ตอนที่ 32
ยังเหลือเรื่องบ้าๆ ที่ต้องทำอยู่
ฉัน—อุเอโนะฮาระ อายาโนะ ได้ถอนหายใจอย่างเย้ยหยันตัวเอง และเดินเข้าไปในอุโมงค์มืดมิดเพียงลำพัง
ฉันเป็นเด็กฉลาดมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ
เป็นประเภทที่ซึมซับง่าย เรียนรู้เร็ว และทำทุกอย่างได้เก่งในเวลาไม่นาน
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเป็นคนที่มีความสามารถอะไรหลายๆ อย่าง แต่ในทางกลับกันฉันกลับไม่มีอะไรที่โดดเด่นเลยสักอย่าง
พ่อกับแม่ได้พร่ำบอกฉันอยู่เสมอว่า ‘ให้ค้นหาสิ่งที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ทำได้’ แต่ด้วยนิสัยของฉันทำให้ยังไงก็ไม่เจอสิ่งนั้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่มีสิ่งที่ภาคภูมิใจ ไม่มีแม้กระทั่งความชื่นชอบเป็นของตัวเอง
ด้วยความฉลาดของฉัน ได้ทำให้ฉันได้รู้ความเป็นจริงเรื่องนี้มานานแล้ว
แต่ความจริงมันก็คือความจริง ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมัน
—บางทีนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉัน
รู้สึกดีเมื่อได้เห็นเจ้าหมอนั่นซื่อตรงกับความบ้าของตัวเองและพูดออกมาว่า ‘ฉันจะไม่ยอมรับชีวิตจริงที่ไม่ชอบ’
ตั้งแต่ ‘อีเวนต์สารภาพรัก’ ในคราวนั้นนั้น ฉันก็โดนลากเข้าไปเกี่ยวพันแต่กับเรื่องบ้าๆ
ตอนเห็นจดหมายรักที่เต็มไปด้วยถ้อยคำอันร้อยเรียงราวกับบทกลอน กับสถานการณ์ที่ดูจัดฉากขึ้นมาอย่างจงใจแบบที่แม้แต่การ์ตูนสาวน้อยสมัยนี้ยังไม่ทำ ฉันก็เกิดนึกสนใจและคิดขึ้นมาว่า ‘มันต้องมีสาเหตุที่ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้อยู่แน่ๆ’
และเมื่อฉันเปิดประตูออกไป ก็ปรากฏว่าเจ้าหมอนั่นมันบ้ายิ่งกว่าที่คิด จนความคิดของฉันถึงกับหยุดชะงักกับพฤติกรรมอันแสนบ้าบอคอแตกของเขา และกว่าจะรู้ตัวเข้า ฉันก็ได้มาอยู่ในตำแหน่ง ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ เสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้นึกคึกอะไรฉันถึงไม่ได้ปฏิเสธออกไปในทันที และคิดว่าจะลองเล่นด้วยกันสักพักหนึ่ง
ไม่มีทางที่คนฉลาดอย่างฉันจะกลายเป็นคนบ้าอย่างสุดหัวใจได้
จนสุดท้ายความครึ่งๆ กลางๆ นั้นก็ได้นำพาฉันไปสู่ความผิดพลาด
แต่ในตอนนั้น
ตอนที่ฉันคิดว่าทุกอย่างมันพลิกคว่ำหมดแล้ว
เอาจริงดิ ไอ้เรื่องบ้าบอคอแตกพวกนี้มันคืออะไรกันน่ะ
—สิ่งที่ฉันคิดในหัวตอนนั้นก็คือ สุดยอดไปเลย
แต่ให้พูดกันตามตรง ฉันรู้สึกโกรธที่โดนบังคับให้มีเซตติ้งอะไรอย่าง ‘ซึนเดเระ’ นั่นที่ฉันไม่เข้าใจ แถมจะทำอะไรก็โดนตีความแปลกๆ ไปหมด จนกระทั่งทำอะไรลำบาก
แล้วก็ฉันจะไม่มีวันให้อภัยแม่แน่ ยัยป้านั่นทั้งที่อายุอานามก็ปาไปเข้าปูนนั้น แต่ยังกลับยังเอาแต่ทำเรื่องไร้สาระเพราะมันดูสนุกอีก อย่าเอาอดีตของลูกสาวไปเล่าให้คนอื่นฟังมั่วๆ สิยะ แล้วก็ห้ามเอารูปถ่ายไปมอบกับให้คนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เดี๋ยวฉันจะกินวาราบิโมจิพุดดิ้งนั่นให้หมดตู้เย็นเลยคอยดูเถอะ
