หลังกินข้าวกลางวันเสร็จ ยุยนั่งอยู่บนเก้าอี้ หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกบานใหญ่ตัั้งข้างหน้า
เธอกอดตุ๊กตาหมี บังหน้าส่วนหนึ่งตัวเอง แอบมองกระจก
ชั้น…น่ารักตามเขาว่า..จริงเหรอ..
ยุยกำลังลองคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หน้ากระจก
ปกติเธอเป็นคนที่เกลียดการส่องกระจกมาก เพราะทุกครั้งที่ส่องกระจก เธอจะคิดเสมอว่า “ชั้นมันไม่เหมือนคนอื่น ทุกคนถึงแกล้ง”
แต่ครั้งนี้เธอไม่รังเกียจเรื่องส่องกระจก เพราะยูมะบอกหลายครั้ง ไม่ใช่รอบเดียว ว่าเธอน่ารักจริงๆ
แน่นอนว่า บางทีเขาอาจจะอวยเกินจริงก็ได้ แต่กระนั้น คำชมของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจจนยิ้มไม่หุบ
ถึงตอนแรกยูมะจะมีทีท่าตกใจเรื่องสีผม แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิบัติตัวเป็นเพื่อนตามปกติไม่มีรังเกียจเดียจฉันท์
เขาพยายามที่แก้ปัญหาให้ชั้นจริงจัง พยายามที่จะให้ชั้นมั่นใจและให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่านี้
“แฮะแฮะแฮะ”
แน่นอนว่าการปรับทัศนคติมันเหนื่อยมาก แต่มันก็ทำให้เธอดีใจมากที่มีคนช่วย
“ชั้นก็ต้องพยายาม…ให้มากกว่านี้..”
เธอรู้สึกดีที่มียูมะอยู่เคียงข้าง แต่ก็คิดว่าการพึ่งพาเขาตลอดไปไม่ใช่เรื่องที่ดี หากเรื่องไหนที่ตัวเองทำได้ ก็ควรจะทำให้ดีกว่านี้
ยุยเกลียดผมสีขาวของตัวเอง แต่วันนี้เธอส่องกระจก ท่องประโยคล่างในใจซ้ำไปซ้ำมา
“ชั้นน่ารัก…ชั้นน่ารักที่สุด…เพราะยูมะบอกว่าชั้นน่ารักจริง…ชั้นน่ารักไม่มีใครเทียบได้”
วันนี้ยูมะสัญญาว่าจะมาเล่นด้วยกันเหมือนเดิม และนี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว
ปกติทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก เครื่องแต่งกายประจำตัวคือชุดฮาก้ามีฮู้ดคลุมผม แต่วันนี้เธอตั้งใจแล้วว่าจะไม่ใส่
การไม่ใส่ฮุ้ดมันก็กังวลสายตาคนรอบข้าง แต่อาจจะได้คำชมจากยูมะ ก็น่าจะคุ้มนะ
กริ๊ง- เสียงเตือนว่าแชทมีข้อความเข้าดังขึ้น
ยุยมองโทรศัพท์ คนส่งแชทคือยูมะ เนื้อหาว่าวันนี้อาจจะเลทนิดหน่อย
ยุยพิมพ์ตอบว่า “รับทราบจ้า” กระนั้น เธอรู้สึกว่าการรอคอยช่างยาวนานเหลือเกิน
“งั้นเป็นฝั่งเราเองลองเดินไปหาเขาบ้างจะดีกว่ามั้ยนะ?”
