[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก - ตอนที่ 16 Chapter 4 เทพธิดาแห่งสงคราม Part 3
Part 3
ณ วันที่ 1 มิถุนายน 1023 ปีมหาจักรวรรดิ เจ้าหญิงและหมู่คณะได้มาเดินทางมาถึงป้อมเบิร์ก ไม่มีวี่แววของการโดนศัตรูล้อม และกองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์ก็แค่ตั้งคำแหน่งอยู่ระยะไกลคอยดูสถานการณ์กันอยู่
ทริสส่งสัญญาณให้กับเหล่าทหารที่เฝ้าระวังและประตูเหล็กก็เปิดออก เมื่อเข้าไปข้างในสิ่งที่ดึงดูดสายตาของพวกเขาคือ ลานส่วนกลางที่ใช้สำหรับฝึกเหล่าทหาร หากมองไปยังทิศตะวันออกจะมีที่พักของเหล่าเจ้าหน้าที่ในขณะที่ทางทิศตะวันตกจะมีเต็นท์ที่พักของเหล่าทหาร
หอคอยซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการมีโรงอาบน้ำขนาดใหญ่และห้องโถงอยู่ทางทิศเหนือ ฮิโระและคนอื่นๆก้าวเข้าไปในหอคอย หลังจากเดินขึ้นบันไดวนซึ่งห่างออกไปไม่ไกลก็มาถึงห้องบัญชาการ
ที่ผนังด้านตะวันตกของห้องมีแผนที่ทวีปกลางอยู่และถัดจากนั้นเป็นแผนที่อลเทีย มีเก้าอี้สำหรับนั่งรองรับสิบคนอยู่ตรงกลางห้องที่มีโต๊ะยาวๆวางไว้อยู่ ธงที่มีรูปสิงโตสีทองอยู่บนพื้นหลังสีขาวและธงรูปดอกกุหลาบบนพื้นหลังสีน้ำตาลตั้งไว้ตระหง่านริมหน้าต่าง
เมื่อฮิโระและคนอื่นๆเข้าไปในห้องก็มีชายสามคนและผู้หญิงหนึ่งคนอยู่ในนั้นกล่าวทักทาย
คนแรกที่เข้ามาคือสุภาพบุรุษที่มีเคราอันสง่างาม สวมชุดเกราะที่ได้รับการดูแลอย่างดีและกอดลิซด้วยความห่วงใย
“ทำได้เยี่ยมมากหลานรักที่มาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย เจ้าโตขึ้นมากเลยนะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะคุณลุงกรินด้า!”
ทั้งสองต่างมีความสุขที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง ขณะที่ฮิโระจ้องมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม เขาสังเกตว่ามีคนกำลังจับจ้องเขาอยู่ ซึ่งเป็นสาวสวยที่มองเขา
เธอรูปรางผอมบาง ผมสีเงินบางเบาที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเปล่งประกายท่ามกลางแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ใบหน้าที่ดูเล็กและดวงตากลมโตชวนให้นึกถึงสัตว์น้อยตัวเล็กๆน่าเอ็นดู เพียงแค่เห็นก็อยากจะปกป้องขึ้นมา ผมม้าของเธอถูกตัดยาวพอที่จะซ่อนคิ้วของเธอ ซึ่งทำให้หน้าดูเด็กลงไปอีก
บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาสีขาวเงินของเธอ หรือใบหน้าไร้อามณ์นั่นทำให้ดูรู้สึกเย็นชาเล็กน้อย
เธอเตี้ยกว่าฮิโระ ซึ่งเขาเองก็ดูเตี้ยสำหรับคนอื่นอยู่แล้ว เธอสวมเครื่องแบบทหารสีดำ แต่แขนเสื้อยาวจนปกปิดมือของเธอได้เลย เธอสวมแขนเสื้อที่ใหญ่ขนาดตัวเธอมาก
(นี่เธอคนนี้ก็เป็นทหารคนหนึ่งงั้นเหรอ แต่ถึงยังงั้นก็ยังเด็กเกินไป)
ในมือซ้ายของเธอถือหนังสือที่ดูคุ้นเคย ฮิโระพยายามนึกมันให้ออก แต่ก็โดนขัดเพราะเธอเดินเข้ามาหา
“….นายเป็นใครกันคะเนี่ย?”
เธอพูดด้วยสีหน้าอันว่างเปล่าและสงสัย เธอพยายามจะจ้องมองฮิโระแต่ไม่ได้มองหน้าเหมือนกับมองลึกเข้าไปในจิตใจ
“ชะช่างงี่เง่าอะไรเช่นนี้…”
เธอได้ยินเสียงกรนด่าจากที่ไหนสักแห่ง ถัดจากเธอมีชายผมสีน้ำตาลกำลังมองมาด้วยความประหลาดใจ
(อะไรฟะเนี่ย…?)