ถึงจะมีเรื่องอยากพูดอีกเยอะ แต่ฉันก็ทำได้แค่บ่นเท่านั้น
แต่จะว่าไป—
ตัวตนที่เป็นทั้ง ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ และ ‘เพื่อนสมัยเด็ก’ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยตาบ้านั่นมันก็ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ
สำหรับในตอนนี้… อย่างน้อยฉันก็พูดได้อย่างเต็มปากว่ามันเป็นสิ่งที่มีแต่ฉันเท่านั้นที่ทำได้
การที่ฉันมาจนถึงจุดนี้ได้ มันอาจจะแปลว่าที่จริงแล้วฉันชอบมันก็ได้
นั่นก็เพราะว่าบางที ฉันอาจจะได้เห็นความเป็นจริงที่ต่างออกไปจากทุกวัน
จะขอตาม…ตาบ้านั่นไปอีกสักพักละกัน
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในตอนนี้
เอาเป็นว่าฉันยอมรับว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของแผนการหมอนั่น
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงได้มายังแถวของต้นซากุระ
“—เรียกฉันมาในที่แบบนี้ มีอะไรงั้นเหรออายาโนะ”
เพื่อที่จะสร้างสถานการณ์พบกันตัวต่อตัวครั้งแรก
และถือโอกาสนี้สืบหาความตั้งใจที่แท้จริงของ ‘นางเอกหลัก’ ซะ
◆
“อายาโนะเองก็รู้จักที่นี่ด้วยเหมือนกันสินะ ฉันคิดว่ามันจะเป็นที่ลับซะอีกนะเนี่ย”
พูดเสร็จแล้ว เธอก็กางแขนและแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ต้นยาเอะซากุระส่วนใหญ่แถวนี้ได้บานสะพรั่งจนเกือบหมดแล้ว ทำให้ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่าน กลีบดอกซากุระแถวนี้จะลอยว่อนไปในอากาศและปลิวหายไปยังที่ไหนสักแห่ง
ไม่มีผู้คนอยู่รอบๆ พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว และอีกไม่นานก็จะมืดสนิท แหล่งกำเนิดแสงเพียงแห่งเดียวก็คือแสงจากหลอดไฟฟ้าเก่า
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเมย์แบบตรงๆ สักครั้งน่ะ”
ฉันตัดเข้าเรื่องและพูดออกไปด้วยเสียงปกติ
“โอ้ นี่มันเกิร์ลทอร์คสินะ”
ท่าทางของเธอที่หันกลับมาพร้อมกับเอียงคอ มันช่างงดงามจนฉันเผลอยิ้มออกไป
ผมดำสลวยและผิวเนียนเรียบของเธอดูยังไงก็มาจากธรรมชาติ การที่เธอเป็นแบบนี้โดยไม่ต้องแต่งหน้า นั่นก็แสดงว่าสิ่งที่เธอได้รับตั้งแต่ตอนเกิดมันต้องแตกต่างจากคนอื่นมาก
ฉันตรวจดูอีกทีว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัว และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีคน ฉันก็ได้เดินเข้าไปใกล้เธอยิ่งกว่าเดิม
จากนั้นฉันก็เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาช้านาน
“…จดหมายรักของโคเฮย์ ทำไมเธอถึงได้เอามันมาใส่ไว้ในตู้รองเท้าของฉัน”
—ตอนช่วง ‘อีเวนต์สารภาพรัก’
ถึงดูเผินๆ จะเหมือนหมอนั่นเอาจดหมายมาใส่ผิดตู้ ทว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่
แต่เป็นนางเอกหลักคนนี้ต่างหากที่สลับที่จดหมายของตัวเองไปไว้ที่ตู้รองเท้าอื่น
“…หมายความว่ายังไงกันเหรอ? จดหมายรักเหรอ?”