ความคิดนี้ลอยเข้าหัวยุยแว่บหนึ่ง
ตั้งแต่วันที่พบกันครั้งแรกถึงปัจจุบัน ยูมะจะเป็นฝ่ายออกมารับยุยถึงที่บ้านตลอด เธอเลยคิดว่าครั้งนี้ลองเป็นเธอบ้างที่ออกไปหาเขาดูดีกว่า
ที่อยู่แมนชั่นยูมะ เธอก็จำได้ว่าอยู่ตรงไหน ใกล้ๆนี่เองไปไม่ยาก
“ถ้าเราเป็นคนออกไปดักรอเขาที่หน้าประตูแมนชั่น เขาจะตกใจ..หรือดีใจรึเปล่าน้า”
ยุยนึกถึงเรื่องเมื่อวาน
เธอกลับบ้านพร้อมยูมะด้วยท่าควงแขนเขาจนมาถึงบ้านตัวเอง พอถึงหน้าบ้านปุ๊บ เขากล่าวชมเธอ บอกว่าเธอพยายามได้ดีมาก
ยุยคิดแล้วรู้สึกดีใจจนหลุดยิ้มออกมา
“…..ลองสักตั้งละกัน”
ยุยรวบรวมพลังใจ ตัดสินใจออกจากบ้านโดยไม่รอยูมะ
****
ทันทีที่ออกมาจากบ้าน เธอรู้สึกเสียใจกับคำว่าลองสักตั้ง
การเดินคนเดียวโดยไม่มีฮู้ดคลุมผม ไม่มียุมะเคียงข้าง จึงไม่มีที่ๆให้เธอหลบซ่อนตัว ต้องรับสายตาจากคนรอบข้างเต็มๆ
ตอนนี้เป็นช่วงกลางวันวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ ตามถนนหนทางมีเด็กวัยรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเดินเต็มไปหมด
ปกติยูมะจะบอกเสมอว่า อย่าไปใส่ใจกับสายตาคนรอบข้าง ให้มีความั่นใจในตัวเอง สุดท้ายเธอพบว่ามันทำไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้เธอรู้สึกว่ามีผู้คนทั้งโลกจับจ้องมองเธอ รู้สึกเหมือนผู้คนรอบข้างขยับปาก ราวกับจะพูดถึงเธอว่าอะไรสักอย่าง
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็น..ไร”
ยุยท่องคำนี้กับตั้วเองในใจซ้ำไปมา เธอรู้สึกถึงเหงื่อซึมแผ่นหลัง หัวใจปวดตุบๆ จึงพยายามหายใจเข้าลึก ค่อยๆลากขาทีละก้าว
“อีกนิดเดียวก็ถึงแมนชั่นยูมะแล้ว”
เธอท่องคำนี้ซ้ำไปมา
ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปรอเขาที่หน้าทางเข้าแมนชั่น สุดท้ายชั้นก็ฝืนไม่ไหว ติดต่อแชทบอกว่าให้ยูมะมาช่วยรับเธอหน่อย ฉะนั้นจนกว่ายูมะจะมาถึง ชั้นต้องอดทนให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ให้ได้
ทว่า สายตายุยพบกลุ่มเด็กผู้หญิงสามคนกำลังเดินมาหาเธอ
จู่ๆยุยก็รู้สึกกลัว สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดี แต่ว่าด้วยพละกำลังที่เธอมีตอนนี้ ไม่มีที่ให้เธอหนีพ้น สามสาวกำลังเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ จนมาหยุดตรงหน้าเธอ ยุยรู้สึกได้ถึงสายตารังเกียจจากสามคนนั้น
“ว้าว ผมสีขาวของจริงรึเนี่ย”
“แปลกเนอะ!”
“น่าขยะแขยงจัง”
คำพูดที่ลอยเข้าหูยุยจากปากสามสาว ทำให้ยุยนึกถึงอดีตที่โดนแกล้ง
เธอรู้ดีว่าคำพูดพวกนี้ไม่ควรมาใส่ใจ สมองพยายามคิด แต่ร่างกายกับหัวใจไม่ยอมทำตามที่เธอคิด ตอนนี้เธอรู้สึกปวดแปล๊บที่หัวใจ
คำพูดของสามสาวทำให้ยุยนึกย้อนไปสมัยประถม เมื่อก่อนก็มีคนพูดแบบนี้ และเธอก็โดนเด็กพวกนั้นแกล้ง ความทรงจำเลวร้ายทุกอย่างวิ่งผ่านสายตายุยไม่หยุด
“ฮ้า….ฮ้าาาาา.”
