวาทันทีที่เธอสบตายูมะ
(วันนี้เธอ…แปลกจริงด้วย)
ยูมะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ด้วยความที่เธอแปลกไป เขาก็ต้องใจเย็นมากกว่าเดิมรอรับสถานการณ์ในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย
ระหว่างที่กำลังคิดอยุ่ พนักงานนำแซนวิชย์มาเสริ์ฟที่โต๊ะ
รสชาติแซนวิชย์ถือว่าอร่อยเลย แต่ปัญหาคือตอนนี้ยูมะกังวลกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจึงแทบไม่รู้รสชาติ
ระหว่างที่กิน ยูมะกับยุยไม่พูดอะไรสักคำ นั่งเงียบกริ้บทั้งคู่
หลังจากกินเสร็จ ทัั้งสองคนก็ยังไม่ลุกไปไหน ยุยยังคงนั่งตัวแข็งมองดูสถานการณ์ด้วยสายตาลล่อกแล่ก ราวกับรอโอกาสอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ทางยูมะก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะเหมือนยุยอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดสักที จะเอาไงกันแน่นะ
(ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ อย่าบอกนะว่าเธอ…จะสารภาพรักกับชั้น)
ยูมะคิดจบกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่
ถ้าเธอสารภาพรักจริง ชั้นควรทำไงดี
ยูมะเป็นผู้ชาย ส่วนลึกก็อยากได้ผู้หญิงน่ารักเป็นแฟนอยู่แล้ว
ปัญหาคือ ณ.ตอนนี้ ยุยจะพัฒนาความชอบจากเพื่อนเป็นแฟนจริงเหรอ หรือเธอคิดยังไงอยู่ตอนนี้
ถึงตอนนี้ ยุยก็ยังไม่พูดจาอะไรสักคำ ยูมะตื่นเต้นใจเต้นตึกตักรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
และแล้วในที่สุด ยุยก็เอ่ยปากขึ้นา
“คือว่า….ยู….ยูมะ”
“ค..ครับ”
“คือว่า..ขอถาม.อะไรแปลกๆ…สักเรื่องได้มั้ย”
“อืม”
“ยูมะ…ชอบชั้น..รึเปล่า”
ตอนนี้ยูมะรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่ดังไม่หยุด
“หมายถึงชอบใบฐานะเพื่อนเหรอ”
ยูมะพยายามค้นหาความหมายเบื้องลึกของคำถาม แต่ก็ไม่ได้คำตอบ
(แล้วมันใช่หรือไม่ใช่ฟะ อยากได้ความชัดเจนเฟ้ย)
ยุยกล่าวถามต่อด้วยน้ำเสียงติดอ่าง
“คือว่า…สมมติว่า…ยูมะชอบชั้น…เรามาลองคบกัน..มั้ย”
ยูมะตะลึงจนหยุดหายใจ
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดที่มีสาวมาสารภาพรักกับเขา
อุตส่ามีสาวมาสารภาพรัก มันก็ดีใจนะ แต่ยูมะยังรู้สึกทะแม่งๆ มีบางอย่างตะหงิดใจอยู่
ไอ้คำว่า มาลองคบกัน เขาเกรงว่ายุยจะเข้าใจไม่ตรงกับที่ยูมะคิดก็ได้
อย่าลืมว่าที่ผ่านมา ยุยเป็นคนที่สื่อสารกับคนอื่นไม่เก่ง ฉะนั้นมีแนวโน้มว่าสิ่งที่ยุยพูดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ยุยต้องการจริงก็ได้
เพราะงั้น ยูมะจึงสังเกตท่าทีของยุยซ้ำอีกรอบอย่างละเอียด
และแล้วเมื่อยูมะมั่นใจว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ เขาจึงเริ่มกล่าว
“ยุย”
“ค..คะ”
“นายชอบชั้นจริงๆเหรอ”
“เอ๋?”