เธอเอียงหัวและเกาแก้มราวกับว่าไม่เข้าใจในเรื่องที่พูด
ก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ไปวิจารณ์คนอื่นได้หรอกนะ แต่…ทำไมถึงได้หน้าหนาขนาดนี้
“เธอคงคาดไม่ถึงสินะว่าเจ้าของตู้รองเท้าข้างๆ จะเป็นเพื่อน—เพื่อนสมัยเด็กของหมอนั่นใช่ไหมล่ะ”
ที่จริงตอนนั้นพวกเรายังไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจะปล่อยมันไว้
“หรือว่าจะมีการเข้าใจผิด? ฉันไม่รู้เรื่องจดหมายอะไรนั่นเลยนะ ว่าแต่เขาส่งให้ฉันจริงๆ แน่นะ”
“ฉันตรวจสอบกับเจ้าตัวมาแล้ว เพราะงั้นไม่ผิดหรอก”
“ถ้างั้นนากาซากะคุงก็คงส่งผิดเองนั่นแหละ ก็นั่นไง นากาซากะคุงเขาเป็นพวกซุ่มซ่ามหน่อยๆ นี่นา”
เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ฉันขอปฏิเสธอย่างสุดหัวใจ
นอกจากสถานการณ์ไม่คาดฝันแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าบ้าวางแผนแบบนั้นจะผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ กับเรื่องแบบนี้
ดังนั้นมันจะต้องอยู่ในตู้รองเท้าของเมย์แน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย
ฉันสูดลมหายใจและค่อยๆ ไล่เรียงเรื่องราวทั้งหมด
“…มีอยู่พักหนึ่งที่ฉันก็คิดแบบนั้น แต่ไม่ว่าโคเฮย์จะงี่เง่าขนาดไหน เจ้าหมอนั่นก็ไม่มีทางโง่ถึงขนาดหย่อนจดหมายรักลงไปในตู้รองเท้าของเพื่อนสมัยเด็กโดยไม่ได้ตั้งใจได้หรอก”
เรื่องเพื่อนสมัยเด็กเป็นสิ่งที่กุขึ้นมาหลังจากนั้นทั้งหมด แต่อันที่จริงฉันยังมีเหตุผลอื่นที่ดูไม่เป็นธรรมชาติอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้มันก็นับว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับการเขย่าขวัญเมย์ มันเป็นเซตติ้งอันล้ำค่า ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าจะใช้มันให้ได้อย่างเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
“นอกจากนี้ตอนที่เปิดจดหมาย…ฉันก็รู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ”
จดหมายรักของโคเฮย์เป็นจดหมายสีขาวธรรมดาที่ถูกปิดผนึกด้วยสติ๊กเกอร์รูปหัวใจ และข้างในมันก็มีบทกลอนกับชื่อของผู้ส่ง จนถึงตรงนี้ยังไม่มีอะไรแปลกๆ
แต่เมื่อฉันลองสังเกตจดหมายดูดีๆ เพื่อหาว่าความไม่สบายใจนี้คืออะไร ฉันก็ได้ข้อสรุปมาเรื่องหนึ่ง
“ตรงจดหมาย มีร่องรอยว่าเคยมีคนเปิดมันออกมาก่อน”
นั่นก็คือตรงสติ๊กเกอร์มีร่องรอยว่าเคยถูกลอกออกไปแล้วครั้งหนึ่งนั่นเอง
“ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ได้รับจดหมายคนแรกอาจจะส่องดูข้างในไปแล้ว จากนั้นก็นำไปใส่ไว้ในตู้รองเท้าของฉัน…นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด”
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นฉันไม่ใช่เหรอ บางทีแล้วอาจจะโดนคนอื่นแกล้งก็ได้”
เมย์ยิ้มแบบนางฟ้าพร้อมกับค้านกลับมาได้อย่างตรงประเด็น
“หรือว่าเธอจะมีหลักฐาน”
อย่างเช่นรอยนิ้วมือบนจดหมาย จากนั้นเธอก็พูดราวกับเป็นคนร้ายในนิยายสืบสวน
…ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับง่ายๆ สินะ
เฮ้อ ฉันถอนหายใจ และตัดสินใจที่จะยกเหตุผลอื่นขั้นมา
“…กลิ่นซากุระ”
“ฮึ?”
