เวลาผ่านไป ในที่สุดก็ถึงเช้าวันปฐมนิเทศม.ปลาย ยูมะในชุดเครื่อแบบนักเรียน กำลังทานอาหารเช้า
ตั้งแต่วันนี้ยูมะคือนักเรียนม.ปลาย ได้เวลาเริ่มดำเนินชีวิตแบบใหม่
ทว่ายูมะดูจะยังเสียดายชีวิตแบบเดิมๆ
“นี่เรา…เผลอทำอะไรไม่ดีกับยุย..รึเปล่านะ”
(โว้ย กลุ้ม นึกไม่ออก)
ตั้งแต่วันที่ไปค้างคืนบ้านยุย ท่าทีเธอก็เปลี่ยนไป
จะบอกว่าเหมือนกลับไปสมัยเพิ่งเจอกันครั้งแรกมั้ยก็ไม่เชิง แต่พอลองสบตา เธอก็ไม่กล้าสบตาตอบ แถมเวลาคุยก็ใช้แต่แชทล้วนๆในการสนทนา
เมื่อก่อนยูมะก็แอบคิดว่า ยุยสกินชิพบ่อยไป แต่ตอนนี้พอห่างกันจริง ไม่ได้สกินชิพเลย กลายเป็นว่าคนที่โหยหาคือยูมะแทนซะงั้น
“เอ้า มัวแต่เหม่อ รีบๆทานข้าวได้ละจ้า ไม่กินแล้วเมื่อไรพี่จะล้างจานเก็บกวาดโต๊ะได้สักที”
เรื่องนี้ ผมลองปรึกษาเนเน่ดูแล้วทว่าคำตอบเธอคือ “ถ้าชั้นตอบปัญหาของเธอมันจะผิดหลักการของชั้นจ้า” สรุปง่ายๆว่าไม่ได้อะไรเลยจากการปรึกษาเนเน่
“งั้นพี่ขอตัวไปก่อนนะ”
“อืม”
เนเน่จะไปงานปฐมนิเทศของยูมะด้วย แต่ว่าเธอต้องไปจัดการเรื่องร้านตัวเองก่อน เลยจะให้ยูมะล่วงหน้าไปโรงเรียนแล้วเธอค่อยตามไปทีหลัง
ยูมะมองส่งเนเน่ที่อยู่ในชุดสูท เดินออกไปเปิดประตูบ้าน
“อย่าลืมล็อคประตูด้วยนะ”
“รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำครับ เดินทางปลอดภัยครับผม”
ก่อนเนเน่จะเดินหายไป เธอหันกลับมามองยูมะ
“หือ มีอะไรรึเปล่า”
“….เหตุผลที่เด็กผู้หญิงหลบหน้าผู้ชายไม่จำเป็นว่าเธอเกลียดผู้ชายอย่างเดียวนะ”
“หมายความว่าไงครับ”
“ม่ายบอก คิดเอง”
เนเน่หัวเราะทะเล้น ปิดประตู เดินหายลับไป
.เหตุผลที่เด็กผู้หญิงหลบหน้าผู้ชายไม่จำเป็นว่าเธอเกลียดผู้ชายอย่างเดียว? ไม่เกลียดแล้วมันจะมีอย่างอื่นด้วยเหรอวะ ยูมะพยายามนึกหาคำตอบแต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี
ปิ๊งป่อง
เสียงอินเตอร์โฟนดังจากหน้าประตู
เนเนลืมของรึไงนะ ยูมะคิดพลางเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่หน้าประตูคือ เด็กสาวผมสีขาวตาสีแดง สวมชุดเครื่องแบบชนิดเดียวกับยูมะ ยุยนั่นเอง
“อ๊ะ…”
ดูเหมือนว่ายุยจะไม่ทันคิดว่ายูมะจะเปิดประตูเร็วขนาดนี้ นิ้วเธอยังค้างที่ปุ่มอินเตอร์โฟน เงยหน้ามองยูมะ
พอสบตา เธอก็เลิ่กลั่ก มองอีกทาง แล้วก็มองใหม่ หน้ายุยตอนนี้แดงแป๊ด
“อ..อรุณสวัสดิ์”
“อ…อรุณสวัสดิ์ครับ เกิดอะไรขึ้นนิ ตอนแรกเห็นบอกว่าเธอจะไปงานปฐมนิเทศด้วยกันกับครอบครัวไม่ใช่เหรอ”
“อืม..แต่…แต่ว่า”
ยุยอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ค้างตอน บรรยากาศตอนนี้ทั้งคู่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
(บรรยากาศตอนนี้ …ว่าไงดี จะแย่ก็ไม่ใช่ จะดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก อธิบายเป็นคำพูดยากมาก)
“ช..ชุดเครื่องแบบเข้ากับเธอมากนะ”
“….?”
