[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ - ตอนที่ 8
“…ถ้างั้นเรามาเริ่มกันใหม่เถอะ”
ผมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นกองครีมพายที่อยู่บนถาดอุเอโนะฮาระแล้วก็พูดต่อไป
“อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในปัจจุบันของฉันก็คือการกระชับความสัมพันธ์ของฉันกับคุณคิโยซาโตะและคนอื่นๆ ให้แน่นจนถึงระดับที่เรียกพวกเขามารวมตัวกันได้”
ปัจจุบันนี้แค่จะเริ่มต้นการสนทนาให้ได้ก็ยากแล้ว
“แล้วก็ดูเหมือนว่าการพูดคุยแบบเดียวกับที่ฉันทำเมื่อเช้ามันจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ตอนนี้ฉันก็เลยคิดอยากจะจัดอีเวนต์บางอย่างเพื่อให้พวกเขามาใกล้ชิดพร้อมๆ กัน…”
“ถ้างั้นนายจะทำอีเวนต์สารภาพรักซ้ำอีกรอบหรือเปล่าล่ะ”
“อืม… ไทม์มิ่งแบบนั้นมันก็ไม่ได้หาง่ายๆ ด้วยสิ ถ้าเกิดให้ทำแบบนั้นใหม่มันคงจะสายเกินไปแล้วล่ะ”
ชั้นดาดฟ้านั้นปกติแล้วจะถูกล็อก แถมตอนนี้ก็ยังไม่มีสถานที่อื่นเหมาะๆ สำหรับอีเวนต์สารภาพรัก
นอกจากนี้ผมก็อยากจะกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนผู้ชายทั้งสองคนด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงควรคิดหากลยุทธ์อื่นที่แตกต่างออกไป
“—ฉันเองก็ยังมีอีเวนต์อื่นในสต๊อกอยู่นะ แต่… ใช่แล้ว! แล้วเธอล่ะมีไอเดียดีๆ บ้างไหม ‘ผู้สมรู้ร่วมคิดคุง’ ”
จู่ๆ ผมก็ถามเธอออกไปด้วยความสงสัย
จะให้เธอนั่งฟังเฉยๆ ต่อไปมันก็คงไม่ได้อะไร ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าปล่อยให้เธอได้คิดบ้างเพื่อใช้น้ำตาล
เมื่อได้ยินคำพูดของผมอุเอโนะฮาระก็วางข้อศอกขวาไว้ที่มือซ้าย ปิดปากด้วยมือขวา และจมลงไปกับความเงียบ
“…ฉันขอยืนยันอะไรหน่อย เริ่มแรกขอแค่ให้มีความสัมพันธ์แบบได้อยู่ด้วยกันก็พอใช่หรือเปล่า อย่างเช่นได้อยู่กลุ่มเดียวกัน”
หลังจากเงียบไปไม่ถึงนาที อุเอโนะฮาระก็เงยหน้าขึ้นมามอง
“ใช่แล้ว ยิ่งไม่มีคนที่ไม่จำเป็นมาเกี่ยวด้วยได้ยิ่งดีเลย”
“งั้น…ถ้าเกิดเป็นอันนี้ล่ะ”
จากนั้นเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋านักเรียนและหยิบใบปลิวออกมา
ผมดูแผ่นกระดาษที่ยื่นออกมาและพบเนื้อหาที่คุ้นเคย
“…ซ้อมเชียร์?”