“กลิ่นหอมของดอกซากุระ—ครีมทามือของเมย์ ในจดหมายได้มีร่องรอยของสิ่งนั้น”
“โห…”
ใช่แล้ว… ตอนที่ฉันเปิดจดหมายในตอนนั้น
ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกถึงกลิ่นของดอกซากุระ
“นี่เป็นสิ่งที่ฉันได้ยินมาจากโคเฮย์… ว่าเมย์ติดนิสัยชอบทาครีมทามือหลังจากทำกิจกรรมชมรมตลอด และนั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้มือหยาบใช่ไหมล่ะ”
สิ่งนี้เป็นข้อมูลที่อยู่ในบันทึกมิตรภาพ
ตอนแรกฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกติดใจมันอยู่ในระหว่างที่ฝึกปฏิบัติงาน —การสังเกตพฤติกรรม ในตอนที่ฉันนั่งเบาะหลังเมย์ ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นแบบเดียวกัน และนึกถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา
“เมื่อได้กลิ่นจดหมายนั้น…ฉันก็มั่นใจขึ้นมาได้ ว่าคนที่สลับที่จดหมายนั้นก็คือเมย์แน่ๆ”
แต่…
“แต่ฉันกลับไม่เข้าใจถึงเหตุผลของการกระทำนั้น เพราะเท่าที่ฉันได้รู้ เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะทำอะไรแบบนี้”
ภาพจำ ‘นางเอกหลัก’ ที่ได้จากข้อมูลของโคเฮย์ก็คือตัวตนที่ราวกับนางฟ้าผู้แสนดี เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าคนที่สลับที่จดหมายก็คือเธอจริงๆ
“ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจ ว่าจะมาตรวจสอบนิสัยของเมย์โดยตรงจริงๆ”
ถ้าขนาดความสามารถในการหาสืบอย่างบ้าคลั่งของตานั่นยังมองเห็นความจริงไม่ได้ละก็…มันก็มีแต่ต้องมาตรวจสอบในแบบที่ตานั่นทำไม่ได้เท่านั้น
หลังจากได้ข้อสรุปนั้นออกมา ฉันก็ตัดสินใจที่จะออกมายืนหน้าเวที
“ในตอนนั้น ฉันสงสัยว่าเธอจะตอบสนองอย่างไรเมื่อพบว่าคนที่หย่อนจดหมายไปให้เป็นเพื่อนของผู้ส่ง ดังนั้นตอนหมอนั่นซ้อมเชียร์ฉันก็เลยเข้าไปแซวเขา”
ฉันในตอนนั้นไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเหล่าตัวละครหลักด้วยความนึกสนุกหรือมึนแต่อย่างใด แม้แต่การเข้าไปสานสัมพันธ์กับทุกคนเพื่อสนับสนุนแผนการมันก็เป็นเหตุผลรอง
จุดประสงค์ที่แท้ของฉันในวันนั้นก็คือ—ทำให้เมย์ตกใจและเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
“แล้วก็ถึงจะแค่แป๊บเดียว แต่เธอก็รู้สึกตกใจตอนที่ได้ยินชื่อของฉันใช่ไหมล่ะ ถึงตอนพูดถึงตู้รองเท้าเธอจะดูสบายดีก็เถอะ”
ฉันดูออกว่าปฏิกิริยาของเธอดูชะงักไปแว๊บหนึ่ง ถึงจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ
หลังจากนั้นเธอก็พยายามอ่านเจตนาจากการกระทำของฉัน—แม้กระทั่งหลังจากนั้นเธอก็ยังเข้ามาถามลองเชิงเพื่อดูว่าฉันกับหมอนั่นสนิทกันแค่ไหน
“หลังจากนั้น…เธอก็มาที่นี่กับโคเฮย์เพื่อถามเรื่องของฉัน เพื่อให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้บอกกับโคเฮย์ เรื่องที่เขาถูกสลับที่จดหมาย”
ด้วยความที่เมย์ตกใจที่จู่ๆ ฉันก็ปรากฏตัวออกมา ดังนั้นเธอจึงพยายามตรวจสอบโคเฮย์เพื่อยืนยันความตั้งใจของฉันด้วยตัวเอง บางทีสาเหตุการกระทำลึกลับของเธอในวันนั้นมันก็คงมาจากเรื่องนี้เหมือนกัน
ฉันคิดถูกที่ไม่บอกโคเฮย์ว่ากำลังทำอะไร เพราะถ้าฉันบอกไป ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผย ณ ตรงจุดนั้นทันที
“จากนั้นเธอก็เริ่มเข้าหากลุ่มคนที่ไม่เคยคุยด้วย และเริ่มออกไปเที่ยวเล่นพวกเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเข้าใกล้ใครเกินจำเป็น แต่จู่ๆ สิ่งนั้นก็เปลี่ยนไป”
