“ยุย ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“อืม…”
ยุยพยักหน้าตอบกลับ
ชั่วโมงเร่งด่วนวันนี้มีคนเดินทางจำนวนมาก และเนื่องจากเปิดเทอมเลยเห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับยุมะเดินผ่านบ้างประปราย
แน่นอนว่าผมสีขาวของยุยในชุดเครื่องแบบก็เป็นจุดเด่นดึงดูดสายตาคน บางคนก็มองด้วยความชื่นชม แต่บางคนก็มองว่าขยะแขยงด้วย
ทว่าดูเหมือนเขาอาจจะกังวลเกินไปนิด เพราะสายตาของยุยตอนนี้ดูจะกังวลและเขินที่เธอกุมมือยูมะมากกว่า
เอาจริงๆว่าตามตรงยูมะอายมั้ย อายสิ แต่ให้ปล่อยมือยุยมั้ย ขอปฏิเสธเด็ดขาดว่าไม่ปล่อย
รสชาติความสุขที่สัมผัสผ่านความอบอุ่นและอ่อนนุ่มจากมือยุย มือที่กุมนั้นบ่งบอกถึงความเชื่อใจยูมะ มันทำให้เขาดีใจมาก
(…เอาจริงๆที่เราควรกังวลไม่ใช่เรื่องกุมมือ แต่เป็นสถานการณ์ผู้คนตอนนี้มากกว่า)
ดูเหมือนว่ายุยเพิ่งจะเคยออกมาข้างนอกและพบปะผู้คนจำนวนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก เขาคิดถึงตอนที่ยุยบาดเจ็บเพราะสายตาคนรอบข้าง ก็กังวลว่าถ้าเธอเดินทางมาคนเดียว บางทีเธออาจจะเกิดอาการแบบนั้นอีก
แน่นอนว่า ยูมะตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะปกป้องยุยให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเพื่อนหรือในฐานะผุ้ชายคนหนึ่ง
“ซู้ด…ฮ่า…”
ยูมะได้ยินเสียงยุยสูดลมหายใจเข้าลึก
“ไม่เป็นไรจริงๆใช่มั้ย ไม่ไหวอย่าฝืน บอกชั้นได้ทุกเวลานะ”
“อืม ไม่เป็นไร”
ถึงแม้ว่ายุยจะกดดันและเกร็งจากสายตาผุ้คน แต่เธอยังคงส่งยิ้มให้ยูมะ
“ถ้าเป็นตัวชั้นเมื่อก่อน ชั้นคงจะตัดสินใจหนีจากตรงนี้ไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้ชั้นมียูมะอยู่ข้างๆเลยไม่เป็นไร”
ท่าทางและน้ำเสียงเธอบอกชัดเจนถึงความไว้เนื้อเชื่อใจยูมะ
ยูมะตอบสนองความเชื่อใจนั้นด้วยการกุมมือเธอแน่นกว่าเดิม ยุยเองก็เขินเลยออกแรงกุมมือยูมะเพิ่มด้วยเช่นกัน
ในที่สุดทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงสถานี มีคนพอสมควร รอบข้างมีนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกันแต่งชุดเครื่องแบบเหมือนพวกยูมะด้วย
“จากนี้ปล่อยมือก่อนดีมั้ย”
“เอ๋..”
“ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ถ้ากุมมือเดินไปด้วยกันต่อ สายตาจากคนรอบข้างอาจจจะประเมินความสัมพันธ์เราไปในทางนั้น.. เธอรับได้เหรอ”
ยุยฟังยูมะพูดจบ หน้าเธอแดงแป้ด ทว่าไม่ได้ปล่อยมือ แต่กลับกุมมือแน่นกว่าเก่าเป็นภาษากายชัดเจนว่า “ยังไงชั้นก็ไม่ปล่อยมือเธอ”
“รับได้สิ..”
ยุยพึมพำกับตัวเอง รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นระรัว
“ยูมะล่ะ รับได้รึเปล่า”
“ชั้นรับได้อยู่แล้ว ปะ งั้นกุมมือเดินไปด้วยกันต่อเนอะ”
“…อืม”
ทั้งคู่กุมมือรอรถไฟมาด้วยใบหน้าแดงเขินอาย
ยูมะก็แอบแปลกใจเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้ตั้งแต่ไปค้างบ้านยุย เธอไม่สกินชิพใส่เขา ไม่อ้อนเขา แต่ตอนนี้เธอยอมเดินกุมมือเขาทั้งที่เขินอาย
อย่าบอกนะว่ายุยเริ่มรู้สึกเห็นเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมานิดนึงแล้ว?