ขณะที่ฮิโระได้แต่สงสัย แขนเสื้อเครื่องแบบของเขาก็ถูกกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาต้องก้มไปมองเธออีกครั้ง
“…นายเป็นใครอ่าาา?”
“ชื่อของชั้นคือฮิโระ สามัญชนทั่วไป”
“ฮิโระ…..ฮิโระ………..ฮิโระ? ฮิโระฮิโระฮิโระฮิโระฮิโระฮิโระ.”
ฮิโระยิ้มอย่างขมขื่นให้กับหญิงสาวที่เริ่มพึมพำชื่อเขา ได้โปรดหยุดเรียกชื่อคนอื่นเหมือนกับเรียกสัตว์เลี้ยงทีเถอะ
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
หญิงสาวคนนั้นพยักหน้าและคลำแขนเสื้อยาวๆของเธอก่อนจะยื่นมือสีขาวเนียนออกมา พร้อมกับมีบางอย่างห่อไว้ด้วย
“ฉันมีบางอย่างจะให้ค่ะ มันจูของจักรพรรดิองค์ที่สอง.”
“…ขะขอบคุณนะ.”
เขาตกใจเล็กน้อยที่ว่าทำไมถึงมีมันจูอยู่ในโลกนี้ด้วย แต่เขาก็รับมันมาด้วยความยินดี และมันค่อนข้างที่จะอุ่นนิดหน่อยเพราะผิวหนังของเธอ อาจเป็นรางวัลสำหรับคนคลั่งไคล้อะไรแบบนี้ก็ได้ ที่จริงชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนนั้นจ้องตาเขม็งไม่พักแล้ว
ต่อหน้าของฮิโระที่กำลังงงอยู่นั้น หญิงสาวคนนั้นเอามือทาบอกในขณะที่ย่อตัวลงเล็กน้อย
“ทรีอา ลูซานดีย์ ออร่า ฟอน บูนาดาร่า. ยศพลจัตวา ได้โปรดเรียดิฉันว่าออร่าด้วยค่ะ”
T/N: (พลจัตวา(Brigadier General)(อยู่ตำแหน่ง O-7 เป็นรอง พลตรี(Major General) O-8
“จะสุภาพกันเกินไปไหมเนี่ย…”
ฮิโระก้มหน้าลงมองเธอคนนี้ จากนั้นเธอก็มองมาทางนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
“…มีอะไรงั้นเหรอคะ?”
“อืม ชั้นมีคำถามอยากจะถามสักข้อน่ะ?”
“ก็ไม่รังเกียจหรอกนะคะ ว่าแต่มีคำถามอะไรเหรอคะ?”
เธอทำสีหน้าสงสัยพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้าของเธอ แม้จะดูไร้อารมณ์แต่ก็น่ารัก
“หรือว่าเธอคือ”เทพธิดาแห่งสงคราม”ที่เขาลือกัน?”
“ค่ะ”
เธอตอบทันทีโดยไม่ลังเล นอกจากนี้ การถูกเรียกว่า “เทพธิดาแห่งสงคราม” ก็ดูจะเฉยๆสำหรับเธอมาก แม้ว่าใบหน้าของเธอจะดูเศร้าๆนิดหน่อย แต่เธอก็ภูมิใจกับมัน เขารู้สึกชื่นชมตัวเธอที่มีผลงานมากขนาดนี้
คนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ได้รับเลือกโดยเจ้าชายลำดับที่สามและเป็นอัจฉริยะที่ขึ้นเป็นหัวหน้ากองพลเมื่ออายุเพียงสิบเจ็ดปี
แต่เธอก็ตัวเล็กไม่สมกับอายุเลยนะ? แถมเธอก็อายุเยอะกว่าเขาทำให้เขาลำบากใจอีก
(ถ้างั้นเธอคนนี้ก็…)
ในขณะที่ฮิโระรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด――.
“ฮึบบบบบบบบบบบบ!”
ออร่าหายไปจากสายตา เมื่อเขามองไปรอบๆ ก็พบว่าลิซผลักออร่าลงแล้วลูบไล้แก้มของเธอ
“อ๋าาาาาาาาาา ตัวเล็กน่าร้ากกกกกกกกกกกกก! นี่มันอะไรกัน! สิ่งมีชีวิตที่ดูนุ่มฟูนี่”
“…..”
“นี่น่ะเหรอเทพธิดาแห่งสงคราม สุดยอดมาก! บางทีฉันอาจจะแพ้ความตะมุตะมิของเธอเข้าแล้วก็ได้นะเนี่ย”
“……….”
ด้วยสีหน้าหดหู่ของออร่าที่เผลอปล่อยตัวเองเข้าหาลิซ เขาไม่แน่ใจว่าเธอไม่กล้าต่อต้านเพราะว่าลิซเป็นเจ้าหญิงหรือเปล่า แต่นิสัยของลิซเนี่ยไม่ไหวเลยนะ ฮิโระตัดสินใจหยุดลิซเพราะดูเหมือนออร่าจะไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
“ลิซเธอดูจะไม่ชอบใจนะ หยุดเถอะ”
“แต่ว่านะ นุ่มนิ่มน่าน้วยขนาดนี้อ่า!”