เมื่อฉันลองเข้าไปถามสมาชิกในแต่ละกลุ่มว่าความสัมพันธ์กับเมย์เป็นแบบไหน ฉันก็ได้ค้นพบว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความลึกซึ้งของความสัมพันธ์ และเนื้อหาของคำเชิญชวนมันก็เหมือนกันหมดเลย แต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือเธอไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งบ่อยเป็นพิเศษเลย
และเมื่อได้รู้เช่นนี้ ฉันก็ได้ข้อสรุปการกระทำของเมย์ทั้งหมด
ก่อนจะพูดออกไป ฉันก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ
“จากที่ฉันคาดเดาการกระทำของเธอมาจนถึงตอนนี้—”
การกระทำของเมย์
และความตั้งใจพื้นฐานของเธอจนถึงตอนนี้นั่นก็คือ—
“—เธออยากให้ ‘ความสัมพันธ์ของตัวเองไม่ห่างเหินหรือใกล้ชิดจนเกินไปไม่ว่ากับใครหรืออะไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับทุกคนจะต้องราบเรียบไม่มีความแตกต่าง’ นี่คือหลักการของพฤติกรรมเมย์จนถึงตอนนี้ใช่หรือเปล่า”
—โลกแห่งต้นซากุระได้เงียบสงัด
“คงเหมือนฉันกำลังต่อว่าเธออยู่สินะ แต่ใช่ว่าฉันจะอยากบ่นอะไรหรอก ฉันก็แค่อยากรู้สิ่งที่เมย์คิด แล้วก็สิ่งที่เมย์ต้องการจะทำก็เท่านั้นแหละ”
ความมืดมิดได้เข้ามาปกคลุมโดยสมบูรณ์ จนฉันไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเมย์ได้อีกต่อไป
จากนั้นเมย์ที่เคยฟังอย่างเงียบๆ มาจนถึงตอนนี้ก็—
“…อะฮะๆๆ นี่มันนักสืบขั้นเทพเลยนี่นา”
ช่วยไม่ได้สินะ เธอส่ายหัวและเปิดปากหนักๆ นั่นออกมา
จากนั้นเธอก็ได้รวบผมดำสลวยไปแนบไว้ที่หูขวาของตัวเอง
“—แต่มันก็ถูกต้องทุกอย่างเลยล่ะ ถ้าเกิดอยากรู้มากขนาดนั้นฉันจะบอกให้เอาไหม ถึงความเป็นจริงของ คิโยซาโตะ เมย์”
ดวงตาดำมืดและแข็งกร้าว สีหน้าที่ราวกับว่ากำลังโกรธอยู่แบบเงียบๆ
—นั่นเป็นสีหน้าที่ ‘นางเอกหลัก’ ที่ราวกับนางฟ้าไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น
◆
“กะแล้วว่าอายาโนะต้องเป็นเนื้อร้ายแน่ ฉันไม่น่าประมาทเธอไปเลย…”
เมย์หรี่ตาลงอย่างรวดเร็วและจ้องมาที่ฉัน
รอยยิ้มตามปกติของเธอไม่มีอีกแล้ว
“ว่าแต่…เธอเริ่มสงสัยฉันตั้งแต่ตอนไหน”
“ตั้งแต่แรกแล้ว นับตั้งแต่วันที่ได้รับจดหมาย ฉันก็สงสัยว่ามีใครอยู่เบื้องหลังนากาซากะคุงมาโดยตลอด”
ฉันหายใจเข้านิดหน่อย
เมย์ถอนหายใจราวกับว่ายอมจำนน
“…อย่างแรกเรื่องจดหมายนั่นมันเป็นแค่การผัดวันประกันพรุ่ง ก็การกระทำของนากาซากะคุงมันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เลยต้องกลับไปคิดหาทางรับมือก่อนนี่นะ ถ้าเกิดฉันปฏิเสธไปง่ายๆ เดี๋ยวมันก็มีเรื่องอีก แถมบางทีฉันอาจจะทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเลยได้ก็ได้”
ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากแสร้งทำให้มันดูเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“วันต่อมาฉันก็ได้เตรียมพร้อมเสร็จสรรพกับเรื่องที่จะเกิด แต่เขากลับทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะอย่างนั้น ตามปกติเขาควรจะถามหรือพยายามสารภาพรักกับฉันอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูไม่คิดจะทำเลยสักนิด ดูยังไงมันก็ผิดปกติชัดๆ ใช่ไหม”
เมย์ยังคงพูดต่อไป
