[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ - ตอนที่ 14
เมื่อออกมาจากประตูหลักแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ทางขวา
ถนนข้างหน้านี้เป็นเส้นทางรถเมล์ และมีป้าย ‘หน้าโรงเรียนเคียวโกคุนิชิ’ เขียนไว้ราวกับจะบอกว่า ‘กรุณาเดินทางด้วยรถโดยสารคันนี้’ ทว่านักเรียนมาใช้บริการรถเมล์จริงๆ กลับไม่ได้มีมากมายนัก
ในเคียวนิชิ นักเรียนส่วนใหญ่จะเดินทางมาโรงเรียนด้วยรถจักรยานหรือไม่ก็มอเตอร์ไซค์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะในละแวกใกล้นี้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงไม่มีประโยชน์ที่จะขึ้นรถเมล์เพราะว่าที่จอดรถจักรยานแถวป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดให้จอดฟรี
ด้วยเหตุนี้ผู้ใช้บริการจึงมีจำกัดเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ หรือผู้ที่ต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยเหตุผลบางอย่างเท่านั้น ซึ่งคุณคิโยซาโตะถูกจัดอยู่ในหมวดนี้
ผมเห็นเธอยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ผมส่งเสียงทักเธอออกไปราวกับว่าบังเอิญเจอกัน
“อ๊ะ คุณคิโยซาโตะ ซ้อมชมรมเหนื่อยหน่อยนะครับ”
“…นากาซากะคุง?”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผม ร่างของเธอก็กระตุกและหันมองมาที่ผม
บางทีคงเป็นเพราะทำกิจกรรมชมรมเสร็จไปแล้ว เธอจึงได้อยู่ในชุดนักเรียนแต่ไม่ผูกเนกไท เป็นเพราะปกติเธอมักจะแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อยทำให้ความประทับใจที่ได้รับนั้นมากยิ่งขึ้น
ใบหน้าของคุณคิโยซาโตะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และโบกมือข้างหนึ่งแล้วพูดออกมาว่า “เหนื่อยหน่อยจ้า~!” กลิ่นหอมของดอกซากุระที่รายล้อมเธอถูกส่งมายังจมูกของผมตามการเคลื่อนไหวนั้น
อื้ม ขนาดเลิกชมรมไปแล้วเธอก็ยังเป็นนางฟ้าที่ร่าเริงสินะ
“บังเอิญจังเลยเนอะ~ จักรยานของยังพังอยู่จ๊ะ”
“อื้ม จะเอาไปส่งซ่อมมันก็ยุ่งยากน่ะ แต่ยังไงก็มีรถเมล์อยู่เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”
ผมหัวเราะตอบกลับไป
จริงๆ แล้วจักรยานของผมไม่ได้เสีย แต่การมานั่งรถเมล์นี้มันเป็น ‘เซ็ตติ้ง’ ของผม อนึ่ง ค่ารถเมล์ผมเป็นคนออกเอง แต่เนื่องมันเป็นรายจ่ายที่จำเป็นผมก็เลยต้องจำใจควัก รายจ่ายของเลิฟคอมเมดี้มันช่างหนักหนาสาหัส
“วันนี้เธอก็อยู่เรียนต่อด้วยเหรอ เพิ่งจะเปิดเรียนเองแท้ๆ ขยันจังเลยนะ”
“ไม่ใช่หรอก วันนี้เป็นงานน่าเบื่อของหัวหน้าห้องน่ะ เพราะแค่อยู่ชมรมกลับบ้าน ก็เลยโดนยัดงานมาซะเยอะเลย”
พูดจบผมก็ยักไหล่ ผมไม่ได้โกหกเพราะการที่ต้องเอารายชื่อไปส่งให้กับรุ่นพี่มันเป็นงานที่น่าเบื่อจริงๆ แถมมันยังเป็นข้อแก้ต่างที่ดีสำหรับการอยู่รอบๆ โรงเรียน
“ฮ่าๆๆ คุณครูโทชิมะใข้งานหนักจังเลยเนอะ ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยนะคะ!”
