หลังเลิกเรียนตรงประตูทางเข้าดาดฟ้า
ผมแหงนหน้ามองฟ้าครึ้มผ่านประตูเหล็กเพื่อเฝ้ารออุเอโนะฮาระ
บันไดด้านนอกอาคารที่มีลมแรง ได้พัดพาอากาศหนาวเย็นจนราวกับฤดูกาลเก่าหวนกลับมา
อย่างที่คิด ว่าประตูดาดฟ้าถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นสนิทและไม่มีใครเข้าไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็เป็นแห่งเดียวในโรงเรียนที่สามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็น
จริงอยู่ที่ปกติเราควรย้ายไปคุยกันที่ ‘ห้องประชุม M’ …แต่ตอนนี้ผมต้องการคุยกับอุเอโนะฮาระให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
“—โทษนะ รอนานไหม”
ก่อนเวลานัดพบ 10 นาที
อุเอโนะฮาระก็ได้ปรากฏตัวขึ้นทันทีด้วยความตรงต่อเวลา
“ไม่หรอก…”
“แปลกจังที่เรียกมาที่โรงเรียน มีเรื่องอะไรคืบหน้าเหรอ หรือว่าจะได้รับข้อมูลอะไรใหม่ๆ”
อุเอโนะฮาระเดินขึ้นมาบนบันไดพร้อมกับพูดด้วยเสียงปกติ
ดูจากท่าทางแล้วเธอคงยังไม่รู้
“นี่… เธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“…?”
ผมเปิดวิดีโอที่โทคิวะส่งมาทางโทรศัพท์ และยื่นไปทางอุเอโนะฮาระ
อุเอโนะฮาระรับโทรศัพท์ไปด้วยท่าทางอึนๆ และมองลงไปตรงที่หน้าจอ
จากนั้นร่างกายของเธอก็กระตุกแล้วก็แข็งทื่อทันที
“นี่มัน…อะไรกันเนี่ย”
เธอพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับจ้องมองโทรศัพท์
หน้าตาของเธอดูไร้อารมณ์ตามปกติ แต่เธอกลับใช้มือข้างหนึ่งขยี้ผมตรงด้านหลังพร้อมกับกระสับกระส่าย
“นี่เสียงนี่มัน…ตอนที่ฉันรีดข้อมูลกับผู้ชายคนนั้น…อ๋อ เข้าใจแล้ว มันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ…”
หลังจากพูดเบาๆ เสร็จแล้ว เธอก็ได้กำผมตรงด้านหลังแน่น
…ยังเฉียบแหลมเหมือนเดิมเลยแฮะ ดูเหมือนว่าจะเข้าใจสถานกาณณ์แล้วสินะ
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ดูเหมือนว่าเธอจะเก็บข้อมูลตัวต่อตัวมาให้ฉันด้วยสินะ…”
“…”
“คนที่ถ่ายวิดีโอนี้มาจากในกลุ่มของคัตสึนุมะ…ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เป็นศัตรูกับฉัน ดูเหมือนว่าเพราะตอนซ้อมเชียร์เธอทำท่าทางเป็นมิตรกับกลุ่มของเรา พวกเขาก็เลยให้ความสนใจกับเธอตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา”
จากที่ได้ตรวจสอบแบบเร็วๆ มาจากโทคิวะ ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าเธอนั้นสนิทสนมกับผม นอกจากนี้เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงจากห้องเรียนอื่นที่จู่ๆ ก็เข้ามาใกล้อีก พวกเขาก็เลยยิ่งระมัดระวังตัวเข้าไปใหญ่
พอลองกลับไปคิดดูดีๆ ในตอนนั้นคัตสึนุมะก็จ้องมาที่พวกเราจริงๆ
ผมคิดแค่เพียงเขาคงจะเข้ามารบกวนผมเหมือนกับทุกที …แต่บางเขาอาจจะให้ความสนใจอุเอโนะฮาระมากกว่าก็ได้
