[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 35 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 3
- Home
- [LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก
- ตอนที่ 35 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 3
Part 3
หลังจากบุกราชอาณาจักรลิชไทน์กองทัพจักรวรรดิที่สี่ยังคงรุกคืบด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แม้ว่าฝ่ายศัตรูจะไม่ออกมาต่อต้านก็ส่วนหนึ่ง แต่ป้อมปราการทั้งหลายต่างพังทลายลงในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
ปัจจุบันพวกเขาอยู่ห่างจากอัลบากัลซึ่งเป็นเมืองหลวงของลิชไทน์สิบสองเซล (สามสิบหกกิโลเมตร)
กองทัพจักรวรรดิที่สี่เพิ่งพังป้อมปราการไปได้อีกสองป้อมในวันนี้ และหยุดการเดินทัพเพื่อให้เหล่าทหารและม้าได้พักผ่อน ในค่ายหลักของพวกเขามีการจัดประชุมกลยุทธ์เพื่อตัดสินใจแนวทางในอนาคต
เต็นท์ที่เรียบง่ายถูกตั้งไว้รอบค่าย ภายในนั้นมีนายพลไคโลอยู่ที่นั่งบนสุด และลิซอยู่ทางขวาของเขา ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ที่ปรึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้น
“ถ้างั้นขอเริ่มหัวข้อต่อไปเลยนะครับ?”
“แน่นอน เริ่มได้เลย”
เมื่อได้รับอนุญาตจากนายพลไคโล ที่ปรึกษาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับรายงานของหน่วยลาดตระเวนในมือ
“กองทัพกบฏปรากฏตัวขึ้นทางตอนใต้ของราชอาณาจักรลิชไทน์ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเคลื่อนตัวมาทางเหนือและมุ่งหน้าเข้าหาเรา หากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราจะปะทะกับกองทัพกบฏครับ”
นายพลไคโลสบถออกมาด้วยอย่างขยะแขยงเมื่อได้รับรายงานเช่นนี้ เขามองไปที่แผนที่บนโต๊ะและตัวหมากบนแผนที่
“กองทัพกบฏมีกี่นาย?”
“ประมาณสี่พันคน ดูเหมือนว่าจะไล่ต้อนกองกำลังป้องกันตนเองของราชอาณาจักรลิชไทน์จนย่อยยับและกำลังรวบรวมทหารรับจ้างและทาสจากทั่วสารทิศมาเข้าร่วม เมื่อถึงเวลาที่ประชันหน้า กองกำลังน่าจะประมาณหกพันนาย”
“แล้วการเคลื่อนไหวของราชอาณาจักรลิชไทน์ล่ะ”
“ตามรายงานของหน่วยสอดแนมพวกเขาได้รวบรวมกองกำลังและซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งรายงานตรงกับเหล่าสายลับที่แฝงตัวอยู่ ดังนั้นน่าจะเป็นความจริง คิดว่าพวกเขาน่าจะเตรียมตัวสำหรับการปิดล้อมพวกเรา”
“คลานเหมือนกับเต่า ดูเหมือนว่าจะมีแต่พวกขี้ขลาด แต่ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว――.”
นายพลไคโลยกมือขึ้นเหนือแผนที่
“ก่อนอื่นพวกเราจะเอาชนะกองทัพกบฏที่ขวางทางเรา มารวบรวมพวกที่ใช้งานได้อย่างพวกทหารรับจ้างให้มาฝั่งนี้ ฆ่าทาสทิ้งให้หมด และมายึดเมืองหลวงเพื่อกุมชัยชนะ.”
ไม่มีเสียงคัดค้านจากเหล่าที่ปรึกษา นายพลไคโลพยักหน้าด้วยความพอใจ แต่เขาสังเกตเห็นลิซที่กำลังจ้องแผนที่ด้วยความไม่พอใจ
“องค์หญิงมีอะไรผิดปกติเหรอครับ?”
“ทหารและม้าเหนื่อยล้ามากจากการเดินทัพอย่างไร้จุดหมายมาจนถึงตอนนี้.”