ลมหายใจติดขัด หายใจไม่ออก
นี่คืออาการ โรคหายใจเกิน (Hyperventilation Syndrome) สาเหตุกำเริบเกิดขึ้นจากความเครียดหรือรู้สึกกังวลถึงขีดสุด
**หมายเหตุจากผู้แปล อ่านรายละเอียดโรคเพิ่มเติมด้วยการ คลิกที่นี่
โรคนี้เกิดขึ้นสาเหตุเกิดจากร่างกายยุยอ่อนแอแต่เด็ก +โดนคนอื่นแกล้ง
หากใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา อาการโรคจะไม่แสดงผล แต่เมื่อกังวลหรือเครียดจัด อาการจะกำเริบได้ง่าย
“เห็นอาการไม่กำเริบมานาน คิดว่าหายขาดแล้วซะอีก”
ยุยพูดตะกุกตะกักออกมา เธอรู้สึกหน้ามืดตาลาย ยืนไม่ไหว ก่อนที่เข่าเธอจะทรุดลงกับพื้นอย่างควบคุมไม่ได้
“ด…เดี๋ยวนะ ท่าทางไม่สู้ดีแล้วไง”
“พวกชั้นไม่เกี่ยวนะ”
สายตาพร่าเลือนของเธอเห็นสามสาวพวกนั้นวิ่งหายไป
“หายใจ..ไม่ออก..ไม่ไหว…แล้ว”
ยุยรู้สึกทรมานไปทั้งตัว มือเท้าเริ่มชา
“ช่วย..ชั้น..ที…ยู…มะ..”
จิตสำนึกวูบสุดท้ายของยุยคือเรียกชื่อยูมะ ภาพรอบข้างดำมืดลง
“ยุย!”
เสียงเรียกดึงสติเธอกลับมา คือคนเรียกชื่อเธอ ไม่ใช่ใคร พระเอกของเรายูมะนั่นเอง
“ยู…มะ..”
ยูมะรีบประคองยุย กอดเธอไว้แน่น
เขาเป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจเรื่องโรคหายใจเกินอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ว่าจะสาเหตุหรือวิธีรักษาเฉพาะหน้า
ยูมะดึงหน้ายุยเข้ามาซบที่อกเขา ให้หูเธอได้ยินเสียงหัวใจเต้น ยูมะสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ใช้มือหนึ่งข้างลูบหลังยุยอย่างอ่อนโยน เป็นภาษาทางร่างกายล้วนๆเพื่อใช้ปลอบคู่สนทนาให้ผ่อนคลาย
ทั้งสองคนอยู่ในท่านี้อยู่หลายนาที จนกระทั่งยูมะเห็นว่าอาการของยุยน่าจะดีขึ้นเรียบร้อยแล้วจึงสอบถาม
“ไหวมั้ยครับ”
“ข..ขอบคุณ…”
ยุยฝืนดันร่างตัวเองออกห่างยุมะ ยูมะมองดูเธอด้วยสายตาเป็นห่วง
..น่าอายเหลือเกิน ชั้นไม่อยากให้เขาเห็นชั้นในสภาพน่าสมเพชเยี่ยงนี้
“โอ๊ย!”
ยุยรู้สึกเจ็บที่หัวเข่า สายตาเหลือบมองลงไปเห็นเลือดไหลที่เข่า คาดว่าน่าจะเป็นตอนที่เข่าทรุดชนกับพื้นแล้วเผอิญตรงนั้นคงมีกรวดเล็กๆอยู่พอดี
“เลือดออกด้วยนี่นา อย่าเอามือไปจับนะ”
“…ม..ไม่เป็น..ไร..แค่นี้เรื่องเล็ก..น้อย”
“ไม่เล็กน้อยหรอก ถึงแผลจะนิดเดียวแต่ถ้าเป็นบาดทะยักขึ้นมาจะทำไง”
ยูมะดุยุย ก่อนจะประคองเธอพาไปสวนสาธารณะใกล้ๆ
ยุมะใช้น้ำจากก๊อกน้ำดื่มในสวนสาธารณะล้างแผล พาเธอไปนั่งที่ม้านั่ง ล้วงกระเป๋าตัวเองหยิบพลาสเตอร์มาปิดแผลให้
“พกพลาสเตอร์..ติดไปมา..ด้วยเหรอ”
“เนเน่บ่นชั้นตลอดอะนะว่าในกระเป๋าต้องมีพวกทิชชู่ พลาสเตอร์ปิดแผล แล้วก็ผ้าเช็ดหน้า ติดตัวไว้ตลอดห้ามลืมเด็ดขาด”
“นายเหมือนเป็นแม่..เลยนะ…”