“เพราะว่าพวกเขามีความรู้สึกแง่ลบกับเธอมาตั้งแต่ต้น พอเห็นเธอเก็บข้อมูลพวกเขาก็เลยยิ่งตีความเธอไปในทางแย่ ประมาณว่าเธอเป็นเอ่อ…พวกบ้าผู้ชายอะไรแบบนั้น …ก็ประมาณนี้แหละนะ”
อุเอโนะฮาระยังคงนิ่งไม่พูดอะไร
ผมทนไม่ไหวและหัวลง
“…ขอโทษ ฉันควรสังเกตเห็นให้มันเร็วกว่านี้”
“…”
“แต่…มันยังไม่สายเกินไป เพราะฉันขอให้โทคิวะช่วยไม่ให้มันแพร่กระจายออกไปแล้ว เรายังกู้สถานการณ์กลับมาได้ เรื่องที่มันกระทบกับแผนการไหม ก็ขึ้นอยู่กับข้อแก้—”
“พอแล้วน่า”
—อุเอโนะฮาระรีบเข้ามาแทรกกลาง
ฟูว์ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา
“…เฮ้อ สงสัยฉันจะกลายเป็นคนบ้าไปแล้วสินะ”
เธอบ่นราวกับยอมแพ้ให้กับทุกสิ่ง
เสียงนั้นดูไร้อารมณ์มากกว่าปกติ เมื่อเห็นดังนั้นผมก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมายิ่งกว่าเก่า
“คือเอ่อ อุเอโนะฮาระ”
“มีคนเห็นเหตุการณ์ด้วยสินะ ที่บอกให้ระวังหลังเนี่ย…นายพูดจริงสินะ”
เอ้านี่ เธอส่งโทรศัพท์คืนมาที่มือของผม
อุเอโนะฮาระพูดต่ออย่างนิ่งๆ เสียงของเธอดูเรียบๆ แล้วก็เยือกเย็น
“ถ้าคิดตามปกติ การเข้าไปคุยกับผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แถมยังเข้าไปจ้อไม่หยุดทั้งที่อยู่กันคนละห้องมันก็น่าขยะแขยงจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเกิดข่าวลือแปลกๆ จะแพร่ออกไปมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก”
“ตะ แต่ว่า…”
“ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ได้ถึงกับแก้ไขอะไรไม่ได้ ฉันก็แค่ต้องไม่ทำอะไรเกินจำเป็นเท่านั้นใช่ไหม”
“…อุ”
ผมพูดไม่ออก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกที่ตัวผมพยายามจะไม่นึกถึง
“อย่างแรก ใช่ว่าฉันจะทำอะไรที่เกิดปัญหาหากโดนขุดขึ้นมาซะหน่อย ถึงมันจะลำบากนิดหน่อยที่ทำอะไรกับวิดีโอไม่ได้ก็เถอะ… แต่ถ้าเกิดไม่ทำอะไรต่อ ไม่นานคนก็ลืมมันไปเองนั่นแหละ”
ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องของคนห้องอื่นด้วย เธอพูดแถม
“เอาเป็นว่านากาซากะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยก็ปล่อยมันไป ส่วนฉันก็ไม่ต้องทำอะไรเลย นั่นเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลที่สุดไม่ใช่รึไง”
“อันนั้น…”
อุเอโนะฮาระแย้งออกมาด้วยหลักการที่ถูกต้องออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อะไรก็ได้… ต้องหาคำแย้งอะไรออกไปให้ได้
ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้…
“…เข้าใจแล้ว งั้นฉันจะลองทำหลายๆ อย่างจนกว่าเรื่องจะเย็นลงเอง”
“…อ๊ะ โทษนะ แต่ฉันว่าจะหยุดแล้วล่ะ”
ตึกตัก หัวใจของผมเต้นแรง
อุเอโนะฮาระสะบัดผมของเธอไปด้านหลัง แล้วก็หันกลับมามองผม
“ที่ฉันจะบอกก็คือ เรื่องผู้สมรู้ร่วมคิดมันคงต้องจบลงแค่นี้แล้ว ถึงเราจะทำหลายอย่างด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ แต่…เราก็ควรจะหยุดก่อนมันจะเกิดปัญหาว่างั้นไหม”