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขาอาจยอมแพ้ไปแล้ว แต่แล้วเขาก็เริ่มเอาฉลากมาใช้ในทางที่ผิดเพื่อเข้าหาฉัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเลือกมาแต่สมาชิกที่อยากจะผูกมิตรด้วยเท่านั้น”
…อย่างนี้นี่เอง ความจริงแล้วเธอสังเกตเห็นเรื่องการปลอมแปลงฉลากด้วยสินะ
“แต่เมื่อเทียบกับตอนแรกแล้ว ฉันก็คิดว่ามันแปลกที่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนวิธีเข้าหาฉัน ทั้งที่นากาซากะคุงก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลย ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันอาจเป็นความคิดของใครบางคน”
“นั่นก็คือฉันงั้นเหรอ”
“ก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วนี่ ฉันได้ยินมาจากปากนากาซากะคุงเองว่าเขาไม่มีเพื่อนสนิทเลย ดังนั้นคนที่เป็นไปได้ก็มีแต่คนที่ฉันยัดจดหมายไปให้เท่านั้น…หรือก็คือ อายาโนะ”
เฮ้อ เมย์ถอนหายใจและพูดต่อไป
“ใครจะไปคิดล่ะว่าพวกเธอจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันอะไรแบบนั้น ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันจริงๆ หรือเปล่าก็เถอะ”
ชิ้ง ตากลมโตของเมย์ได้หรี่ลงและจ้องเข้ามา
…หวา นี่มันสงสัยเราโดยสมบูรณ์แล้วชัดๆ
“ความจริงฉันไม่ได้ตั้งใจจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และพยายามจะแก้ไขปัญหาจากเบื้องหลังด้วยตัวเอง…แต่ถ้าเกิดอายาโนะรู้มาขนาดนี้แล้วมันก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นฉันจะบอกเธอให้ชัดเจนไว้ตั้งแต่ตอนนี้…”
ทันใดนั้นสายลมก็ได้พัดกรรโชกกิ่งก้านของต้นซากุระ
เมย์เปิดปากพูดพร้อมกับจับผมที่ปลิวไสวไปพร้อมกับดอกซากุระ
“ช่วยเลิก…ทำเรื่องที่เบี่ยงไปจากบรรทัดฐานสักทีได้ไหม”
—คำพูดของเธอ
จากที่ฉันรู้สึกมันหนักอึ้งพอๆ กับของโคเฮย์
“ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายใคร แล้วก็ไม่อยากที่จะหลบหน้าใครเหมือนกัน ที่ฉันทำไปก็เพราะเขาเข้าหาฉันด้วยวิธีไม่มีสามัญสำนึกและพยายามบังคับตั้งกลุ่มกับฉัน มันก็เท่านั้น”
เมย์พูดต่อไป ด้วยดวงตาที่ส่องประกายอย่างมืดมน
“ฉันไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับเขาถ้ามันอยู่ในขอบเขตของสามัญสำนึก จะให้คุยเล่นด้วยกันในห้อง หรือนานๆ ครั้งแวะออกไปเที่ยวระหว่างทางกลับบ้านก็ได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของความปกติ”
เสร็จแล้วเธอก็หรี่ตาลงเล็กน้อย และพูดออกมาอย่างหงุดหงิด
“แต่ว่า ไอ้เรื่องวุ่นวายอย่างการเล่นตุกติกกับฉลาก หรือว่าส่งจดหมายรักมาให้โดยไม่แจ้งเตือนก่อนทันทีหลังจากเปิดภาคเรียน…ทั้งหมดนี้เอาท์”
เพราะมันเป็นเรื่องไม่ปกติ เมย์ย้ำ
“ฉันไม่ตั้งใจจะคบกับใครเกินจำเป็น ความสัมพันธ์แบบที่ไม่สนใจว่าฉันจะอยู่ที่นั่นหรือไม่ก็ตาม นั่นเป็นความสัมพันธ์แบบที่ปราศจากข้อผิดพลาดมากที่สุด”
ในอกของฉันรู้สึกวูบวาบกับคำพูดอันหนักแน่น
ผู้หญิงคนนี้—
“ไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด ไม่ต้องกลัวว่าคำพูดจะไปทำให้ใครไม่พอใจ เพราะสุดท้ายยังไงมิตรภาพที่ไม่อาจมีอะไรมาแทนที่ได้ และชีวิตในโรงเรียนอันสนุกสนานกับเพื่อนๆ—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันไม่มีอยู่จริง”
เมื่อเทียบกับโคเฮย์แล้ว
ไม่ใช่ว่าพวกเขายืนอยู่กันคนละทิศโดยสิ้นเชิงเลยรึไง