พวกเขาทำลายป้อมปราการหลายแห่ง แต่การป้องกันนั้นเบาบาง การชนะศึกหลายครั้งติดต่อกัน มันดูน่ากลัวแปลกๆ ด้วยเหตุนี้ขวัญกำลังใจของทหารเลยสูงเกินเหตุ
ยังไงก็ตาม แม้ว่าจะเอาชนะได้ แต่ก็มีการต่อต้านด้วยในบางครั้ง การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเอาชนะกบฏหรือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของศัตรู พวกเราต้องการพักผ่อน
แค่คิดถึงผลของความเหนื่อยล้าสะสมที่ผ่านมามันก็น่ากลัวที่จะทำศึกต่อไปแล้ว
“ถ้าหากการพักนั้นไม่สามารถทำได้ พวกเราควรทำตามแผนและไปเจรจาทางตอนเหนือของโอเอซิสทางบรูโน่.”
“ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะองค์หญิง”
มีเสียงเยาะเย้ยของนายพลไคโล ลิซตระหนักได้แต่เธอฟังอย่างเงียบๆ
“ท่านไม่สามารถปฏิบัติกองทัพจักรวรรดิที่สี่เหมือนกับกองทัพอื่นๆได้ พวกเขาฝึกซ้อมมาอย่างหนักและความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่เล่นๆ พวกเขาไม่เหนื่อยจากการบุกโจมตีที่ไม่มีประสิทธิภาพหรอก”
“แต่พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาฝืนต่อสู้ต่อไป”
“ตามแผนของเราก็แค่บุกอีกสองครั้ง———ทำลายกองทัพกบฏและเข้ายึดเมืองหลวง ถ้าเราทำเช่นนั้นเราก็ได้ครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรลิชไทน์มาครอง”
“แต่จักรพรรดิไม่ได้ต้องการให้ทำลายราชอาณาจักรลิชไทน์”
“แค่ยึดเมืองหลวงได้ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะบดขยี้ราชอาณาจักรลิชไทน์ซะหน่อย ไม่ต้องห่วง พวกเราจะให้พวกนั้นอพยพไปทางใต้ เรือทาสน่ะไม่สามารถเข้าเทียบชายฝั่งได้”
ด้วยสีหน้าน่ารังเกียจของนายพลไคโล ลิซพูดโต้แย้ง
“ถ้าทำแบบนั้นกองทัพจักรวรรดิที่สี่จะติดอยู่กับราชอาณาจักรลิชไทน์ หากการป้องกันของทางใต้บางลง ก็ไม่มีใครบอกได้ว่า สาธารณรัฐ สไตน์เชิน จะทำอย่างไร นอกจากนี้ ราชอาณาจักรลิชไทน์คงไม่ยอมให้ยึดเมืองหลวงได้ง่ายๆแน่ หากเสถียรภาพทางภาคใต้ของราชอาณาจักรลิชไทน์พังทลาย มันจะเป็นหายนะที่ไม่สามารถจินตนาการได้นะ”
“ถ้าถึงเวลานั้น พวกเราก็แค่บดขยี้ราชอาณาจักรลิชไทน์ทิ้ง?”
(T/N: ลิซก็บอกอยู่ว่าจักรพรรดิไม่ให้ทำแบบนั้น)
จากนั้นนายพลไคโลก็ยิ้มและมองไปที่ลิซ
“องค์หญิงคงจะเหนื่อยเกินไป ถึงได้พูดเรื่องขี้ขลาดตาขาวแบบนั้นออกมา กลับหน่วยของคุณไปเถอะหลังจบการประชุมครั้งนี้ จะไปอยู่แนวหลังก็ได้นะไม่มีใครว่า”
ลิซถูกยั่วยุ แต่เธอกำหมัดแน่นและยับยั้งตัวเองไว้ แต่ความโกรธก็ไม่ได้หายไปง่ายๆ คิกุยที่เป็นผู้บัญชาการคนที่สองเองก็แสดงความโกรธให้ได้เห็นเหมือนกัน
“ตอนนี้เธอเองก็เป็นหนึ่งในที่ปรึกษา สถานะของเธอในฐานะเจ้าหญิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ คำพูดคำจาของคุณควรจะระมัดระวังให้มากๆเพราะสิ่งที่คุณพูดอาจสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเธอ คุมตัวเองหน่อย.”