“ฉันเป็นคนเสนอตัวเป็นหัวหน้าห้องเอง คงจะบ่นไม่ได้หรอก เอาจริงๆ ไม่น่าแสดงความกระตือรือร้นแปลกๆ ออกไปเลย…”
“แต่ถ้านากาซากะคุงไม่ทำคนอื่นก็ต้องเสียสละแทนนะ ฉันแน่ใจว่าทุกคนต้องรู้สึกขอบคุณเธอแน่ๆ ‘ขอบคุณนะหัวหน้าห้อง ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้จนไปกว่าจะถึงเวลากินข้าวเลย’ ”
“ไม่ลืมเร็วไปหน่อยเหรอแบบนั้น”
คุณคิโยซาโตะยกมือป้องปากแล้วก็หัวเราะแหะๆ แม้ว่าจะเป็นหลังเลิกชมรมไปแล้ว ผมสีดำของเธอก็ยังพริ้วไหวไปมาบริเวณไหล่ได้อย่างงดงาม
ขนาดท่าทางเล็กน้อยยังสร้างภาพที่ยอดเยี่ยมได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย… ถ้าเกิดเป็นไลท์โนเวลต้องสวยพอจนมีภาพประกอบแน่ๆ
จู่ๆ ผมก็เกิดสงสัยและแอบเหลือบไปที่อุเอโนะฮาระโดยไม่ให้คุณคิโยซาโตะรู้ เธอยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคนที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่เงียบๆ เธอค่อนข้างจะรอบคอบเพราะไม่ได้มองมาทางนี้เลย
ในขณะที่ผมคุยไร้สาระกับคุณคิโยซาโตะได้ไม่นานรถเมล์ก็ได้มาถึง เนื่องจากมันมีเส้นทางเดียวเราทั้งคู่จึงเดินขึ้นไปโดยไม่ตรวจสอบที่หมายปลายทาง
ผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุหรือไม่ก็นักศึกษา ถึงจะห่างไกลจากคำว่าเต็ม แต่ที่นั่งก็ได้ถูกจับจองไปแล้วในระดับหนึ่ง คิดไว้แล้วว่าคงจะนั่งข้างกันไม่ได้
ผมชี้ให้คุณคิโยซาโตะไปนั่งตรงใกล้ประตูทางออก และตัดสินใจไปยืนจับราวอยู่ข้างหน้าเธอ จากตรงนี้จะทำให้เห็นเบาะหลังได้อย่างง่ายดาย
ผมพูดด้วยเสียงเรียบๆ ออกไปว่า “เชิญนั่งเลยครับ” ในที่สุดผมก็ได้ตำแหน่งที่ต้องการมาแล้ว
“ให้ฉันนั่งคนเดียวจะดีเหรอจ๊ะ นากาซากะคุงไปนั่งตรงอื่นก็ได้นะ…”
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก ช่วยปล่อยให้สมาชิกชมรมกลับบ้านคนนี้ขจัดปัญหาเรื่องขาดการออกกำลังกายไปด้วยเถอะ”
“โอ้~ พูดอย่างกับพนักงานออฟฟิศตามตัวเมืองเลย”
อนึ่ง ดูเหมือนว่าอุเอโนะฮาระจะคาดการณ์ความตั้งใจของผมได้ และไปนั่งอยู่ตรงเบาะหน้าสุดหลังจากขึ้นบันไดแล้ว
ขนาดไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรไปเลยแท้ๆ นี่มันอยู่ในระดับที่น่าสงสัยว่าจะถูกอ่านความคิดแล้วนะ…
—ครืด— ประตูถูกปิด จากนั้นรถเมล์ก็เริ่มออกวิ่ง
