LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend - ตอนที่ 3.2: ก้าวแรกของยุย
ยุยที่เห็นฝูงคนเป็นจำนวนมาก เกิดอาการหวาดหวั่น สายตาล่อกแล่ก เธอยื่นมือคว้าแขนยูมะ เอามาแนบอก
“เอ๊ะ?..ยุย?”
“คือว่า คนเยอะแบบนี้….ชั้นกลัวพลัดหลง…ถ้าชั้นทำแบบนี้…ชั้นรู้สึกสบายใจ..ไม่รังเกียจ..ใช่มั้ย”
“เอ่อ ก็ไม่ครับ.. “
ยูมะหน้าแดงเพราะแขนตัวเองแนบกับอกของยุย ทั้งที่เป็นแค่การคล้องแขนแต่ก็ทำเอารู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า
“งั้นก็กลับเลยเนอะ”
“อืม..”
ยูมะเดินทางกลับบ้านพร้อมกับยุย ช่วงที่เดิน ยุยกอดแขนแน่นกว่าเก่า
ยูมะคิดว่ารู้สึกดีอยู่หรอกที่ความสัมพันธ์ของยูยกับยูมะแนบแน่นกว่าเดิม แต่ทำแบบนี้ก็รู้สึกตื่นเต้น+อายเล็กๆเหมือนกัน
ไม่นานนัก ยูมะก็ส่งยุยถึงบ้านตามปกติ
******
ผ่านไปสามวัน ตลอดสามวันที่ผ่านมา ทั้งสองคนก็ยังคงออกมาเล่นเกมที่เน็ตคาเฟ่ที่เดิม
มาเล่นเน็ตค่าเฟ่นี่ก็เสียตังค์พอสมควร แต่โชคดีว่ายูมะยังมีเงินเก็บตอนปีใหม่+ตั้งเป้าว่าเข้าม.ปลายจะหางานพิเศษทำ เลยใช้เงินกับเรื่องนี้ได้ไม่เสียดาย
แม้ว่ายุยยังคงใช้วิธีแชทมากกว่าคุย แต่ยูมะรู้สึกได้ว่า ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขาเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านไปครบ 1 อาทิตย์ ทั้งสองคนก็ยังคงสิงสถิตย์ที่ร้านเน็ตคาเฟ่เหมือนเดิม
วันนี้ทั้งสองคนไม่ได้เล่นเกมล้วนๆ ใช้คอมบอทเกมไปด้วยอ่านการ์ตูนไปด้วย
**อันนี้น้ำเยอะ จะสรุปคร่าวๆคือ ทั้งสองคนอ่านการ์ตูนที่ชอบคือ พวกแฟนตาซีผุ้กล้า ชื่อ จอมมารกลับชาติ ก็จะหยอกล้อประมาณว่า ยุยอ่านจบก่อนเลย สปอย แต่ยูมะเห็นความน่ารักยุยเลยโกรธไม่ลง แล้วก็พูดถึงตัวละครในการ์ตูน ชื่อฟี เป็นเทวดาที่หน้าตาน่ารัก ตัวเล็กทรงโลลิค่อน ผมสีขาวคล้ายยุย ประมาณว่า ยุยชอบตัวนี้เพราะคล้ายเธอ ส่วนยูมะก็ชอบตัวละครแนวโลลิด้วย
หลังจากนี้ทั้งสองคนจะพิมพ์แชทต่อ
“จะว่าไปถ้านายคอสเพลย์เป็นตัวละคร ฟี ชั้นว่าน่าจะเข้ากับนายนะ”
“เอ๋.. คอสเพลย์? ยูมะเคยคอสเพลย์ด้วยรึไง”
“เปล่า ไม่เคยหรอก แต่คิดว่าอยากเห็นคนรู้จักคอสเพลย์ดูสักครั้ง อยากถามว่ามันรู้สึกยังไง สนมะ”
“ไม่ไม่ไม่ ไม่มีทาง ถึงเป็นยูมะขอร้อง ผมก็ไม่ทำเรื่องนี้แน่”
“อะนะ คอสเพลย์นี่จริงๆก็พูดเล่นไปงั้นล่ะ แต่ส่วนหนึ่งถ้าคอสเพลย์ขึ้นมา อย่างน้อยจะได้ลองเปลี่ยนเครื่องแต่งกายบ้าง ไม่ต้องสวมฮู้ดคลุมผมไง”