“อ่า…”
ผมไม่รู้สึกถึงอารมณ์ใดๆ จากคำพูดเบาๆ ของอุเอโนะฮาระที่กล่าวออกมา
“เอาจริงๆ ฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องเลิฟคอมเมดี้เป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย ไม่มีเหตุผลให้ต้องเสี่ยงต่อไปอีกแล้วด้วย การที่มีคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆ นากาซากะก็คงรำคาญใช่ไหมล่ะ”
เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับจะบอกว่ามันเป็นสามัญสำนึกและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ก้าวลงบันไดอย่างสม่ำเสมอ และออกจากตรงดาดฟ้าไป
“ดะ เดี๋ยว รอเดี๋ยวก่อน”
ผมเรียกราวกับว่ากำลังวิ่งไล่
จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่ทางโค้งของบันได
อุเอโนะฮาระชะงักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็จับผมด้านหลัง และจ้องมาที่ตาผมก่อนจะพูดอย่างเบื่อหน่าย
“มองความเป็นจริงบ้างหน่อยสิ ยังไงฉันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตั้งแต่แรกสักหน่อย”
—คำพูดนั้น เป็นคำพูดเดียวกับวันแรกที่ผมได้พบกับอุเอโนะฮาระ
เนื่องจากรับไม่ได้กับคำพูดเหล่านั้น ผมจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปว่า “ช่วยรอด้วย!”
“…มีอะไรอีก”
อุเอโนะฮาระที่กำลังจะจากไป ได้หันมามองผมแล้วก็พูดออกมา
“เธอน่ะ…ทำไมถึงได้ทำการเก็บข้อมูลตัวต่อตัวให้ทั้งที่ฉันไม่ได้ขอล่ะ”
“…”
“ก่อนหน้านี้ก็ด้วย…เธอทำตามแผนต่างๆ ที่คิดขึ้นมาด้วยตัวเองใช่ไหม”
“…”
“ถ้าเกิดเธอช่วยไปตามน้ำเพราะแค่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวพัน เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำไปทั้งหมดนั่นเลย ถ้าเกิดไม่มีเหตุผลอะไรมันคงแปลกที่เธอจะทำทั้งหมดนั้นด้วยตัวเอง หรือฉันพูดผิด”
ชิ้ง คำพูดสุดท้ายได้ทำให้สถานที่แห่งนี้เงียบงัน
ฟิ้ว จากนั้นสายลมก็ได้พัดผ่านพวกเราไป
อุเอโนะฮาระเบือนหน้าหนีไปจากผม พร้อมกับจับผมของเธอที่พริ้วไหว
—ในตอนนั้น
“…ฉันน่ะ ไม่สามารถเป็นคนบ้าได้หรอก”
ปากของเธอก็ได้ยกขึ้นเล็กน้อย และ—
“แต่การที่เป็นคนบ้ามันก็เหมาะกับนากาซากะดี เพราะงั้นฉันถึงอยากให้…นายบ้าไปจนถึงที่สุด มันก็เท่านั้นแหละ”
—ยิ้มออกมาด้วย…ใบหน้าอันโศกเศร้า
หลังจากได้ยินความตั้งใจจริงของอุเอโนะฮาระ สิ่งนั้นก็ผุดขึ้น
โว้ยย นี่มันบ้าอะไรฟะเนี่ย!
นี่เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เพราะว่าเรามัวแต่ยึดติดกับความทรงจำในครั้งนั้น ก็เลยมองข้ามสาระสำคัญไปหมดซะงั้น!
ดันทำให้อุเอโนะฮาระทำพลาดแบบไม่น่าเกิดได้
ดันทำให้อุเอโนะฮาระเป็นห่วงมากเกินไป
ดันทำให้อุเอโนะฮาระเข้าใจผิดว่าสถานการณ์ไม่สามารถพลิกกลับได้ขึ้นมา
“…ยอมไม่ได้”
“…?”