ผมลงตรงสถานีข้างหน้า ส่วนคุณคิโยซาโตะจะนั่งอยู่บนรถไปต่อจนกว่าจะถึงย่านที่พักอาศัย เนื่องจากมีเวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น ดังนั้นจึงจะต้องใช้มันให้คุ้มค่า
ผมหยิบหัวข้อที่มีอัตราชวนคุยสำเร็จสูงกว่า 80% จากในคลังขึ้นมาใช้
“ใช่ๆ ฉันลองอ่านหนังสือที่เธอแนะนำเมื่อวันก่อนไปแล้วนะ มันน่าสนใจกว่าที่คิดนะว่าไหม”
“โอ๊ะ ใช่ม้าๆ”
ใบหน้าของคุณคิโยซาโตะเปล่งประกายทันที
“ถึงในบรรดาเรื่องสืบสวนมันจะดูนอกคอกไปหน่อย อย่างรู้เรื่องที่ไม่ควรทำแต่กลับบอก ‘จำเป็นต้องสนด้วยเหรอ’ แล้วก็เมินมันไปเลย …แต่พอปมมาขมวดกันแล้วสุดยอดไปเลยเนอะ! ที่จริงฉันน่าจะแนะนำเรื่องที่มันสูตรสำเร็จกว่านี้ แต่พอลองคิดว่านากาซากะคุงน่าจะชอบเรื่องนี้มากกว่าแล้วฉัน…”
คุณคิโยซาโตะปลื้มปิติ และพูดถึงความประทับใจของเธอออกมาแบบน้ำไหลไฟดับ
พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานอดิเรกแล้วเธอจะค่อนข้างช่างจ้อมาก และหากผมพูดถึงเรื่องหนังสือแบบนี้เมื่อไหร่เธอก็จะบรรยายมันออกมาอย่างเชี่ยวชาญราวกับโอตาคุ
“…แล้วศาสตราจารย์ก็บอกว่า ‘ก็เรื่องไร้สาระมันสนุกกว่าไม่ใช่เหรอ’ จากนั้น…”
คุณคิโยซาโตะได้เปลี่ยนน้ำเสียงให้เข้ากับฉากไปเรื่อยๆ และแสดงออกทางสีหน้าราวกับว่าเธอเป็นตัวละครนั้น
ท่าทางไร้เดียงสานั้นได้ทำให้ราวกับเธอเป็นเด็กๆ ซึ่งมันแตกต่างจากนางเอกแนวนางฟ้าตามแบบฉบับก็จริง แต่จากมุมมองของนางเอกเลิฟคอมเมดี้แล้วเธอจัดว่าได้คะแนนสูงใช้ได้เลย
บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณคิโยซาโตะเล่าเรื่องออกมาจนพอใจแล้ว เธอก็เลยได้สติกลับคืนมา และเกาแก้มพร้อมกับมองออกไปไกลๆ ด้วยความเขินอาย
“ทำไปอีกแล้วสินะ… เฮะๆ ขอโทษนะ ดันดึงเธอมาเกี่ยวข้องซะ…”
“ไม่หรอกๆ! ฉันรู้ดีว่าเธอรู้สึกยังไง”
ขนาดผมตอนพูดถึงเลิฟคอมเมดี้ยังรู้สึกตื่นเต้นกว่านี้ด้วยซ้ำ อย่างวันก่อนตอนที่คุยโทรศัพท์กับอุเอโนะฮาระทางโทรศัพท์ก็ถูกเธอตัดสายทิ้งซะอย่างนั้น
“เฮ้อ~ ร้อนจังเลยเนอะ เพิ่งจะถึงเดือนเมษาฯ เองแท้ๆ”
บางทีคงจะอยากปกปิดรอยแดงบนใบหน้า คุณคิโยซาโตะก็เลยจับปกเสื้อตัวรูปตัว Y ตรงหน้าอกของเธอขึ้นมาพัด เมื่อเหลือบมองไปตรงคอเสื้อที่ปลดกระดุมนั้น ผมก็ได้เห็นกระดูกไหปลาร้าสีขาวๆ จนรู้สึกใจสั่นสะท้าน