ทุกวันนี้ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แต่เสื้อผ้ายุยยังคงเป็นชุดฮาก้าพร้อมฮู้ดทุกวัน
ยูมะเป็นห่วงเธอเพราะว่า มาเล่นร้านเน็ตมันก็ไม่มีปัญหาจะแต่งไปรเวทก็ตามสบาย แต่พอเข้าโรงเรียน มันต้องใส่เครื่องแบบ ควรหัดใส่ชุดอื่นบ้างน่าจะดีกว่า
“อย่างน้อยขั้นแรกเลย เอาแค่ตอนอยู่กับชั้นสองคน นายถอดฮู้ดออกก็ได้นะ นายก็น่าจะรู้ดีว่าชั้นไม่แกล้งนายเรื่องสีผมอยู่แล้ว”
“อืม”
ยุยพิมพ์แชทจบ วางสมาร์ทโฟน สูดลมหายใจเข้าลึก มองไปรอบๆ ก่อนที่แววตาเธอจะฮึดสู้่ขึ้นมา เธอค่อยๆถอดฮู้ดคลุมผมออก ผมยาวสีขาวของเธอแผ่สยายออกมา ราวกับปีกนางฟ้า
ยูมะเพิ่งสังเกตเห็นว่า ทรงผมยุย ไว้ผมยาวถึงช่วงกลางหลัง ตอนสวมฮุ้ดยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอตอนนี้เห็นทรงผมของเธอที่เข้ากับรูปลักษณ์เต็มๆ ให้ความรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงมากกว่าเดิม เล่นเอาใจเต้นตุ้มต่อม
“ป…เป็น..ไงบ้าง..แปลกใช่มั้ย?”
ยุยถามด้วยท่าทางเขินอาย
ส่วนคำตอบยูมะตือ
“น่ารักมาก……. เอ๊ย ไม่มีอะไรหรอก”
ท่าทางและทรงผมของเธอมันน่ารักมากจนยูมะหลุดปากพูดไปโดยไม่รู้ตัวก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยความเขิน
ทางด้านยุยก็สีหน้าแดงเรื่อ หยิบสมาร์ทโฟนพิมพ์แชทตอบ
“โกหก ดูยังไงมันก็มีชัดๆ”
“ปัทโธ่ มองโลกในแง่บวกบ้างสิครับ เออ จริงๆมันมีแหละ นายน่ารักมาก นายเป็นคนสวยสุดๆนะจะบอกให้”
ยุยอ่านแชทที่ยูมะพิมพ์ตอบ หน้าเธอแดงยิ่งกว่าเดิม
“ชมผู้หญิงว่าน่ารักทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ”
“ทำไมนายพูดเหมือนไม่เชื่อว่าตัวเองน่ารักจริงๆรึไง คิดว่าชั้นยอเธอไปเรื่อยเหรอ ให้ชั้นพูดอีกกี่ครั้งก็ได้ นายน่ารัก ยุยจังน่ารักที่สุดเลย”
“หยุดได้แล้ว!ตอนนี้ชั้นอายจริงๆแล้วนะ หยุดพูดน้าาาาา”
เอาจริงๆยูมะเองก็เริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เลยเปลียนหัวข้อ
“จะว่าไป ผมนายเป็นสีแบบนี้เพราะย้อมมารึไง”
“ไม่รู้ อยู่ๆก็เป็นเอง ตอนอยู่ชั้นประถม สีผมชั้นค่อยๆเปลี่ยนเรื่อยๆ เลยโดนล้อมาตั้งแต่ตอนนั้น”
“เด็กประถมพวกนั้นมันก็ปากมอมไปเรื่อยอย่าไปคิดเยอะน่า ชั้นพอเข้าใจความรู้สึกนายที่เป็นกังวลเรื่องสีผม แต่อย่าไปใส่ใจกับสังคมเกินไป แล้วก็ถ้านายเอาความแจ่มใสแบบที่เห็นในแชท ไปใช้ในชีวิตจริงได้ รับประกันเลยว่านายป๊อบแน่”
ยุยอ่านแชทจบ สีหน้าเขินอาย หลบตายูมะ พิมพ์แชทตอบ
“ไม่ต้องป๊อบก็ไม่เห็นเป็นไร..”