ยุยพยายามจะฝืนเล่นมุกเพื่อหลอกยูมะว่า ตัวเองสบายดีไม่เป็นอะไร แต่ดูแล้วเป็นการแสดงที่ห่วยแตกสิ้นดี เพราะเสียงเธอสั่นเทา น้ำเสียงก็ขาดช่วงตอนท้ายอีก
ไม่อยากให้ยูมะเห็นชั้นในสภาพนี้เลย
ความตั้งใจของยุยคือไปถึงแมนชั่นก่อน เพื่อแสดงให้ยูมะเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้วเพราะความช่วยเหลือของเขา อยากให้ยูมะชม อยากให้ยูมะและตัวเธอเองดีใจ เพื่อยืนยันเป็นหลักฐานว่าที่ยูมะออกมาเล่นกับเธอทุกวัน ช่วยให้อาการป่วยเธอดีขึ้นจริง
แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า พอเหลือตัวเธอแค่คนเดียว ทำอะไรก็ไม่ขึ้นสักอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย
ยุยคิดถึงตรงนี้จบ รู้สึกสมเพชตัวเองจนอยากจะร้องไห้ออกมา
“..มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”
“…เปล่าไม่มีอะไร”
ปากพูดไม่มีอะไร แต่เสียงสี่นเทาที่หลุดจากปากก็บอกชัดแล้วว่ามีแน่ๆ ยูมะมองยุยด้วยความเป็นห่วง
ยุยอยากจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรด้วยการบอกว่า ขอชั้นอยู่คนเดียว แต่หากทำแบบนั้น ถ้าขากลับบ้านตามลำพัง ถ้าเธอตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับตะกี้ คราวนี้อาจถึงตายได้
ยิ่งคิด ความรู้สึกสมเพช ความรู้สึกว่าตัวเองช่างด้อยค่าไหลเวียนตามร่างกายไม่หยุด
“ถ้านายยังไม่พร้อมจะพูดชั้นก็ไม่เร่งรัดให้นายต้องบอกตอนนี้หรอก ไว้วันหลังนายอยากบอกเมื่อไรก็ค่อยบอกตอนนั้นก็ได้”
ยูมะดูจะเข้าใจความรุ้สึกของยุยตอนนี้ดีกล่าวปลอบโยน
ยุยไม่ได้ตอบกลับ ยูมะเลือกที่นั่งข้างๆเธอเงียบๆ
ยูมะคิดว่าถ้าเธอไม่พร้อมจะพูดตอนนี้ งั้นกลับไปใช้วิธีเดิมเหมือนที่ผ่านมาคือพิมพ์แชทอาจจะช่วยได้ คิดจบปุ๊บหยิบโทรศํพท์พิมพ์ข้อความหายุยบอกว่า “อยาคิดมากนะ”
“ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ”
พิมพ์จบปุ๊บ กดส่ง
สักัพกนึง เสียงแจ้งเตือนแชทดังขึ้นที่โทรศํพท์ยูมะ เขาหยิบขึ้นมาอ่าน มันเขียนว่า
“ผมเล่าเรื่องให้ฟังตอนนี้ได้ใช่มั้ย”
ยูมะพิมพ์ตอบกลับว่าได้สิ
ยุยพิมพ์กลับว่า
“ผมพยายามจะไปรอที่หน้าแมนชั่นยูมะ แต่ว่าระหว่างทางเจอกลุ่มเด็กผู้หญิงยืนอยู่”
“ห๊ะ!”
“หลังจากนั้นทั้งสามคนพูดว่า “แปลกดีเนอะ” “น่าขยะแขยงจัง” แล้วก็หัวเราะ เลยทำให้นึกถึงอดีตขึ้นมา”
ยุยพิมพฺ์ต่ออีก
“ผมรู้ทั้งรู้ว่าสังคมภายนอกยังไงก็ต้องมีคนแบบนี้ แต่พอเจอพูดอีกรอบในชีวิตจริง ภาพรอบตัวกลายเป็นสีขาวไปหมด รู้สึกหายใจไม่ออก”
“ผมเจ็บใจมาก อยากจะเถียงกลับเด็กพวกนั้น แต่สุดท้ายพูดอะไรไม่ออก รู้สึกทรมานและสมเพชตัวเองเหลือเกิน”
อะเร้ะ?