ด้วยความที่คุณคิโยซาโตะเป็นนักกีฬา ในบางทีพฤติกรรมห่ามๆ แบบนี้ของเธอก็มีปรากฎออกมา
ทั้งที่มีหน้าตาเรียบร้อยและรูปร่างเย้ายวนแบบนี้ แต่กลับมีมุมแบบสาวสปอร์ตด้วย การผสมผสานที่เป็นแก๊ปแบบนี้มันช่างมีพลังทะลุทะลวงจิตใจอย่างยิ่งยวดราวกับถูกเล่นโกงใส่ นี่เธอมีคุณสมบัติอยู่กี่อย่างกันแน่ เจ๋งเป้ง นางเอกหลักคนนี้สุดเจ๋งเป้งมากๆ
ทุกครั้งที่เธอพัดหน้าอก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกซากุระก็ได้โชยออกมา กระดูกไหปลาร้าที่เพรียวบางของเธอได้โผล่ออกมาให้เห็น ลึกลงไปอีกหน่อย ตรงดินแดนต้องห้ามที่ปกคลุมไปด้วยความมืดที่ราวกับจะเห็นแต่ก็ไม่เห็นนั้นก็ได้มีความกระชับ รูปทรงดี พอดีมือ เด้งดึ๋ง เด้งดึ๋งๆ เด้งดึ๋งๆๆๆๆ!
…และในขณะที่กำลังคิดอย่างนั้น โทรศัพท์ของผมที่อยู่ในกระเป๋าก็ได้สั่นขึ้น
บัดซบ! นี่ผมกำลังพรรณณาถึงฉากเลิฟคอมเมดี้อันสำคัญมากอยู่นะ อย่าขัดสิฟะ!
[มองโคตรง่ายว่าจ้องไปที่ตรงไหน]
ในเวลาเดียวกันกับที่ข้อความแสดงการแจ้งเตือนบนหน้าจอ ผมก็สัมผัสได้ถึงคลื่นสีขาวโถมมาจากด้านข้างและใจเย็นลงทันที
พอมาลองคิดดูแล้ว อยู่ตรงนั้นด้วยสินะครับ คุณอุเอโนะฮาระ…
ผมรีบเลื่อนสายตาไปยังขวัญบนหัวคุณคิโยซาโตะ และทำจิตใจให้สงบด้วยการสนทนาสบายๆ ที่ไม่เป็นการล่วงเกินสักพัก
เนื้อหาที่พวกเราคุยกันก็เป็นเรื่องจำพวก ขนมปังบลูเบอร์รี่ที่ซื้อมาอร่อยยังไง การเรียน ม.ปลาย ยากแค่ไหน แบบนั้น
“…ว่าแต่คุณคิโยซาโตะเนี่ย คะแนนภาษาญี่ปุ่นของดีมากเลยสินะ รู้สึกจะได้ยินมาว่าเธอติดท็อปอันดับ 5 ตอนสอบเข้าเลยใช่ไหม”
“ไม่หรอกๆ ฉันก็แค่ชอบอ่านหนังสือน่ะ ให้เทียบกับนากาซากะคุงแล้วฉันธรรมดาจะตายไปเนอะ ธรรมดา”
คุณคิโยซาโตะโบกไม้โบกมือไปด้านข้างและกล่าวปฏิเสธ
ก็นะ สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจเท่าไหร่หรอก ผมก็แค่ใช้เวลามากกว่าคนอื่นเท่านั้น แถมความรู้ที่เกี่ยวกับการหาข้อมูลของมันก็ไร้ประโยชน์กับการสอบด้วย…
ขณะที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่ในใจ รถเมล์ก็ได้เกิดส่ายไปยังด้านข้าง แรงสั่นสะเทือนนั้นได้ทำให้ผมหน้าม้าของคุณคิโยซาโตะกระเพื่อมลงมาปรกปิดหน้า
เธอค่อยๆ ใช้นิ้วกวาดผมรอบๆ ดวงตาไปยังหลังหูด้านขวา การเคลื่อนไหวนี้ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงไฝของเธอที่มักจะถูกซ่อนเอาไว้โดยเส้นผม