“คิกุย ไม่ควรพูดแบบนั้นนะ เจ้าหญิงยังเด็กและเป็นทหารมาได้ไม่นาน คงไม่สมเหตุสมผลที่จะคาดหวังให้เธอรู้กฏของกองทัพ จากนี้ไปก็ให้เธอได้เรียนรู้ไปอย่างเงียบๆเถอะ.”
ใช่ไหม? นายพลถามลูกน้องของเขา และพวกนั้นต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“องค์หญิง ไม่ต้องห่วง พวกเราจะให้โอกาสคุณได้สร้างชื่อเสียงอยู่แล้ว”
นายพลไคโลยิ้มเล็กๆ และหันมาสนใจแผนที่ อาจเป็นท่าทางที่บอกว่าเขาจะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว
“ค่ะ ถ้าอย่างั้นดิฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อน”
ถ้าเธอระเบิดอารมณ์ออกมาที่นี่ มันจะทำให้สถานการณ์และความน่าเชื่อถือของเธอลดลง ที่ปรึกษาคนอื่นมันทำได้แค่เลียแข้งเลียขา ลิซลุกจากเก้าอี้ เธอเดินออกจากเต็นท์ด้วยความไม่พอใจ
จากนั้นทริสก็นำม้าของเธอมาให้
“องค์หญิง การประชุมเสร็จแล้วเหรอครับ?”
“ดูเหมือนนายพลไคโลจะไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ฟังใครทั้งนั้น”
ลิซคร่อมม้าของเธอหันไปยังค่ายของตัวเอง
“อย่างที่คิดเลยไม่มีทางเปลี่ยนใจเขาได้สินะครับ.”
“ใช่ พวกเขาจะมุ่งหน้าไปกำจัดกองทัพกบฏและบุกอัลบากัล”
“เขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน คิดว่าเขาจะระมัดระวังตัวมากกว่านี้ซะอีก.”
“อืม แล้วตอนนี้เตรียมตัวไปได้มากแค่ไหนแล้วทริส?”
“หกสิบเปอร์เซ็นต์ครับ.”
“อืม ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปเขียนจดหมายอีกฉบับเพิ่ม.”
เมื่อเธอกลับค่ายลิซเงยหน้ามองท้องฟ้า ลมพัดแรง และฝุ่นก็ลอยขึ้นมามาก บดบังทัศนวิสัย
“มีบางอย่างผิดปกติ ทำไมลมถึงพัดมาทางนี้…?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้นับตั้งแต่พวกเขาบุกมาที่นี่ ถ้าเป็นลมกรรโชกแรง คงเป็นไปไม่ได้ที่ลมพายุจะคงอยู่ตลอดไป
ตอนนั้นเองที่จู่ๆลิซก็สังเกตได้ว่าลิเวียธานของเธอกำลังสั่น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“องค์หญิง มีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ?”
ลิซไม่ได้ตอบคำถามของทริส แต่มองไปด้านหน้า จากนั้นลมก็หายไปพร้อมกับฝุ่น และจากนั้น ต่อหน้าต่อตาเธอมีกองทัพอูฐขนาดใหญ่
“บ้าน่า ทำไมศัตรูถึงเข้ามาใกล้ได้มากขนาดนี้ พวกหน่วยเฝ้าระวังทำอะไรอยู่?”
ทริสตะโกนด้วยความกระวนกระวายใจ ทหารรอบตัวเองก็หงุดหงิด
“ใจเย็น ประจำตำแหน่ง เป่าแตรเพื่อแจ้งไปยังค่ายหลักซะ!”
ลิซที่ใจเย็น ดึงลิเวียธานออกมาและขึ้นเสียง
“ทริส พวกเราเคลื่อนทัพเลยได้ไหม?”
“กองพันทหารม้าชุดแรกพร้อมที่จะเคลื่อนที่ครับ กองพันทหารม้าชุดที่สองอาจจะใช้เวลาสักครู่.”
“อืม ถ้างั้นพากองพันทหารม้าที่หนึ่งไปข้างหน้า”
ลิซเตะท้องม้าและพุ่งไปข้างหน้าทริสเองก็ตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“องค์หญิงคิดจะไปไหนกันแน่?”
“ฉันจะไปซื้อเวลาให้ รีบไปเตรียมตัวให้พร้อมเร็วเข้า!”
ลิซเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างระหว่างม้า ลิซหยุดม้าของเธอไม่ไกล เมฆฝุ่นขนาดใหญ่ลอยขึ้นตรงหน้าเธอเล็กน้อย มันเข้าใกล้ชิดลิซเหมือนกับคลื่น
ระยะทางประมาณ เก้าสิบโรว์(สองร้อยเจ็ดสิบเมตร)
เธอจับด้ามของลิเวียธานไว้แน่นขนาดมองไปยังกองทัพทหารอูฐ
เมื่อทหารอูฐเข้าใกล้ระยะสามสิบเจ็ดโรว์(ร้อยสิบเอ็ดเมตร)
“ไม่จำเป็นต้องออมมือ จะเผาให้ร่วงไปเลย!”
ขณะนั้นเองเปลวเพลิงก็ปะทุจากลิเวียธาน เปลวไฟแผดเผาในอากาศและความร้อนแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ เปลวไฟลุกลามไปยังด้านข้างอย่างรวดเร็วก่อตัวเป็นกำแพงขนาดใหญ่แบ่งฝั่งอย่างสมบูรณ์
เสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อเหล่าพันธมิตรได้เห็นภาพอัศจรรย์ตรงหน้า
“ศัตรูจะหลีกเลี่ยงเปลวไฟและกระจายตัวไปทางซ้ายและขวา!”
เมื่อหันหัวม้าของเธอ ลิซมุ่งหน้าไปยังแนวหน้าของกองพันทหารม้าที่หนึ่ง
“กองพันทหารม้าที่หนึ่ง ตามฉันมา!”
“องค์หญิง!”
ทริสขี่ม้ามาหาเธอ
“มีอะไร?”
“กองพันทหารม้าที่สองพร้อมแล้วครับ!”
“ถ้างั้นส่งพวกเขาไปขนาบข้างศัตรู ส่งข่าวไปยังค่ายหลัก บอกให้พวกเขานำทหารม้าสำรองตามมา พวกเราจะปิดล้อมและกำจัดพวกเขา!”
“ครับ! ขอให้เทพทั้งสิบสองพระองค์สถิตย์อยู่กับท่าน”
“นายเองก็ด้วย ทริส ! กองพันแรกไปกันเถอะ!”
ขณะที่ลิซกำลังไปข้างหน้า ภาพอันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น คลื่นทรายกำลังโจมตีกำแพงเพลิง
“ไม่มีทาง เป็นไปได้ไง?”
กำแพงเพลิงถูกฝังอยู่ในทรายทั้งหมด แม้ว่าเธอจะตกใจทหารอูฐกระโดดออกมาจากควันทราย
ลิซได้สติก็เหวี่ยงลิเวียธานไปข้างหน้าและตะโกน
“หนอย อย่าปล่อยให้ศัตรูไหลมาได้ กองพันที่หนึ่ง ชาร์จ”
เธอดึงบังเหียนม้า ด้านหลังลิซเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นสั่งการว่า “ตามฝ่าบาทไป”
ลิซที่เข้าปะทะกับศัตรู ขณะที่ย่อตัวลงก็มีหอกพุ่งผ่านศีรษะของเธอ เธอใช้ลิเวียธานเฉือนร่างศัตรู
“อ๊ากกกกกกกก…!”
เธอมองไปที่ศัตรูตกลงจากอูฐ เลือดกระเซ็นไปทั่วทั้งตัว จากนั้นเธอก็สร้างเปลวไฟจากลิเวียธาน และยิงมันไปข้างหน้า เปลวไฟกลืนกินทหารศัตรูจำนวนมากทำให้พวกเขาต่างส่งเสียงกรีดร้อง
ทหารอูฐหลายคนที่ไม่สามารถหลบหลีกไฟได้ทันเวลา ร่างกายของพวกเขาไหม้เกรียมและมีกลิ่นเหม็นกลิ้งไปทั่วทะเลทราย
“ทัพของพวกนั้นแตกแล้ว อย่าให้เวลาได้ฝืนกำลังพล พวกเราจะบุกทะลวงต่อไปทั้งๆแบบนี้!”