“…นากาซากะคุงน่ะมองหาอุดมคติมากเกินไปนะ บางทีคงเพราะแบบนั้นเขาก็เลยกลายเป็นโรนิน ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงดื้อดึงและไม่ยอมเรียนรู้เลย”
เมย์ขบริมฝีปากอย่างหงุดหงิด จากนั้นเธอก็ส่ายหัวและหันสายตาอันคมกริบมาหาฉัน
“อายาโนะก็ด้วย หยุดทำเรื่องโง่ๆ เอาไว้เท่านี้จะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าเธอจะได้เห็นความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่านี้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวที่มีความหมายแฝงนั้น จู่ๆ ฉันก็นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา และความไม่สบายใจก็ได้ไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง
“เดี๋ยวนะ หรือว่า…เธอจะสังเกตเห็นว่าฉันกำลังตามสืบอยู่รอบๆ”
“ก็ต้องรู้สิ ก็เล่นเคลื่อนไหวซะแบบนั้นใครมันจะไม่รู้ล่ะ”
…พูดเล่นใช่ไหม
เธอพูดออกมาแบบดูธรรมชาติมาก จนสมองของฉันถึงกับหยุดแล่น
“ตามนิสัยของนากาซากะคุง ถ้าหากมีสิ่งใดกวนใจ เขาจะต้องตรวจสอบก่อนถึงจะพอใจ ก็เขาเป็นคนพูดออกมาเองนี่นา แล้วฉันก็เกิดสงสัยขึ้นมาน่ะนะ ว่าถ้าเกิดเพิ่มสิ่งที่กวนใจเขาขึ้นมาแล้ว เขาจะเอาแต่ฟุ้งซ่านอยู่กับมันไหม”
เมย์พูดต่ออย่างเมินเฉย ราวกับว่ามันเป็นเหตุผลปกติ
“ยิ่งเขาเอาแต่ตรวจสอบเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งทำอะไรได้น้อยลงเท่านั้น และเมื่อเขาทำอะไรไม่ได้ ผู้ร่วมมืออย่างอายาโนะก็จะเริ่มเคลื่อนไหว และเมื่อคนฉลาดอย่างอายาโนะเริ่มเคลื่อนไหว…ฉันก็แค่ทิ้งความไม่สบายใจเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ และปล่อยให้เธอเข้ามางับ”
อย่าบอกนะว่า—
เธอตั้งใจจะวางกับดักเรา โดยการให้เราเข้าไปตรวจสอบพฤติกรรมของตัวเธอเอง…
“หรือว่า…ที่คัตสึนุมะระแวงฉันก็เพราะ”
“ฉันเป็นคนบอกให้เขารู้เรื่องอายาโนะเองแหละ อายูมิน่ะเป็นคนที่รักเพื่อนมาก เพราะงั้นเขาต้องรู้สึกเข้มงวดกับคนที่อาจสร้างปัญหาให้กับเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่แล้ว”
“หรือแม้แต่เรื่องที่เธอเข้าไปคุยกับผู้ชายทุกคนในห้องก็…”
“ฉันเพิ่งจะปรับลำดับของคนที่ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันมาเองแหละ โดยให้ความสำคัญกับผู้ชายที่ชอบเข้าไปคุยกับผู้หญิงในห้องก่อนเป็นลำดับสูงสุด”
“เธอจะบอกว่าวางกับดักโดยคำนวณไว้หมดแล้วสินะ…”
“เซอร์ไพรส์เลยใช่ม้า แต่ถ้าอายาโนะไม่ทำตัวลับๆ ล่อๆ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะ มันเป็นเพราะพฤติกรรมโง่ๆ ของอายาโนะนั่นแหละที่ทำร้ายตัวเธอเอง”
ฉันกลืนน้ำลายตัวเอง
ผู้หญิงคนนี้ช่าง…
คาดเดาอะไรไม่ได้มากเกินไป แต่เป็นคนละทิศทางกับโคเฮย์
“ทุกอย่างมันควรจะไปได้ดีถึงตอนจบแท้ๆ…แต่แล้วนากาซากะคุงก็ออกมา และใช้คำพูดเข้าใจยากทำให้ทุกอย่างถูกซ่อนไว้ใต้พรม คนคนนั้นนี่ช่างทำแต่เรื่องอะไรที่ไม่ปกติจริงๆ”
เธอลดสายตาลงเล็กน้อยและบ่นออกมาด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็จ้องมาที่ฉันทันทีอีกครั้ง
“ถ้าเกิดเป็นคนฉลาดอย่างอายาโนะละก็…ตอนนี้ เธอคงเข้าใจแล้วใช่ไหม นั่นแหละเหตุผลที่ฉันเข้ามาคุยกับเธอโดยตรง”
เธอเดินมาข้างหน้าพร้อมด้วยถ้อยคำที่มีความหมายซ้อนไว้หลายชั้น
ถึงจะเกือบจะเป๋ไปเพราะแรงกดดัน แต่ฉันก็พยายามตั้งสติตัวเองและมองย้อนกลับไปที่ดวงตาของเมย์