ยูมะคิดจบรีบส่ายหัวตัดใจความคิดนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก เลอะเทอะน่า
หลังจากรอได้ไม่นาน รถไฟก็เทียบท่าสถานี
“หวา..”
“คนอัดเป็นปลากระป๋องเลยเว้ย”
รถไฟมีคนอยู่ข้างในเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะมีคนออก แต่ก็มีคนเดินเข้าด้วยเช่นกัน
ยุยตัวสั่นเทา ตาเบิกกว้าง ดุแล้วน่าจะเริ่มกังวลหนักกว่าเก่า
“ไปกันเถอะครับ”
ยูมะกุมมือแน่น ฝืนออกแรงดึงเธอเข้ามาในรถไฟ เลือกตัดสินใจเดินมา ให้ยุยยืนตรงข้างๆมุมประตูทางออกรถไฟ
ส่วนทางยูมะใช้มือข้างหนึ่งดันกำแพง ให้ยุยหลบในเงาตัวยูมะ เขาใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังยุยจากสายตาจากคนรอบข้าง
ใจยูมะเจตนาดี แต่พอนึกดูอีกที นี่มันฉากแบบที่เห็นในมังงะหวานแหวว กูกำลังทำท่าคาเบะด้ง ใส่สาวที่ชอบนี่หว่า
“อ๊ะ…”
ดูเหมือนว่ายุยก็นึกออกเช่นกันว่านี่เป็นสถานการณ์คาเบะด้ง หน้าเธอแดงกว่าเก่า เห็นสภาพยุยตอนนี้เล่นเอายูมะรู้สึกผิดเลย เขาน่าจะหาวิธีอะไรได้ดีกว่านี้แท้ๆ
“โทษทีนะ”
“อืม”
ยุยขยับตัวหยิบมือถือออกจากกระเป๋า พิมพ์แชทหายูมะ
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะที่ช่วยปกป้องชั้นจากคนรอบข้าง”
ตอนแรกยูมะก็รู้สึกผิดว่าทำไมนึกวิธีดีกว่านี้ไมไ่ด้ แต่พอเห็นข้อความแชทที่เด้งขึ้นมาก็ใจชื้นขึ้นเป็นกอง อ่านแล้วรู้สึกนุ่มฟู ดูเหมือนว่าเธอจะอายที่จะพูดขอบคูณตรงๆเลยเลือกที่จะพิมพ์แชทหาเขาแทน
ขณะที่คิดเรื่องยุยอยู่ รถไฟกระชากออกตัวจนสะเทือนทั้งคัน
“หวา”
“อ๊ะ”
ผู้โดยสารคนอื่นถูกแรงกระชากออกตัว จนเซชนดันหลังยูมะ ผลคือตัวยุยแนบชิดกับยูมะ
“อ๊ะ โทษทีนะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“อืม”
ยุยเงยหน้าขึ้นมองยูมะ หน้าเธอใกล้กับหน้ายูมะสุดๆ
ถ้าตอนนี้มีใครมาชนหลังสักนิดเดียว หรือยูมะขยับตัวเล็กน้อย ริมฝีปากยูมะกับยุยจะจุ๊บกัน ระยะห่างที่ประชิดซะขนาดนี้เล่นเอาทั้งคู่หน้าแดงก่ำเบนสายตาออกไปคนละทาง
“โทษทีนะครับ”
“ม..ไม่เป็นไร”
ยูมะอยากจะเขยิบห่างจากเธอสักนิด แต่เพราะรถไฟเต็มไปด้วยผู้โดยสาร จึงไม่สามารถทำได้
(ใครก็ได้ช่วยลูกช้างด้วยคร้าบบบ)
ในใจยูมะร่ำร้องลั่น ทำไมพระเจ้าชอบให้เขาเจอสถานการณ์หวาดเสียวกับยุยทุกทีเลยนะ
*****
ในอีกด้านหนึ่ง ทางยุย แม้ปากจะบอกไม่เป็นไร แต่ใจไม่ได้คิดแบบนั้น
ระยะห่างที่เฉียดไม่ถึงนิ้้ว ริมฝีปากเธอกับยูมะแทบจะชนกันอีกครั้ง ทำให้เธอนึกถึงความฝันที่จูบยูมะ แถมยังโดนทำคาเบะด้งด้วย ยุยก็อายแทบแทรกแผ่นดิน อยากจะหนีจากสถานการณ์ตรงนี้ด้วยเช่นกันแต่ทำไม่ได้