“จะว่าไป”
จากนั้นเธอก็ได้พูดต่อราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“ทำไมนากาซากะคุงถึงได้ถ่อมาโรงเรียนจากที่ไกลๆ แบบนี้ล่ะ”
—คำถามที่คาดไม่ถึงนั้นได้ทำให้หัวใจของผมเต้นรัวขึ้น
“…ทำไมถึงถามล่ะ”
ใจเย็นเข้าไว้
ผมแน่ใจว่าเธอคงไม่ได้มีความหมายอะไรมาก
“ก็นั่นไง ฉันสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรเธอถึงไม่เลือกโรงเรียน ม.ปลาย ที่อยู่ใกล้ๆ แบบนั้นน่ะ ก็การมาโรงเรียนน่ะมันลำบากใช่ไหมล่ะ”
…เข้าใจแล้ว หมายถึงแบบนี้เองสินะ
ผมแอบลูบหน้าอกตัวเองพลางยิ้มแหยๆ แล้วก็พูดออกไป
“ก็ใช่ที่มันลำบาก แต่เคียวนิชิน่ะมีชื่อเสียงในด้านที่ดี ทำให้มีคนไม่น้อยเลยที่อยากมาเรียนที่นี่แม้ว่าจะอยู่ไกล ก็ในเมื่อเทียบกับในเมืองแล้วมันมีโรงเรียนอยู่น้อย”
จังหวัดของเราเป็นพื้นที่ชนบท และหากพยายามจะเลือกโรงเรียนตามเกรดเฉลี่ยและความชอบมันก็แทบจะไม่มีตัวเลือกเลย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่จะเลือกโรงเรียน ม.ปลาย ที่ต้องเดินทางกันเป็นชั่วโมง
“นอกจากนี้ มันยังเป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่งกับคนที่ไม่ได้สนใจแค่เรื่องเรียน แต่ต้องการที่จะเพลิดเพลินไปกับชีวิตในรั้วโรงเรียนด้วย บางคนถึงกับเรียกมันว่าโรงเรียนเทศกาลด้วยซ้ำ”
คุณคิโยซาโตะหัวเราะ “แหะๆ” ด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
“เป็นแบบนั้นเองสินะ ฉันไม่ค่อยคุ้นชินกับพื้นที่นี้ เพราะงั้นก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรแบบนั้นเลยละนะ”
อ๊ะ เข้าใจแล้ว เธอเพิ่งย้ายเข้ามานี่นา ไม่มีทางที่เธอจะรู้อยู่แล้วว่าการเดินทางไปโรงเรียนในจังหวัดอื่นมันเป็นยังไง
“…กลับกันแล้ว ทำไมคุณคิโยซาโตะถึงได้เลือกมาเรียน ม.ปลาย ที่โรงเรียนเราล่ะ”
ผมตัดสินที่จะใช้โอกาสนี้ในการถามคำถามกลับ
เป็นโอกาสดีที่จะได้รับข้อมูลใหม่ เนื่องจากผมไม่อยากเสียหน้าเพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเก็บข้อมูลตัวต่อตัวล้มเหลวอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นผมจะต้องสร้างผลลัพธ์จากสิ่งนี้
“เป็นเพราะอยู่ใกล้บ้านไม่ก็ค่าเบี่ยงเบนใกล้พอดีหรือเปล่านะ ฉันไม่ค่อยมีเวลาให้ตรวจสอบโดยละเอียดเท่าไหร่เลยน่ะ”