“ความสัมพันธ์ของฉันกับทุกคนในตอนนี้มันก็คือขีดจำกัดแล้ว ถ้าเกิดอายาโนะกับคนอื่นๆ รักษาระยะห่างนี้เอาไว้ฉันก็จะไม่ทำอะไรต่อ เธอทำได้ไหมล่ะ”
จากนั้นเมย์ก็หลับตาลงครู่หนึ่ง…แล้วก็ลบแรงกดดันออก
“…นี่คือความลับทั้งหมดที่เธอจะได้จากฉัน เธอคงไม่ปล่อยให้นากาซากะคุงทำผิดพลาดอีกแล้วสินะ ก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันใช่ไหมล่ะ”
ขณะที่กำลังใช้มือจัดผมของตัวเอง เธอก็ได้ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าของ ‘นางเอกหลัก’ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จากนั้นเธอก็เดินผ่านหน้าฉันและ—
“แล้วเจอกันนะ อายาโนะ! ฉันหวังว่าจะได้เป็นเพื่อนแบบปกติกับเธอต่อไปนะ!”
จากไปจากแถวของต้นซากุระ โดยไม่หันกลับมามองหลังอีก
◆
“…เฮ้อ เอาจริงดิ นี่เราเอาหัวเข้าไปแหย่กับเรื่องบ้าอะไรอยู่กันน่ะ”
ฉันสะบัดผมที่อยู่ด้านหลังและปล่อยให้พลิ้วไสว ตรงคอของฉันมีเหงื่อออกและรู้สึกไม่สบายใจไปหมด
ว่าแต่…นั่นมันบ้าอะไรกันน่ะ ดูจากหลายๆ อย่างแล้ว เชื่อไม่ลงเลยว่าเป็นผู้หญิงที่อายุเท่ากับฉัน
โอกาสที่โคเฮย์ชนะนั้นก็คือศูนย์ อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะเข้าไปใกล้แบบง่ายๆ ได้ด้วย ‘อีเวนต์สารภาพรัก’
“…แต่ว่านะ เมย์”
ฉันได้หลับตาลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใคร
จริงอยู่ที่ฉันมองไม่เห็นหนทางที่จะทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้นในอนาคตได้เลย…
“แต่เธอไม่ควรจะดูถูกตานั่นมากเกินไปรู้ไหม
เพราะว่าเจ้าบ้าคนนั้น…สามารถทำให้สิ่งที่ไม่ควรมีอยู่จริงเกิดขึ้นมาได้นะ”
(จบเล่ม 1)
Chapters
Comments
- ตอนที่ 36 มีนาคม 14, 2023
- ตอนที่ 35 กุมภาพันธ์ 20, 2023
- ตอนที่ 34 กุมภาพันธ์ 18, 2023
- ตอนที่ 33 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 32 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 31 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 30 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 29 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 28 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 27 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 26 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 25 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 24 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 23 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 22 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 21 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 20 ธันวาคม 26, 2022
- ตอนที่ 19 ตุลาคม 14, 2022
- ตอนที่ 18 ตุลาคม 14, 2022
- ตอนที่ 17 ตุลาคม 14, 2022
- ตอนที่ 16 ตุลาคม 9, 2022
- ตอนที่ 15 ตุลาคม 9, 2022
- ตอนที่ 14 กันยายน 25, 2022
- ตอนที่ 13 กันยายน 25, 2022
- ตอนที่ 12 กันยายน 25, 2022
- ตอนที่ 11 กันยายน 25, 2022
- ตอนที่ 10 กันยายน 25, 2022
- ตอนที่ 9 กันยายน 25, 2022
- ตอนที่ 8 สิงหาคม 9, 2022
- ตอนที่ 7 สิงหาคม 9, 2022
- ตอนที่ 6 สิงหาคม 5, 2022
- ตอนที่ 5 กรกฎาคม 31, 2022
- ตอนที่ 4 กรกฎาคม 31, 2022
- ตอนที่ 3 กรกฎาคม 31, 2022
- ตอนที่ 2 กรกฎาคม 31, 2022
- ตอนที่ 1 กรกฎาคม 31, 2022
MANGA DISCUSSION