สรุปว่า ยูมะทำคาเบะด้งใส่ยุยจนสุดสถานี
เมื่อก่อนตอนอ่านมังงะก็เคยคิดอยู่ว่า กะอีแค่คาเบะด้ง นางเอกมีอะไรให้ตื่นเต้นขนาดนั้น แต่ตอนนี้เธอเข้าใจความรู้สึกนางเอกในมังงะกระจ่างแจ้ง
หากคุณโดนผู้ชายที่ชอบทำคาเบะด้งใส่ หัวใจคุณจะเต้นตึกตักด้วยความเขิน
“งือ…”
รู้สึกได้ถึงความร้อนที่หน้าและเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนกังวลว่ายูมะจะได้ยินเสียงหัวใจเธอ
พอยุยเงยหน้ามองยูมะ ใบหน้าเขาแดงยิ่งกว่าที่เคยเห็นมาตั้งแต่อดีต
(…บางทียูมะเองก็คงเขิน..แบบที่ชั้นคิดอยู่ตอนนี้รึเปล่านะ)
แค่คิดเท่านี้ ยุยก็เขินจนหัวใจเต้นแรง ถ้าเขาเขินจริงล่ะก็ชั้นจะดีใจมาก ยิ่งถ้าเขาคิดว่าตอนที่ริมฝีปากเราแทบจะชนตะกี้ ถ้าเขาเกิดอยากจูบขึ้นมาล่ะก็…
(ตายแล้ว นี่ชั้นคิดอะไรพร่ำเพ้อไปไกลอยู่เนี่ย)
อยู่ในรถไฟแท้ๆยังพาลไปคิดเรื่องแบบนั้นได้ ยุยยิ่งหน้าแดงหนักกว่าเก่า
(ไม่ใช่นะ ไม่จริงนะคะ ตะกี้หนูไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ)
ไม่รู้ว่าในใจยุยตอนนี้พูดแก้ตัวให้ใครฟัง แต่เสียงตะโกนในใจเธอตอนนี้คือแก้ตัวพัลวันเรื่องจูบ
ใจหนึ่งอยากให้ถึงสถานีปลายทางให้เร็วกว่านี้สักวินาทีเดียวก็ยังดี ทว่า อีกใจหนึ่ง ส่วนลึกของหัวใจก็ปรารถนาอยากให้รถไฟขบวนนี้วิ่งอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆให้นานเท่านาน
ถ้าให้อธิบาย คงเป็นความรู้สึกผิดและความรู้สึกยินดีผสมผสานปนเปจนแยกไม่ออก
อยากบอกความรู้สึกนี้ให้ยูมะรู้ อยากป่าวประกาศให้เขาฟัง แต่ว่าชั้นก็กลัวและอาย เลยไม่กล้าจะบอกให้รู้
ความรู้สึกยุยตอนนี้จึงตีกันยุ่งเหยิง อึดอัดใจแต่ก็มีความสุข ถ้าให้เลือกได้ ก็อยากอึดอัดแบบนี้ต่อไปนะ
“….”
ยุยตัดสินใจรวบรวมความกล้าเล็กๆ เอาตัวเองซบอกยูมะ
ถึงแม้จะไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายเขา แต่..ขอเพียงแค่นี้ ชั้นก็มีความสุขแล้ว รู้สึกได้ถึงความรักและความสุขจากข้างในใจ
“…รักเธอที่สุดเลย”
ยุยพึมพำกับตัวเองเบาๆโดยที่ไม่มีใครคนอื่นได้ยิน
สรุปว่า ทั้งคู่ต่างก็ใจเต้นตึกตัก ขวยเขินไม่ต่างกัน แต่ก็น่าเสียดายที่ต่างฝ่ายก็ไม่ได้รับรู้ในใจของอีกคน
และแล้วรถไฟก็มาถึงสถานีจุดหมายปลายทาง
**
จบ CH 10-1
ขึ้นตอนใหม่มาก็หวานทันที ถึงอนาคตจะมีช่วงเนือย เด๋วค่อยว่ากันอีกที แต่บอกเลยว่า CH1-CH2 เป็นช่วงที่บอกได้ว่าเร้าใจมาก ตอนหน้ายูมะก็จะได้เจอพ่อแม่ยุยแล้ว รับประกันความมันส์แน่นอน
ถ้ารอได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า kurakon
MANGA DISCUSSION