ดูเหมือนว่าคำถามที่ยูมะถาม จะเป็นสิ่งที่ยุยคาดไม่ถึง ยุยเลยเกิดอาการตระหนก ตอบกลับมา
“ช..ชอบสิ?ถ้าไม่ชอบ..จะชวนคบกันเหรอ”
“คำว่าชอบของเธอ คือชอบในควมหมายเชิงคู่รักใช่มั้ย”
“เอ๋..เอ่อ…คือ..”
ยูมะถอนหายใจ ถามต่ออีก
“สรุปว่าวันนี้ท่าทางนายไม่ปกติ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“คือว่า..พ่อชั้นบอกว่าผู้ชายที่ใจดีกับผู้หญิง จริงๆแล้วส่วนลึกในใจมีเบื้องหลังแอบแฝง… ชั้นเลยอยากลองถามดู..”
“สิ่งที่นายทำกับสิ่งที่นายบอกมันดูไม่เกี่ยวข้องเลยนะ ถ้างั้นทำไมนายถึงเลือกขอคบชั้นล่ะ “
“ก็มัน…ก็มัน…นี่เป็นรักแรกของชั้น ชั้นไม่รู้ว่า..ต้องทำแบบไหนบ้าง…แต่ชั้นคิดว่า…ถ้าชั้นเป็นฝ่าย…ขอคบยูมะ…ยูมะจะดีใจ…”
“สรุปคือนายคิดว่าชั้นชอบนาย นายเลยเปิดฉากเลือกที่จะเป็นฝ่ายพูดขอคบก่อน ถูกมั้ย? บ้ารึเปล่านายนี่”
“แต่ว่า…ชั้นอยากตอบแทนบุญคุณ ที่ผ่านมาชั้นพึ่งพายูมะเยอะมาก..คือว่า…ยูมะ..โกรธชั้นเหรอ”
“โกรธสิ”
ถ้าคำตอบของยุย ตอบมาว่า “ชั้นรักยูมะเลยอยากขอคบเป็นแฟน” ยูมะจะตอบโอเคแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย
แต่จากคำตอบของยุย มันชัดเจนว่า ไม่ใช่ชั้นรักยูมะ แต่เป็นคำว่า ชั้นอยากตอบแทนบุญคุณยูมะ ความหมายกับฟีลลิ่งข้างในมันคนละเรื่องเลย
ยูมะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหายุย ยุยก้มหน้าหลบตายูมะ ตัวสั่นนิดๆ
ยูมะยื่นมือสองข้างไปหายุย ดึงแก้มเธอเบาๆเป็นจังหวะตามคำพูด
“อุเนี้ย?”
“ทำ..ไม..นาย..ถึง…งี่เ..เง่า..อย่างนี้..ห๊ะ”
“ยู..ม้า..หยุดเดงเก้มได้แล้ว”
ยุยพูดจาไม่เป็นภาษาฟังไม่รู้เรื่องเพราะถูกยูมะดึงแก้มอยู่
“ชั้นคิดว่านายเป็นเพื่อนชั้น ชั้นก็ต้องอยากดูแลเอาใจใส่ แล้วไอ้ที่นายพูดตะกีี้มันหมายความว่าไงห๊า หัดให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่านี้สิฟะยัยนี่”
“ก็มัน..ชั้นคิดว่าทำแบบนี้แล้วยูมะจะดีใจ…อุเนี้ย”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกันสักหน่อย งี่เง่ามาก ใครเขาขอคบเป็นแฟนด้วยความรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณห้า ยัยคนนี้นี่”
“อุเนี้ยยยยย”
“…และที่สำคัญนะ”
“….?”