“ฉันจะไม่มีวันยอมรับความเป็นจริงแบบนี้”
“เอ๊ะ เดี๋ยว จู่ๆ ก็อะไรน่ะ…”
—เป็นอย่างที่อุเอโนะฮาระพูดมาเลย
ว่าผมมันบ้า
ว่าสิ่งที่ผมควรจะเป็นก็คือเจ้าบ้าตัวพ่อ
“…ไอ้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่มันอะไร อะไรคือการที่ทำเหมือนกับว่านี่เป็นอีเวนต์กล่าวลา นี่มันไม่ใช่เลิฟคอมเมดี้ในแบบที่ฉันต้องการเลย เพราะฉะนั้น…ฉันจะไม่ยอมรับความเป็นจริงแบบนี้”
อุเอโนะฮาระกระตุกคิ้วและมองมาอย่างสับสน
“ไม่ล่ะ คือว่านะ… นี่มันไม่ใช่เลิฟคอมเมดี้สักหน่อย อย่าเอาแต่พูดเรื่องที่มันไม่เกี่ยวตอนนี้สิ”
“หุบปากไปซะ ยัยบ้า!”
“เอ๊ะ…?”
หลังจากตะโกนเสร็จ ผมก็ตบแก้มตัวเองให้แรงที่สุด
เสียงเพียะดังก้องไปทั่วทั้งชั้นดาดฟ้า และจางหายไปกับผืนท้องฟ้า
“เดี๋ยวสิ นั่นนายกำลังทำอะไรของนายน่ะ”
“เจ็บโว้ยย! นี่ตูทำอะไรลงไปกันเนี่ย”
ทำไมเราถึงรวบรวมข้อมูล
ก็เพื่อสร้างเลิฟคอมเมดี้ไม่ใช่รึไง
ถ้าเกิดเรามัวแต่ไปจดจ่อกับการหาข้อมูล แล้วปล่อยเลิฟคอมเมดี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง มันก็เหมือนกับเราการเอาเกวียนไปไว้ข้างหน้าม้าไม่ใช่รึไง!
“เอ้าๆ เรื่องเครียดๆ ไว้พอเท่านี้ ฉันเบื่อเรื่องซีเรียสๆ แล้ว ฉันเบื่อแล้วที่ต้องเจอกับสิ่งล้มเหลวในเบื้องหลังที่ปราศจากเลิฟและคอมเมดี้”
“ช่วยรอเดี๋ยวสิ นั่นนายเป็นอะไรไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วน่ะ”
“ฟังนะอุเอโนะฮาระ คำใบ้ทั้งหมดที่เธอทิ้งเอาไว้ ฉันจะไปรวบรวมมันและเอามาใช้เอง”
“หา…? คำใบ้…?”
ผมปล่อยอุเอโนะฮาระที่งงงวยทิ้งเอาไว้ แล้วก็เริ่มคิด
—แม้ว่าจะรอให้ตายยังไง เลิฟคอมเมดี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริง
เพราะงั้นผมจึงได้ตัดสินใจ ว่าจะเป็นเปลี่ยนชีวิตจริงนี้ให้กลายเป็นเลิฟคอมเมดี้นั่นเอง
“ใช่แล้ว เลิฟคอมเมดี้น่ะสามารถแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างได้
เพราะงั้นฉันจะขอใช้ประโยชน์จากพล็อตเรื่องอันเลอะเทอะเหล่านั้น—สร้าง ‘อีเวนต์เลิฟคอมเมดี้’ ที่ดีเยี่ยมที่สุดขึ้นมาให้ดูเอง!”
จะขอแสดงให้ดูเอง
ว่าจากนี้เป็นต้นไป ผมจะ—
เปล่งประกายอย่างแท้จริงในฐานะตัวเอกที่มีนามว่า นากาซากะ โคเฮย์
MANGA DISCUSSION