มันเป็นใบปลิวแบบเดียวกับที่ถูกส่งมอบมาให้ตอนคาบโฮมรูมของเช้าวันนี้
ตรงหัวข้อถูกระบุไว้ดังนี้ 『แนวทางปฏิบัติสำหรับการฝึกซ้อมเชียร์เพื่อสนับสนุนนักกีฬาระดับโรงเรียน』
“นายรู้ใช่ไหม ข่าวลือของการซ้อมเชียร์”
“อา แน่อยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้สาวๆ ต้องหลั่งน้ำตาในทุกๆ ปี มันค่อนข้างดังเลย”
การซ้อมเชียร์นั้นเป็นประเพณีในช่วงเวลานี้ของทุกปีของเคียวนิชิ นับว่าเป็นงานโรงเรียนสปาร์ตันที่ช่วยพลิกโฉมน้องใหม่ที่กำลังประหม่าให้ได้เป็นรูปเป็นร่าง
โดยสำหรับเนื้อหาของการเชียร์นั้นจะแบ่งออกเป็น
—เชียร์ให้กำลังใจทั้งโรงเรียนก่อนการแข่งขัน
—เชียร์ส่งสนับสนุนให้กับกองเชียร์หลัก
สำหรับเหล่านักเรียนปี 1 ที่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง พวกเขาจะได้รับการออกแบบท่าเชียร์จากรุ่นพี่อาสาสมัครกองเชียร์หลักหรือว่าคณะกรรมการเชียร์ลีดเดอร์
อย่าประมาทเพราะว่าเป็นเพียงการฝึกซ้อมเชียว เพราะว่ามันต้องฝึกเหมือนกับเป็นนักกีฬาและค่อนข้างสร้างความเหนื่อยล้าทางจิตใจต่างๆ นานา อาทิ โดนรุ่นพี่รอบๆ ดุด่าเสียงดัง หรือโดนโกรธใส่ตอนที่ไม่ได้ตั้งใจทำ
มีคนบางคนบอกอยู่ว่าประเพณีแบบนี้มันล้าหลังไปแล้ว แต่ ‘นี่เป็นประเพณีที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานเลยนะ’ เนื่องจากเหล่ารุ่นพี่ส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานเช่นนี้ ดังนั้นมันจึงยังคงมีอยู่ต่อไป
“ว่าแต่ แล้วจะใช้มันเป็น ‘อีเวนต์’ ได้ยังไงกันล่ะ”
เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของงานโรงเรียนผมจึงได้รู้ถึงตัวตนของสิ่งนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่ามันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความต้องการของผมในปัจจุบัน ดังนั้นผมจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับมัน
“ตรงนี้มีเขียนบอกเอาไว้ว่า ‘ตัวแทนของแต่ละห้องจะต้องได้รับการฝีกสอนท่าเชียร์ล่วงหน้า’ ใช่ไหมล่ะ”
อุเอโนะฮาระค่อยๆ อ่านส่วนหนึ่งของใบปลิว
ข้อความเต็มๆ ที่เขียนเอาไว้ก็คือ “ตัวแทนห้องเรียนทั้ง 4 คนที่มาจากคาบโฮมรูมจะต้องได้รับคำแนะนำท่าเชียร์ล่วงหน้าจากสมาชิกกองเชียร์หลัก และต้องไปอยู่แถวหน้าในวันเชียร์จริง”
…อ๊ะ เข้าใจแล้ว อย่างนี้เองเหรอเนี่ย
“ทำไมนายไม่รวบรวมตัวแทนห้องโดยใช้ ‘นักแสดงหลัก’ ของนายซะล่ะ อย่างน้อยๆ นายก็จะได้มีเหตุผลในการตั้งกลุ่มยังไงล่ะ”
หลังพูดจบเธอก็ได้ชูนิ้วชี้ขึ้น
“ถ้าเกิดได้อยู่กลุ่มที่มีเป้าหมายร่วมกันแบบนี้ก็จะถูกบังคับให้ร่วมมือกันอย่างช่วยไม่ได้และมีโอกาสที่จะได้พูดคุยกันเพิ่มมากขึ้นด้วย แถมกิจกรรมมันค่อนข้างกดดัน ดังนั้นเราจึงสามารถคาดหวังผลกระทบจากสะพานแขวนได้อีกต่อนึง”