ยูมะลดโทนเสียงตัวเองลง
“พูดจริงๆชั้นช็อคมากที่ได้ยินนายบอกว่า ชั้นใจดีกับเธอเพราะมีเบื้องหลังข้างในแอบแฝง”
ยูมะคิดว่ายุยคือเพื่อนคนสำคัญ เขาจึงทำดีกับเธอมาตลอด เขาอยากจะช่วยเธอเพราะเธอคือคนที่เป็นโรคสื่อสารไม่เก่ง ซึ่งยุมะเคยเป็นมาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกและอยากช่วยเธออย่างเต็มที่
ยูมะรู้สึกดีเวลาที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับยุย เขารู้สึกถึงสายสัมพันธ์มิตรภาพที่ค่อยๆถักทอก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
เวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน เขาสนุกมาก และคาดหวังในอนาคตว่าหากเดินไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ชีวิตตอนนั้นจะต้องสุนุกไม่ต่างจากตอนนี้แน่
เอาจริงๆ ยูมะเข้าใจความรู้สึกทุกคน รวมถึงพ่อยุยด้วย ลองสวมแว่นตาบทบาทคนนอกดู จะเข้าใจง่ายๆเลย ยุยเป็นลูกสาวคนเดียวแล้วจะมีพ่อคนไหนที่ไม่ห่วงลูกบ้างล่ะ
แต่นั่นแหละ เรื่องเข้าใจความรู้สึกมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่พอโดนฟังจากปากเจ้าตัวเองมันก็รู้สึกช้อคอยู่เหมือนกัน
“อ๊ะ…”
ยุยฟังคำพูดยูมะจบ หน้าเธอค่อยๆซีดเผือด
“ชั้นขอโทษนะ…”
เธอกล่าวคำขอโทษออกมา ส่วนยูมะถอนหายใจเล็กน้อย เห็นสภาพยุยสลดขนาดนี้ เขาคิดว่าต่อว่าแค่นี้คงเพียงพอแล้วล่ะ
“ชั้นเข้าใจเพราะฉะนั้นชั้นยกโทษให้ ครั้งต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะ…อ้าวเฮ้ย..ยุย..?”
“ชั้นขอโทษ….ที่สงสัย..ยูมะ..ฮึก..ฮือ..ทั้งที่..เป็นเพื่อนกัน..แท้ๆ…แต่ชั้น…ฮือ”
ยุยน้ำตาไหล กล่าวเสียงสั่นเครือปนเสียงร้องไห้
“ย..ยุย? ไม่เป็นไรนะ ชั้นบอกตะกี้ไงว่ายกโทษให้ …..นี่ชั้นยกโทษให้แล้ว…..ไม่ติดใจอะไร…แล้วจริงๆนะ”
คราวนี้ยูมะเป็นฝ่ายพูดติดอ่างบ้าง ยูมะรู้สึกแย่โทษตัวเองหนักกว่าเก่าว่าโคตรเลวเลย สรุปว่าคพูดเขาทำให้ผู้หญิงน่ารักแบบยุยเสียน้ำตาซะงั้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาทำผู้หญิงร้องไห้ จึงรู้สึกผิดกับตัวเองมาก
ยูมะหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาพลางลูบหลังปลอบใจเธอ ในที่สุดยุยก็หยุดร้องไห้
“ขอโทษนะ..”