อูฐที่เสียคนขี่เริ่มหลบหนีเพราะกลัวความร้อน กองทัพของศัตรูเริ่มวุ่นวาย ที่นั่นมีทหารม้าที่เข้าโจมตีศัตรูด้วยความเร็วสูง
ลิซยังปลดปล่อยการฟาดฟันไปอีกหลายครั้ง สังหารทหารศัตรูที่เต็มไปด้วยความกลัว กลิ่นเหม็นของความตายกระจายไปในอากาศ และยิ่งมีศพมากเท่าไรกลิ่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“อย่าไปกลัว นางก็แค่สาวน้อยตัวกระจ้อย!”
คนที่ตะโกนเช่นนั้นคือคนที่กระโดดเข้ามาแนวหน้าและวิ่งมาด้านหน้า เขายกดาบใหญ่ที่สูงเท่าลำตัวขึ้นมาและเตะทหารม้าที่ขวางทางเขา
เมื่อลิซเห็นชายที่มีผิวสีม่วง ความตีงเครียดได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“…ทำไมถึงมีปีศาจอยู่ที่นี่?”
ชายบนหลังอูฐกระโดดลงมา ฝุ่นที่เต็มไปด้วยเลือดกระจายต่อหน้าต่อตาลิซ ดาบใหญ่ของนั้นโบกสะบัดไปในสายลม ลิซยกลิเวียธานเพื่อเตรียมพร้อม
ครู่ต่อมาดาบของลิซปะทะดาบใหญ่ของศัตรูจนเกิดประกายไฟ
“อั่ก!?”
ร่างของลิซลอยไปในอากาศพร้อมกับม้าของเธอ พลังของปีศาจนั้นมากมายยิ่งกว่าคนทั่วไป แต่ลิซที่โต้กลับได้ก็น่าแปลกเช่นกัน
“ฮ๊ากกกกกกกห์!”
“หืมมมมมม?”
แม้ว่าจะรับดาบใหญ่ได้ แต่การแสดงออกทางฝั่งปีศาจกลับเปลี่ยนไป ปีศาจที่อยู่ห่างจากลิซก็หันไปมองลิเวียธานและกล่าวว่า
“…ดาบภูติงั้นเหรอ?”
“ก็นั่นสินะ”
ลิซซ่อนความชาที่ปกคลุมไว้ในมือของเธอและยิ้มออกมา
“แม่หนูเจ้านั่นไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด”
“ตัดสินกันจากหน้าปกแบบนี้ก็แย่สิ”
เพื่อตอบสนองต่อคำพูดของลิซ ปีศาจจึงแทงดาบใหญ่ลงบนพื้น
“ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องปิดบัง ดาบของข้าเองก็เป็นหนึ่งในห้าดาบจักรพรรดิปีศาจ มีดาบจำนวนจำกัดในอเลเทียใช่ไหมล่ะ มีไม่กี่อันหรอกนะที่จะต่อกรกับดาบจักรพรรดิปีศาจได้.”
ดาบจักรพรรดิปีศาจทั้งห้า
นั่นคือดาบล้ำค่าทั้งห้าเล่มที่ปีศาจขัดเกลาขึ้นเมื่อพันปีก่อนเพื่อต่อต้านจักรพรรดิทั้งห้าของดาบภูติ
พวกมันมีวิญญาณของปีศาจสถิตย์อยู่เช่นเดียวกับดาบภูติที่มีภูติสถิตย์อยู่ เจ้าของดาบนั้นถูกเลือกโดยไม่สนใจเผ่าพันธุ์ บางครั้งก็ไม่ใช่ปีศาจที่เป็นผู้ถือครอง ซึ่งในกรณีนี้จะเกิดคำสาปแก่ผู้ใช้งาน
“คงรู้ใช่ไหมว่าข้าหมายความว่าอะไร เมื่อมันพบกับศัตรูคู่อาฆาตของตัวเองพวกมันจะสั่นพ้องต่อกัน นั่นเป็นหลักฐานชี้ชัด.”