ยุยที่หลบสายตายูมะ หน้าเธอแดงถึงใบหู ยิ่งโดนชมยิ่งแดงกว่าเดิม แต่ผลลัพธ์ที่คิดว่าชมแล้วเธอจะตอบรับและคุยเหมือนเดิมน่าจะกลับกัน ดันเงียบกว่าเก่าอีก
…ทว่า เวลาผ่านไปได้พักหนึ่ง ยุยเบนสายตา กลับมามองที่เสื้อยูมะก่อนจะเงยหน้าสบตาเขา
“เอ่อ..คือ…คือว่า”
“หือ”
“ยูมะเองก็..หล่อเหมือนกัน”
ยูมะรู้สึกถึงความร้อนที่แก้มตัวเอง จู่ๆไม่นึกว่ายุยจะชมเขากลับมาแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาเขินจัด
“ข…ขอบใจนะ”
“ทางนี้ก็เช่นกัน”
“พวกเราต่างคนต่างก็ใส่เครื่องแบบเนอะ แอบเขินยังไงไม่รู้”
“น..นั่นสินะ”
“จะว่าไปเดินทางมาคนเดียวไม่เป็นอะไรเหรอ ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ย”
“อืม..เอ่อ..คือ..คือว่า”
ยุยพยายามจะพูดอีกรอบ ตอนแรกเธอหยิบมือถือจากในกระเป๋าขึ้นมาจะพิมพ์แชท แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอากลับใส่กระเป๋าเหมือนเดิม สูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าสบตายูมะ
อยากเดินทาง…ไปโรงเรียนครั้งแรกด้วยกัน….กับยูมะน่ะ”
ยุยพูดออกมาด้วยใบหน้าเขินอายน้ำเสียงสั่นเล็กๆ ท่าทางของเธอดูน่ารักมาก เห็นแล้วใจเต้นตึกตักเลยทีเดียว
“ง…งั้นเหรอ…ถ้างั้นเดี๋ยวไปด้วยกันนะ รอชั้นล็อคประตูแปบนึงนะ”
ยูมะทนมองไม่ไหว รีบเปลี่ยนเรื่อง เดินเข้าห้อง
จะว่าไงดี ยุยตอนนี้กับยุยก่อนหน้า มีบรรยากาศที่แตกต่าง รู้สึกดูเธอตอนนี้แล้วใจเต้นกว่าเก่าชอบกล
ยูมะเดินไปดื่มน้ำหนึ่งแก้ว ทำใจให้สงบ ล็อคประตูบ้าน และเดินทางไปด้วยกันกับยุย
การจะเดินทางไปโรงเรียนได้ต้องต่อรถไฟ ฉะนั้น ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันไปจนถึงสถานีรถไฟ
“ไปโรงเรียนครั้งแรกนี่ก็ตื่นเต้นเหมือนกันเนอะ”
“น..นั่นสินะ”
“……”
“……”
สุดท้ายก็ไม่รู้จะต่อบทสนทนายังไงดี เลยเดินไปด้วยกันเงียบๆ
ก็อยากจะพูดอะไรสักอย่างนะ แต่นึกหัวข้อดีๆไม่ออก บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยความเงียบ แต่อึดอัดมั้ย ก็ไม่นะ
ยูมะแอบเหลือบตามองยุย เช่นเดียวกับยุยที่แอบมองยูมะ ต่างคนต่างสบตากันพอดี พอเห็นหน้าปุ๊บ ทั้งคู่รีบเสหน้ามองไปอีกทาง เดินไปเงียบๆไม่พูดจา
ทว่า
ยูมะเพิ่งสังเกตท่าทีของยุย
ยุยมองมาที่มือของยูมะ ทำท่ายืดมือเหมือนจะกุม แต่ก็ไม่กล้า ชักเข้าชักออกอยู่อย่างนั้น