ยุยยังคงขอโทษยูมะ ไหล่สั่นเล็กๆ
“ไม่หรอก เป็นฝ่ายชั้นต่างหากที่ต้องขอโทษ ชั้นพูดเกินไปด้วยแหละ”
“ไม่หรอก เรื่องตะกี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของชั้นฝั่งเดียว แล้วก็นะ…จริงๆ..ก็รู้สึกดีใจอยู่นิดๆ”
“ดีใจ?เรื่องอะไรนิ”
“เพราะว่ายูมะเห็นชั้นเป็นเพื่อนคนสำคัญและเอาใจใส่ชั้นจริง ยูมะถึงโกรธไง”
“ถึงตอนนี้ยังติดใจอะไรชั้นอยู่มั้ยล่ะ”
“ไม่แล้วล่ะ จะว่าไงดี คืออธิบายไม่ถูกรู้แค่ว่าชั้นดีใจ แล้วก็รู้สึกผิดมากที่ไม่เชื่อใจยูมะ พอคิดแบบนี้แล้วน้ำตามันไหลออกมาเอง ต้องขอโทษด้วยนะ”
“ไม่ต้องขอโทษซ้ำหรอกน่าเรื่องนี้ช่างมันเถอะ”
ยูมะหัวเราะขื่นๆ เอาเหอะ สิ่งที่คาดกับความเป็นจริง สุดท้ายมันออกในรูปแบบนี้ ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า อย่างน้อยเรื่องมันก็ไม่ได้แย่ไปซะหมด
ทว่าจู่ๆยุยลุกขึ้น เดินมากอดยูมะ อ้อมแขนเธอรัดยูมะแน่นมาก หน้าผากเธอซบกับอกยูมะจนรู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นผ่านหน้าผาก
“ย..ยุย”
“ชั้น..สื่อสารกับคนอื่นไม่เก่ง…แต่ว่า..ชั้นอยากบอกความรู้สึกตอนนี้..ให้ยูมะรู้..และชั้นนึกออกแค่วิธีนี้อย่างเดียว”
ยุยพูด เงยหน้ามองยูมะในขณะที่สองแขนเธอยังกอดเขาอยู่
ถึงแม้ว่าเธอจะอาย แต่ด้วยวิธีนี้ทำให้เธอสามารถสบตากับยูมะได้สักที สายตาทั้งคู่ประสานกัน
“ยูมะ…ชั้นน่ะ..ชอบยูมะ..ที่สุดเลย”
คำสารภาพรักครั้งนี้ สำหรับยูมะมันคนละแบบกับก่อนหน้า
ความรู้สึกที่ยูมะสัมผัสได้ มันคือรักแบบเพื่อนที่สนิทแนบแน่นราวกับเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่ความรักเชิงหนุ่มสาว
แต่แม้ว่าจะเป็นการสารภาพรักในเชิงสมาชิกครอบครัวก็ตาม ยูมะก็ยังเขิน รู้สึกว่ายุยน่ารักและมีเสน่อยู่ดี
เขาอยากจะกอดยุย อยากจะสารภาพความรู้สึกที่เขามีต่อยุยในแบบของตัวเองคืน แต่ว่า
(เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆๆๆ ทำไมจู่ๆตะกี้เราถึงมีฟีลอยากสารภาพรักกับยุยฟะ)
ยูมะผลักยุยออกเล็กน้อยเป็นภาษากายว่า ให้หยุดกอดได้แล้ว ทางยุยเองเริ่มถึงขีดจำกัดความอายแล้ว เลยถอนมือแต่โดยดี
พอคลายอ้อมกอด ยุยถึงรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป เล่นเอาใจเต้นโครมครามจนได้ยินเสียงหัวใจเลย
“ถ้างั้นก็ ยูมะ ขอฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งด้วยนะ”
“อ..อืม”
ยูมะหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินตัวเองขณะตอบยุย
ยูมะมองหน้ายุย รู้สึกอายนิดหน่อย แต่ว่าตอนนี้เธอน่ารักมาก
(ก็คิดอยู่แล้ว คำว่าชอบต้องเข้าใจคนละความหมายกับที่เราคิดแน่ ยุยไม่มีทางคิดกับเราเกินไปกว่านั้นหรอก)
ในหัวยุมะ มีความคิดแบบนี้ตะโกนก้องข้างใน ทว่าเสียงหัวใจเต้นของเขาก็ยังไม่หยุดลงง่ายๆ
****
จบ CH7-2
ดึงแก้มน้องซะมันมือเลยนะเจ้ายูมะ 55 อีเว้นคอฟฟี่ช้อปตอนหน้าก็จบแล้วนะครับ ผมแปลรวดเดียว ชั่วโมงครึ่งเลย เผื่อว่าพรุ่งนี้โดนเรียกแดกเหล้า อาจจะไม่ได้แปลนะครับ แต่ถ้าไม่โดน ก็แปลตามปกตินะครับ
ถ้ารอได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า kurakon