ปีศาจคนนั้นบอกกับลิซ และลิซก็มองไปที่ลิเวียธานที่กำลังปล่อยความร้อนออกมาพอจะเผาพื้นที่นี้ พยายามกระตุ้นให้ลิซต่อสู้
ลิซจ้องมองปีศาจตรงหน้าเธอขณะถือลิเวียธาน
“…อืม นี่คือลิเวียธานซึ่งเป็นหนึ่งในห้าดาบภูติจักพรรดิ”
“แหม แหม ถ้างั้นเจ้านี่ก็เป็นดาบที่จักรพรรดองค์แรกโปรดปรานสินะ ถูกเขียนไว้ในตำนานอย่างดีเลยนี่ รู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกินที่ได้เป็นคู่ต่อสู้ให้กับดาบในตำนาน พรของมันเองก็คงแข็งแกร่งไม่แพ้ในตำนานใช่ไหม?”
ลมแรงๆพัดขึ้นมาในขณะที่เขาสะบัดดาบใหญ่ของเขา
“พรของดาบปีศาจแห่งการสร้างสรรค์(เบเบนสเลฟ/Bebensleif)คือ “คลื่น” นั่นคือข้อพิสูจน์ที่ว่าทำไมแม่หนูน้อยถึงรู้สึกชาไง เนื่องจากอุ่นเครื่องมากันพอแล้ว ทำไมไม่มาประลองดาบกันหน่อยล่ะ?”
ปีศาจคนนั้นยิ้มออกมาด้วยความขบขัน
“ชื่อของข้าคือ กาด้า เมเทโอ เป็นผู้บัญชาการคนที่สอง แห่งกองทัพปลดแอค”
“ฉัน เซเลีย เอสทรีย่า อลิซาเบธ ฟอน แกรนท์”
ลิซกระโดดลงจากหลังม้าของเธอและเตรียมลิเวียธานให้พร้อม ในเวลานี้กองทัพจักรวรรดิที่สี่กำลังกวาดล้างกองทัพกบฏ ไม่เพียงแต่จำนวนที่มากกว่า แต่กองพันทหารม้าที่สองกำลังกัดกินจากด้านข้างด้วย และทหารม้าสำรองก็อ้อมไปทางด้านหลัง
กาด้าต้องสังเกตเห็น เขามองไปรอบๆและหันไปหาลิซ
“ดูเหมือนจะมีเวลาไม่มากนัก ทำไมไม่มาจบเรื่องให้เร็วที่สุด?”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนไปหน่อยเลย ดิฉันยังมีเวลาอีกมาก!”
ลิซพุ่งเข้าหากาด้าราวกับว่าเธอกำลังเต้นรำ แต่การโจมตีของเธอถูกอ่านได้ง่ายๆ เขาเป็นผู้ถือครองดาบปีศาจ ดังนั้นลิซจึงคิดว่าไม่ง่ายที่จะต่อกร
“รู้รึเปล่าฉันน่ะสร้างเปลวเพลิงได้นะ”
“หืมมม~?”
ระลอกคลื่นสีแดงปรากฏขึ้นและงูแห่งเปลวเพลิงก็โจมตีกาด้า กาด้าที่สะบัดดาบสีแดงก้มลงและวางมือลงบนพื้น ทรายซึ่งถูกควบคุมด้วยพลังเวทย์ลอยขึ้นกลายเป็นกำแพงที่ป้องกันเปลวไฟ
ลิซกระแทกกำปั้นของเธอเข้ากับกำแพงทราย
“ฮ๊ากกกกกกกกกกกห์!”
แขนของลิซกระแทกเข้ากับกำแพงทรายด้วยแรงอันน่าทึ่ง
“หะ ————–อั่ก?”
กำปั้นกระแทกเข้าที่หน้าของกาด้าซึ่งทำให้เขาตกใจ และเขาถูกซัดจนปลิว ลิซยิ้มและบอกกาด้าที่หยุดลงหลังจากกลิ้งไปสองสามตลบ
“อาระ ลืมพรของลิเวียธานไปรึเปล่า?”
กาด้าเช็ดเลือดออกจากมุมปากของเขา และรอยยิ้มของเขาก็มีมากขึ้น
“ถ้าเป็นคนทั่วไปคงสลบไปแล้วนะ!”
กาด้าพุ่งเข้าหาพร้อมกับเบเบนสเลฟในมือ
“อั่ก!?”