เอาจริงๆถ้าเป็นพล็อตเรื่องมังงะโรแมนติก ถอดฮู้ดแบบนี้+มีคนชม ความมั่นใจของตัวเอกต้องล้นปรี่ กลายเป็นสาวฮอตไปแล้ว แต่ชีวิตจริง คือเธอยังคงไม่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง เห็นชัดเลยว่าถอดฮุ้ดมาถึงตอนนี้ ท่าทีเธอกระวนกวะวายมาก
แต่ก็ช่างเถอะ มาได้ถึงขนาดนี้ก็บุญแค่ไหนแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้
ว่าไป กลับไปอ่านการ์ตูรต่อดีกว่า ยูมะคิดแบบนี้ แต่จู่ๆยุยก็คว้าแขนเสื้อยูมะ
“ยูมะ….”
“หือ?มีอะไรเหรอ”
“ชั้น…น่ารัก..จริงๆเหรอ…ไม่ได้อวย..เกินจริง.ใช่มั้ย”
ยุยยังคงมีท่าทีเขินอาย หน้าแดงแป๊ด แต่คราวนี้เธอสบตากับยูมะโดยตรง
“…น่ารักจริงๆครับ ยืนยันจากใจ”
พอเธอสบตา ยูมะรู้สึกอายยิ่งกว่าเดิมเท่าตัว แต่ก็พูดออกไปตามจริง
“จริงเหรอ แฮะแฮะ”
ยุยเขินและดีใจจนหัวเราะออกมา
“ถ้ายูมะพูดจริง ชั้นจะ…ลองพยายาม..ให้มากกว่านี้”
****
คราวนี้หลังออกจากร้านเน็ต ยุยตัดสินใจไม่สวมฮู้ด
“ดูสภาพนายแล้ว..ไม่น่าไหวนะ”
“ว…ไหว..”
พอออกมาหน้าร้านปุ๊บ ยุยตัวแข็งทื่อไม่ขยับ
วันนี้ตอนยูมะออกจากร้านเน็ต เป็นช่วงเวลากลับบ้านของคนทำงาน ผู้คนพลุกพล่านมากบนทางสัญจร และคนที่ผ่านไปมา มีจำนวนไม่น้อยที่มองผมของยุย
“ถึงบอกว่าไหว แต่ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ”
“ชั้นตัดสินใจ..แล้ว..ว่าจะลอง..พยายาม”
คำพูดของยุยดูมุ่งมั่น แต่ความเป็นจริงคือถึงตอนนี้เธอยังไม่ขยับตัวจากที่เดิมสักก้าว
“ยูมะ..ชั้นมีเรื่อง..ขอร้องอย่างหนึ่ีง”
“อืมได้สิ”
“ยืม..แขน..ได้มั้ย”
“แขน?”
ยูมะยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ก็ยื่นแขนให้ยุย
“ห๊ะ”
พอยื่นปุ๊บ ยุยกอดแขนยูมะเดินเคียงข้างแบบพวกคู่รักหวานแหววเดินควงแขนกัน เล่นเอายูมะใจเต้นตึกตักเพราะไม่เคยเจอผู้หญิงทำแบบนี้มาก่อน
เห็นสภาพยุยที่พยายามขนาดนี้ จะปฏิเสธ สะบัดแขนออก เธอคงรู้สึกไม่ดีแน่
“คือจะให้ส่งนายถึงบ้านทั้งอย่างนี้ใช่มั้ย”
ยุยหลับตาปี๋ พลางพยักหน้าเล็กน้อย แสดงชัดว่าให้ทำตามที่บอก
“มา งั้นก็กลับกันครับ”
ในระหว่างเดินทางกลับ ผู้คนรอบข้างต่างพากันมองพวกยูมะราวกับเห็นของเล่นน่าสนุก บางคนก็ยิ้มเมื่อเดินผ่าน
ด้วยความที่ยุยกอดแขนยูมะแน่น+หลับตา ทำให้การเดินทางพาไปส่งบ้านยุยครั้งนี้ช้ากว่าปกติพอควร
****
ทันทีที่ถึงหน้าบ้าน ยุยเป่าปากถอนใจโล่งอกสุดพลัง รีบหยิบมือถือแชทหายูมะ
“ยุมะ วันนี้ผมพยามได้ดีมากใช่มั้ย ชมหน่อยสิ ชมหน่อย”
ยุยแชทด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ พอยูมะเห็นสีหน้าเธอเลยหัวเราะ เกิดความรู้สึกว่าถ้าเขามีน้องสาว ฟีลลิ่งคงประมาณนี้แหละ
เอาจริงๆ เดินมานี่ก็สภาพดูไม่จิดนะ เพราะเธอหลับตาปี๋มาตลอดทาง แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือก้าวแรกครั้งสำคัญของเธอที่ใช้ความกล้าฝ่าปัญหา ฉะนั้นควรชื่นชมเธอในเรื่องนี้
ยูมะคิดจบยื่นมือไปแตะหัวยุย ลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“จ้าจ้า ครั้งนี้พยายามได้ดีมากครับ”
ยุยที่ถูกยูมะลูบหัว สีหน้าตกใจ เงยมองยูมะ
…อะเร้ะ? หรือกูทำอะไรผิดฟะ หรือที่บอกให้ชมตะกี้เป็นมุกเหรอ แล้วกูก็ไปลูบหัวเพราะอ่านบรรยากาศไม่เป็นรึเปล่า
ยูมะคิดจบ รีบถอนมือออกทันที
“ข..ขอโทษจริงๆ ชั้นเผลอคิดว่าเธอเป็นน้องสาวเลยลูบหัวไปโดยไม่รู้ตัว”
“.อืม..ไม่เป็นไร”
ยุยยังคงอายหน้าแดงระเรื่อ ยกมือทาบหน้าอกตัวเอง หายใจเข้าลึก หยิบมือถือพิมพ์แชท
“อย่าบอกนะว่าเมื่อสักครู่ยูมะคิดว่าผมเป็นน้องสาวจริงๆ”
“..ขอโทษด้วย ใช่แล้ว ชั้นเผลอคิดแบบนั้นจริง”
“ไม่เป็นไรสักหน่อย ผมพึ่งพานายเยอะมาก แต่มันก็อาย ถ้าอยู่ข้างนอก อย่าลูบหัวแบบนี้อีกนะ”
“โทษทีโทษที”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมแค่อายแต่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจซะหน่อย”
ยุยพิมพ์แชทถึงตรงนี้ส่งไปปุ๊บ มือชะงักไม่พิมพ์ต่อ มองดูซ้ายขวารอบๆมั่นใจว่าไม่มีคนเลย ก่อนจะพิม์อีกที
“ยูมะอยากลูบหัวผมั้ย”
“ห๊ะ?”