(นี่เธออยากเดินกุมมือเรารึเปล่า)
นับตั้งแต่วันที่ไปนอนค้างบ้านยุย ทั้งคู่ต่างไม่ได้สกินชิพหรือแตะเนื้อต้องตัวกันอีกเลย
ดูจากท่าทียุย ใจหนึ่งก็มั่นใจว่า เธออยากกุมมือเราแน่ แต่อีกใจก็แอบหวั่นว่าลางสังหรณ์ผิด กุคิดไปเอง แล้วถ้าพลาดขึ้นมาคราวนี้ เธออาจจะเกลียดขี้หน้าเราเลยก็ได้ ภายในหัวยูมะคิดอยู่อย่างนี้ซ้ำไปมา
สุดท้ายยูมะก็ตัดสินใจเด็ดขาด
เขาเป็นฝ่ายยื่นมือไปคว้ามือยุยเองและฝืนใช้แรงดึงให้เธอมาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่
เอาวะ ลูกผู้ชาย วัดใจแม่งเลย ถ้าคิดถูกกูก็หล่อ ถ้าพลาดกูก็หมาวะ
ผลลัพธ์ที่ได้คือ….. ยุยผงะ เป็นฝ่ายถอนมือออกจากยูมะ
(ไอ้เหี้ยยยยยย ชิบหายละกู)
เสียงตะโกนในใจยูมะดังลั่น เสียหมาแบบนี้อายชิบหาย กุวิ่งหนีไปเลยตอนนี้ดีมั้ยวะ
ทว่า…
ยุยแค่ตกใจเฉยๆที่โดนดึงไม่ทันตั้งตัว แต่พอตั้งสติได้แล้ว เธอเป็นฝ่ายยื่นมือมาจับมือยูมะด้วยตัวเอง และสอดนิ้วเกี่ยวนิ้วมือยูมะในท่าคู่รักควงแขนด้วย ใครภายนอกมาเห็นต้องบอกเลยว่าสองคนนี้คือแฟนกันแน่นอน
เจอความกล้าของยุยที่จับมือควงแขนในท่าแฟนเล่นเอายูมะหน้าแดง ไม่กล้าสบตายุย ยุยเองก็หันหน้าไปอีกทางไม่กล้ามองหน้ายูมะ หน้าเธอแดงถึงใบหู
“…ถ้าอาย..จะปล่อยมือผมก็ไม่ว่านะครับ”
ยูมะพูดจบ ยุยส่ายหัวให้กับประโยคที่กล่าว เธอออกแรงกุมมือยูมะแน่นกว่าเดิมเป็นภาษากายที่บอกชัดว่า “ชั้นไม่ปล่อยมือแน่เพราะชั้นไม่อยากอยู่ห่างจากยูมะ”
ยูมะออกแรงกุมมือยุยแน่นกว่าเดิมเล็กน้อยเป็นคำตอบว่าเขาก็ไม่ปล่อยมือเธอเช่นกัน
ทั้งสองคนเดินกุมมือด้วยกันมาถึงสถานีรถไฟ
***
จบเล่ม 1
ก็จบเล่ม1ไปเท่านี้ ขอบคุณผู้อ่านหลักร้อยที่ยังคงตามมานะครับ 55 เห็นยอดคนอ่านแล้วปวดใจเหลือเกิน สู้เรื่องดังๆเจ้าอื่นไม่ได้ทั้งที่น้องยุยออกจะน่ารักแท้ๆ 555
แต่แน่นอนว่า ตามผลโหวต+ยังหาเรื่องที่ถูกใจกว่านี้แปลไม่เจอ เลยต้องอัพเล่ม2ต่อ ซึ่งก็เป็นความต้องการผู้แปลอยู่แล้วด้วย ไม่ได้แปลเพราะหวังยอดไลค์ล้วนๆ 55 เพราะเล่ม2นี่ไม่มีดราม่าเลยครับ อ่านชิวกว่าเล่ม1อีก อยากจะแปลให้ถึงCH2ไวๆ ก็มาลุ้นความสัมพันธ์น้องยุยไปด้วยกันนะครับ
เนื้อหาเล่มสอง เปิดมาก็หวานแล้วนะครับ ถ้ารอได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า kurakon
MANGA DISCUSSION