ลิซรับมันไว้ด้วยลิเวียธาน ข้อเท้าของเธอฝังลงในทรายเพราะแรงกระแทก
“อย่าคิดว่าของแค่นั้นจะหยุดข้าได้นะ!”
ลิซเตะเท้าขวาออกไป อย่างไรก็ตามกาด้าจับขาของเธอไว้ ลิซลอยตัวขึ้นกระโดดหมุนเตะด้วยเท้าซ้าย
“อั่ก!”
กาด้าถอยหลังกลับ จับท้องของเขา และปล่อยขาของลิซไป ลิซปรับท่าทางของเธอขณะลอยไปในอากาศ ลงจอดด้วยมือซ้ายของเธอ
เธอลงจอดบนพื้นด้วยมือซ้าย ลิเวียธานตกลงสู่พื้น เธอก้มลงมองมือขวาที่สั่นพร้อมกับขมวดคิ้ว เธอมึนงงกับ “คลื่น” ของ เบเบนสเลฟ
“…ช่างเป็นความแข็งแกร่งอย่างกับสัตว์ประหลาดเสียจริง แต่ถ้าแขนชาขนาดนั้น คงจะไม่มีแรงพอแล้วสินะ.”
“นั่นมันหยาบคายมากเลยนะกล้าเรียกสาวน้อยเปราะบางด้วยคำแบบนั้น?”
“จริงด้วยสินะ สำหรับคนที่ได้รับความรักของดาบภูตินั้นค่อนข้างหยาบคาย.”
ทั้งคู่จ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทันใดนั้นกาด้าก็หันไปมองรอบๆมีเสียงกรีดร้องและตะโกนปะปนกันไปในเงามืด สหายของเขาหลายคนกลายเป็นศพ เลือดนั้นอาบไปทั่วทะเลทราย กาด้าขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“ต้องขอโทษด้วยไว้ค่อยมาจริงจังกันที่หลังแล้วกัน.”
“คิดว่าฉันจะปล่อยให้นายหนีไปงั้นเหรอ?”
“อย่าฝืนดีกว่าแม่หนู จะต่อสู้ในสภาพที่มือชาแบบนั้นเหรอ?”
กาด้าชี้ให้เห็นถึงมือลิซที่ยังชา
กาด้ากระโดดขึ้นอูฐและมองลงมาที่ลิซ
“เธอน่ะมีพรสวรรค์ ถ้าฝึกฝนอีกสักปีสองปีคงเก่งกว่าข้า.”
กาด้าพูดแบบนั้น และทหารอูฐของกบฏก็วิ่งเข้ามา
“หัวหน้า พวกเราต้านไว้ไม่ไหวแล้ว!”
“เข้าใจแล้ว พวกเราบรรลุเป้าหมายแล้ว รีบถอยเร็วเข้า!”
“ระระรอก่อนสิยะ!”
ลิซหยิบลิเวียธานขึ้นมาและตั้งท่า แต่กาด้าได้แต่เหลือบมองและจากไป
“องค์หญิงไม่เป็นไรนะครับ?”
ทริสเข้ามาหาลิซจ้องมองหลังกาด้าด้วยความหงุดหงิด
“อืมฉันไม่เป็นไรหรอก แล้วความเสียหายฝ่ายเราล่ะ?”
“ยังไม่ได้รับรายงานใดๆครับ แต่ไม่คิดว่าจะมีความเสียหายมากนัก องค์หญิงดึงดูดปีศาจเจ้าปัญหาเอาไว้ พวกเราควรจะตามเขาไปดีไหมครับ?”
“ไม่ ไม่ต้องตามเขาไปหรอก ปล่อยส่วนที่เหลือให้นายพลไคโลจัดการ ม้าและทหารต่างเหนื่อยล้ากันมากพอแล้ว ดังนั้นให้พวกเขาพักได้มากที่สุด.”
“ครับ.”
“เฮ้ออออออ…”
ลิซถอนหายใจลึกๆและแรงของเธอก็หมดลง
“ดูเหมือนว่าฉันจะฝึกมาไม่พอสินะ ชิ?”
ฉันยังไม่เก่งเท่าฮิโระ ลิซพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
เจอตอนยาวแต่เช้าเลย กว่าจะหาชื่อดาบแต่ละเล่มเจอเล่นเอาปวดหัว