“ไม่ได้หมายถึงเชิงอย่างว่านะ แค่คิดว่า อย่างผมเองถ้าเจอคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนที่ชอบก็มีฟีลอยากลองลูบหัวสักครั้ง มันจะน่ารักขนาดไหนนะ หรือยูมะไม่คิดแบบที่ผมคิดเหรอ”
“ก็ไม่ปฏิเสธนะ”
ตอนนี้ยูมะเองก็มีความรู้สึกอยากลูบหัวยุย เป็นความรู้สึกที่อยากลูบหัวน้องสาว ไม่ใช่ลุบด้วยความเสน่หาต่างเพศ
“ดีเลย งั้นถือว่านี่เป็นการแทนคำขอบคุณนะ”
ยุยค้อมตัว เอียงหัวลงเล็กน้อย เตรียมพร้อมให้ยูมะลูบเต็มที่
จะดีเหรอฟะ
เอาจริงๆถ้าเป็นคนทั่วไป ผู้หญิงที่ไหนคงไม่ชอบให้ถูกลูบหัวหรอก เผลอๆเป็นคนอื่นคงขัดขืนข้อเสนอนี้ ไม่ใช่เสนอให้ลูบหัวต่อ
แต่เผอิญเคสนี้ ยุยดันเป็นคนเสนอเองด้วย จะปฏิเสธก็ไม่อยากทำ เอาวะ มีโอกาสคนเสนอมาก็จัดไป
สุดท้านยูมะก็ตัดสินใจยื่นมือลูบหัวยุย โดยตอนแรกใช้แค่ปลายนิ้ว ก่อนที่จะค่อยๆแปะทั้งมือลุบหัวเธอ
รู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มของเส้นผมที่สัมผัสผ่านมือ ราวกับว่ากำลังลูบไล้ผ้าไหมเนื้อดี ยูมะลูบซ้ายชวาด้วยความรู้สึกดีลึกๆในใจ
ทางยุยเองตอนถูกลูบหัวก็หลับตานิ่ง แม้ว่าใบหน้าเธอจะแดงเพราะความเขิน แต่ภาษากายก็บอกชัดว่าเธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่ยูมะลูบหัวแต่อย่างใด
กะแล้วเชียว เธอนี่น่ารักจริงๆ
ถึงกระนั้น ฟีลลิ่งที่ลูบหัวตอนนี้ ก็ยังคงเป็นความรู้สึกที่มีต่อเธอเหมือนน้องสาว ยังไม่ใช่ความเสน่หาเชิงชู้สาวต่างเพศ
ว่าไป ตอนนั้นเราก็ดันไปคุยกับยุยได้เนอะว่า สเป็คสาวที่ชอบต้องเป็นรุ่นพี่อกสะบึม
บางทีเพราะเหตุนี้ด้วยมั้ง ยุยเลยมั่นใจปล่อยให้ยูมะลูบหัว เพราะรู้ว่ารสนิยมยูมะไม่ใช่แนวแบบยุย
จะว่าไป ทำไมผมถึงมาคิดเรื่องแบบนี้ในขณะลูบหัวเธอนะ
“เป็นอะไร..รึเปล่า..ยูมะ”
“อ๊ะ เปล่า ไม่มีอะไร ถ้างั้นเดี๋ยวชั้นขอตัวกลับก่อนนะ”
“อืม ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“โอเช”
ถือว่าเหตุการณ์วันนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี มีแววว่าโรคสื่อสารกับคนอื่นไม่เก่งน่าจะหายได้ในเร็วๆนี้ ถ้าเหตุการณ์ยังดำเนินไปในทางนี้เรื่อยๆ ถือว่าสวยงาม
แต่โชคร้ายว่าวันถัดไป มีเหตุการณ์บางอย่างไม่คาดคิด
จบCH3
*****
แนะนำว่าตอนหน้าไม่ควรพลาดนะครับ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผมเลือกแปลนิยายเรื่องนี้เลย ถ้ารอได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า kurakon