ผลกระทบจากสะพานแขวนหมายถึงเมื่อเรารู้สึกกังวลหรือว่ากลัวเรามักจะชอบคนที่อยู่ด้วยกันกับตัวเอง ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ดูเหมือนว่ายัยคนนี้จะรู้คำศัพท์จิตวิทยาเยอะสินะ
“เพราะว่าต้องทำงานโรงเรียนด้วยกันต่อให้จับกลุ่มด้วยกันไปก็คงไม่แปลกอะไร และยังมีข้อดีตรงดึงความสนใจคนทั้งห้องได้ แถมเพราะกิจกรรมนี้ถูกจัดไว้ให้มีความสำคัญเหนือกิจกรรมชมรมทำให้ไม่ต้องมานั่งปรับเวลาของแต่ละคนแยกด้วย ถ้าเกิดนายใช้โอกาสนี้ในการสร้างกลุ่มที่เลือกไว้ตายตัวละก็… ช่วงแรกก็จะถูกเคลียร์ใช่ไหมล่ะ”
เป็นไงล่ะ อุเอโนะฮาระพูดจนจบอย่างลื่นไหลแล้วก็เอียงหัว
…โอ้วๆ เข้าใจแล้วๆ
ก็ว่าตั้งใจฟังอยู่นะ แต่นี่มันช่าง…
“………ยอดเยี่ยมมาก!”
ผมปรบมือไปเองตามธรรมชาติ
ถ้าเกิดผมไม่กลั้นเอาไว้แม้แต่น้ำตาก็คงไหลออกมาด้วยซ้ำ มันช่างน่าประทับใจจริงๆ
“เดี๋ยว! เอ๊ะ? ทำไมถึงปรบมือล่ะ?”
อุเอโนะฮาระงุนงงการกระทำที่กะทันหันของผมและหันมองไปมารอบๆ
“นั่นมันไม่มีข้อเสียเลย แถมโอกาสสำเร็จก็น่าจะสูงอีก สมบูรณ์แบบ”
ถูกต้อง เป็นธรรมชาติ แล้วก็แม่นยำ เป็นอีเวนต์ที่มีทุกอย่างพร้อมแบบจัดหนักจัดเต็ม!
อา ถึงมันจะน่าหงุดหงิดที่ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่ผมยกโทษให้ละกัน ตอนนี้สิ่งที่ผมควรทำก็คือสรรเสริญผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำได้ดีเกินคาด
“เธอนี่มันสุดยอดมากอุเอโนะฮาระ ดูเหมือนว่าเธอจะมีพรสวรรค์ในการสร้างอีเวนต์สินะ!”
ผมคว้ามือของอุเอโนะฮาระซึ่งเคยเกียจคร้านเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ฮะ? ยะ เดี๋ยว—”
“ไม่ๆ ฉันประทับใจจริงๆ นะ! ทำได้ดีมาก! จะทำก็ทำได้นี่ยัยคนนี้”
ผมเหวี่ยงมือของเธอขึ้นลงซ้ายขวา
“ย-หยุดนะ! เจ็บๆ เจ็บย่ะ!”
“อ๊ะ! ฉิบหอง”
ผมปล่อยมือเธอทันที ดูเหมือนว่าผมจะมีความสุขจนกำมือของเธอแน่นเกินไป อุเอโนะฮาระนวดมือตัวเองด้วยใบหน้าที่หน่ายใจ
“จริงๆ เลย… จู่ๆ เข้ามาแตะมือแบบนี้มันไม่ปกติสำหรับใครบางคนนะ ไอ้การดึงมือเข้าไปแบบนี้”
“โทษทีๆ พอดีฉันตื่นเต้นเกินไปก็เลยแสดงปฏิกิริยาเกินจริงน่ะ ว่าแต่คิดไม่ถึงเลยนะว่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่คาดหวังได้ขนาดนี้ คิดถูกจริงๆ ที่ได้ชวนเธอไว้”
“ฉันไม่ได้พูดอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนั้นสักหน่อย”
อุเอโนะฮาระหมุนผมที่อยู่ข้างหลังหัวตัวเองพร้อมกับกล่าวด้วยความระอา
อย่างไรก็ดี อีเวนต์นี้มันเป็นอะไรที่น่าจัดมาก ที่เหลือก็แค่ลงมือทำเท่านั้น
“เอาละ นับตั้งแต่บัดนี้จะขอเรียกสิ่งนี้ว่า ‘อีเวนต์ซ้อมเชียร์’ มาลงรายละเอียดลึกโดยทันทีกันเลย!”