หน้าจอโทรศัพท์ยุยมีหยดน้ำตกใส่ เธอคิดว่าตอนแรกฝนตก ก่อนจะรู้สึกตัวว่าไม่ใช่ฝน แต่เป็นน้ำตาของเธอเองที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร และแม้จะพยายามกลั้นแต่น้ำตาเธอก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด
ยูมะเห็นสภาพยุย อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ตัดสินใจไม่พูด เลือกที่จะลูบหลังปลอบใจเธอเงียบๆ
***
หลังจากนั้นสักพัก ยูมะพายุยมาส่งที่บ้านเธอ
ยูมะห่วงยุย คิดสภาพว่า ถ้าเป็นเพื่อนกัน แล้วเพื่อนมาเห็นสภาพที่น่าอายชวนสมเพชแบบนี้จะรู้สึกยังไง สุดท้ายการเดินกลับด้วยกันเงียบๆน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสุดละ
เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านยุยเรียบร้อย ยูมะกล่าว
“เรื่องวันนี้ไม่ต้องเก็บไปคิดมากนะ”
เจตนาของยูมะคืออยากให้ยุยสบายใจเพราะยูมะเห็นสภาพยุย เขาก็รู้สึกเจ็บในหัวใจไม่แพ้กัน
ทว่าคำตอบกลับของยุยคือ
“พูดจาเพ้อไปเรื่อย ก็เห็นกันอยู่ว่าชั้นมันไอ้งั่งคนหนึ่ง จะให้ไม่เก็บไปคิด คิดว่าทำได้รึไง”
ยุยรู้ทั้งรู้ว่ายูมะพูดจาด้วยความหวังดี แต่หลายสิ่งที่สะสมในวันนี้ทำให้เธอระเบิดตัวเองอย่างห้ามใจไม่ไหว
“อย่าพูดจาเหมือนเข้าใจความรู้สึกของชั้นดีนักเลย”
“ย..ยุย”
“ชั้นมันตัวประหลาด ส่วนยูมะเป็นคนปกติ แล้วคนปกติจะมาเข้าใจความรู้สึกของตัวประหลาดได้รึไง”
ความรู้สึกยุยที่พรั่งพรูหยุดคำพูดตัวเองไม่ได้แล้ว ทว่าพอเริ่มตั้งสติได้ ยุยก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองพูดในสิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากกว่าเดิม
“…ขอโทษด้วย”
ยูมะสีหน้าเป็นทุกข์ พูดขออภัยเบาๆ
(ไม่ใช่นะ ยูมะไม่ใช่เป็นคนผิดสักหน่อย ฝั่งที่ต้องขอโทษคือชั้นต่างหาก)
หัวสมองยุยคิดถึงเรื่องยูมะไม่ใช่คนผิด เธอนี่แหละผิดเองและอยากขอโทษ แต่ทว่าเหมือนตอนนี้เธอลืมวิธีการพูดไปดื้อๆเมื่อเห็นสภาพยูมะ แม้แต่ว่าคำว่า ชั้นขอโทษ ยังพูดออกมาไม่ได้
“วันนี้ชั้นขอตัวกลับก่อนนะ”
ยูมะพูดจบหันหลังเดินออกไป
รอเดี๋ยวก่อน ยุยอยากจะพูดคำนี้ออกไปให้ได้ มีคำพูดมากมายที่อยู่ในหัว แต่ไม่รู้ทำไม ร่างกายถึงไม่ฟังคำสั่ง เธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียวจนยูมะหายลับไป
จบCH3 (เสริม) เมฆฝนตั้งเค้า
****
อ่านแล้วสะเือนใจสงารน้อง แต่แน่นอนว่าถ้าดราม่าล้วนๆ เราไม่หยิบมาแปลแน่ รอดุตอนหน้านะครับว่าจะแก้ไขความสัมพันธ์กันยังไง
ถ้ารอได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า kurakon
MANGA DISCUSSION