คุณคิโยซาโตะตอบด้วยรอยยิ้มแบบเจื่อนๆ
“แล้วพวกผลสัมฤทธิ์ด้านวิชาการ หรือกิจกรรมชมรมไรงี้ไม่ได้ดูไว้เลยเหรอ”
“อื้อ ไม่ได้ดูหรอก แม้แต่เทนนิสก็เป็นแค่งานอดิเรกน่ะ ขอแค่มีกิจกรรมชมรมให้ทำแค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
เธอตบกระเป๋าแร็กเกตที่ค้ำยันไว้ข้างตัวด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย
อืม ระดับขนาดนั้นก็ยังเป็นแค่งานอดิเรกอีกเหรอเนี่ย…นี่มันขี้โกงชัดๆ คิดไว้แล้ว แม้แต่ความสามารถด้านกีฬาของเธอก็ยังเริ่มต้นมาด้วยระดับสองมิติสินะ
ขณะที่ผมกำลังสลักข้อมูลใหม่เอาไว้ในความทรงจำ คุณคิโยซาโตะก็ได้สูดลมหายใจและขยับตาไปทางซ้ายและขวา
จากนั้นก็จ้องตาผม และพูดเบาๆ
“นะ เอาเถอะจ้ะ ขอแค่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียนได้อย่างปกติฉันก็พอใจแล้วล่ะ ทำทุกอย่างแบบปานกลางพอประมาณ”
แล้วคุณคิโยซาโตะก็หัวเราะอีกครั้ง พร้อมกับขยิบตาข้างเดียวอย่างซุกซน
เอ๊ะ…อะไรกันเนี่ย น่ารักโพด ไม่เคยคิดเลยว่าการขยิบตาที่แท้จริงมันจะน่ารักได้ขนาดนี้ นี่เธอเป็นนางฟ้าที่มาจุติบนโลกจริงๆ ใช่ไหม
ขณะที่ผมกำลังพูดไม่ออกเพราะโดนออร่าสองมิติของเธอส่งออกมา ผมก็ได้ยิ้นเสียงออดดัง ปิ๊งป่อง ตามด้วยประกาศจากข้างในรถเมล์ ‘ป้ายต่อไปสถานีเคียวโกคุ สถานีเคียวโกคุ’
…อืม น่าเสียดายจังเลยแฮะ ดูเหมือนว่าวันนี้คงต้องพอเท่านี้
“อ๊ะ ถึงป้ายแล้วสินะจ๊ะ เดี๋ยวนากาซากะคุงจะไปต่อที่รถไฟฟ้าใช่ไหม เดินทางไกลแบบนี้คงลำบากแย่เลยเนอะ”
“ฮะๆๆ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วฉันว่าจะไปเรียนแบบสบายๆ ต่ออีกน่ะ”
“โอ้ ตั้งใจเรียนโดยธรรมชาติแบบนี้ให้ความรู้สึกสมกับเป็นหัวหน้าห้องเลย”
ตัวละครหัวหน้าห้องไม่ใช่ผู้หญิงมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ ทำไมถึงเป็นผมกันล่ะ…
ผมกล่าวลาคุณคิโยซาโตะพร้อมกับปล่อยคำสาปแช่งในใจ จากนั้นผม (และอุเอโนะฮาระ) ก็ลงจากรถ
—ขณะที่กำลังจะจากไป ผมก็หันย้อนกลับไปที่รถเมล์ และเห็นคุณคิโยซาโตะสละที่นั่งให้กับคนแก่ที่เพิ่งขึ้นรถเมล์อย่างเงียบๆ
การเคลื่อนไหวนั้นเป็นธรรมชาติมาก และไม่รู้สึกถึงความลังเลเลยสักนิด จนผมต้องส่งเสียง โหว ออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจเลยทีเดียว
ว่าแล้วเชียว ว่าเธอต้องเป็นนางฟ้าจริงๆ