เอ้าแล้วๆ จะสร้างสถานการณ์แบบไหนขึ้นมาดีกันนะ จะให้ไปควบคุมอะไรตอนที่ซ้อมเชียร์อยู่ก็คงจะลำบากไปหน่อย ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็ต้องใช้ช่วงเวลาก่อนและหลังจากนั้น งั้นก็คงต้องชวนทุกคนไปแวะเที่ยวที่ไหนสักแห่งหลังจากซ้อมเสร็จ ไม่ก็จัดงานเลี้ยงขอบคุณสำหรับความเหน็ดเหนื่อย อะไรประมาณนี้
“คือเอ่อ… ขอโทษที่เข้าไปขัดจังหวะตอนกำลังสนุกนะ แต่มันมีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งน่ะ”
ในขณะที่กำลังหลงไปอยู่ในความคิดตัวเอง ผมก็ถูกอุเอโนะฮาระเรียกจนเริ่มสงบสติลง
“ถึงจะบอกว่าให้เลือกตัวแทนห้องโดยใช้นักแสดงหลักก็เถอะ แต่ปัญหาคือจะเลือกได้ยังไงล่ะ”
หลังเธอพูดจบผมก็พับแขนตัวเองแล้วก็เอนตัวลงใส่พนักพิง
“ปกติแล้วคงไม่มีใครอยากจะเป็นตัวแทนห้องหรอกใช่ไหมล่ะ ถึงแม้ในส่วนนั้นนากาซากะจะเป็นคนอาสาสมัครด้วยตัวเองได้ แต่กับสมาชิกคนอื่นนายก็ต้องหาวิธีดึงเขามาเข้าร่วมให้ได้อยู่ดีนี่”
ปัดโถ่ เล่นเอาซะตกใจหมด นึกว่าจะมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่านี้ซะอีก
“ถ้าเกิดไม่มีใครอยากอาสาสมัคร งั้นก็ใช้การเสนอชื่อหรือไม่ก็จับฉลากสิ ถึงแรกๆ จะมีขุ่นเคืองไปบ้าง แต่เดี๋ยวหลังๆ ก็คิดว่าเป็นเรื่องของโชคไปเอง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์มาโน้มน้าวผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ก็…”
“พอแล้ว ไม่ต้องแล้วล่ะ”
เพื่อขจัดความกังวลของอุเอโนะฮาระ ผมจึงได้เพิ่มความเชื่อมั่นเข้าไปอีกเรื่อง
“อีกอย่างฉันก็เป็นหัวหน้าห้องด้วย เพราะงั้นก็ยิ่งเข้าไปยุ่งกับการคัดเลือกได้อย่างอิสระ”
ตำแหน่งหัวหน้าห้องมันมีไว้เพื่อเวลาแบบนี้นี่แหละ ช่างโชคดีจริงๆ
“เอ๊ะ? นี่นากาซากะเป็นหัวหน้าห้องจริงดิ”
“ก็เป็นอยู่นี่ไง ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”
“…แล้วนายคิดจะใช้วิธีไหนกันล่ะ”
ผมเคลียร์ลำคอตัวเองด้วยเสียง อะแฮ่ม
มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
“—แทนที่จะจับฉลากด้วยการสุ่ม ฉันก็แค่ต้องล็อกผลที่ได้ไว้ให้กับนักแสดงหลักยังไงล่ะ”
ใช่แล้ว สำหรับผมความบังเอิญก็เป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้เท่านั้น