เฮ้อเดาว่าคงไม่มีทางเลือก ฮิโระบ่นและถอยหลัง ไม่ใช่เขากลัวลิซหรอกนะ
――ขอโทษด้วยนะ อย่ามองชั้นด้วยสายตาแบบนั้นเลยขอร้องล่ะ ออร่า
เขาขอโทษออร่าอยู่ในใจ ซึ่งมองเขาด้วยใบหน้าขุ่นเคืองแล้วคัดสินใจทิ้งเธอไว้จนกว่าลิซจะพอใจ จากนั้นก็มีคุณลุงสุภาพบุรุษเดินเข้ามา
“ไงพ่อหนุ่ม ข้าเชื่อว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของข้าจากลิซ แต่ให้ข้าได้แนะนำตัวเองเถอะนะ”
คุณลุงยื่นมือออกมาและฮิโระก็จับมือกับเขา แม้จะดูบอบบางแต่มือของเขาก็หยาบและกระด้างซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝึกหนักมาอย่างดี
“ ข้า ลูเซ็น คิออร์ก ฟอน กรินด้า เป็นมาร์เกรฟแห่งดินแดนกรินด้า เจ้าเรียกข้าว่าลุงคิออร์กได้เลยไม่ต้องเกรงใจ.”
“ผม ฮิโระครับ ผมคิดว่าผมเรียกว่าคุณคิออร์กน่าจะเหมาะสมกว่านะครับ.”
เขาจะเรียกคนที่ดูหล่อเท่แบบนี้ว่าลุงได้เชียวรึ คิออร์กพึมพำเบาๆว่า “มันยังเร็วเกินไปจริงๆสินะ” แต่ฮิโระไม่ได้ยิน
“ขอโทษนะครับ”
และหลังจากถูกฮิโระปฏิเสธ คิออร์กก็เดินไปหาเซอร์เบอรัสและทริส ชายหนุ่มหน้าหล่อผมสีน้ำตาลก็เข้ามาหาเขา
“…ความตีงเครียดของที่นี่สูงมากและมันกำลังจะถูกปลดปล่อยเพราะพวกคุณ ศัตรูมีจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันนาย ดังนั้นอย่าได้ทำอะไรแปลกๆเชียวล่ะ ไม่งั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันจะหายไปในพริบตา.”
ชายหนุ่มหล่อผมสีน้ำตาลยื่นมือออกมาพร้อมกับคำต่อว่า ฮิโระจับมือและบีบมันแน่นๆ
“ ชั้น ลอว์เรนซ์ อัลเฟรด ฟอน สปิตซ์ เป็นไวเคานต์และเป็นนายทหารชั้นสอง(Second class military Officer) ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของท่านออร่า นายสามารถเรียกชั้นว่าท่านสปิตช์ก็ได้.”
เจ้าหน้าที่ทางการทหารส่วนใหญ่มักจะอยู่ในมหาจักรวรรดิแกรนท์ และยังมีเจ้าหน้าที่พลเรือนหรือเจ้าหน้าที่ธุรการอีกด้วย เจ้าหน้าที่ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง และสาม เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง และ สี ห้า หก คือระดับล่าง อย่างไรก็ตามแม้แต่ทริสเองยังเป็นนายทหารชั้นสาม
“…ถ้างั้นก็เรีกยว่าสปิตซ์เฉยๆล่ะกัน”
“แบบนั้นก็ได้”
“อืม โอเค.”
ฮิโระคิดว่าหมอนี่ไม่ควรได้รับคำนำหน้าหรอกนะ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้แคร์มากนัก ดูเป็นผู้ใหญ่หน่อยๆนะ ฮิโระคิดเช่นนั้น
“ยังไงชั้นก็เป็นถึงขุนนางจะมาขุ่นเคืองกับสามัญชนไร้มารยาทได้ยังไง?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันซึ่งทำให้ฮิโระขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้
“อ่า ถูกต้อง พอดีมีเรื่องอย่างจะคุยด้วยคุณผู้ช่วย.”
“อะไร?”
“ทางที่ดีควรไปช่วยออร่านะ?”
“ชั้นเป็นขุนนางของมหาจักรวรรดิแกรนท์ แกอาจจะไม่รู้เรื่องนี้นะสามัญชน ข้าไม่มีสิทธิ์ไปออกปากออกเสียงต่อเจ้าหญิงหรอกนะ?”
เขากอดอกขณะพูดโอ้อวดอย่างน่าสมเพช
“และเมื่อดูหญิงสาวแสนสวยทั้งสองคนหยอกล้อกัน นั่นก็ทำให้ให้จิตใจข้าได้ผ่อนคลายบ้าง.”
หมอนี่ไม่ควรจะมีความเครียดอะไรกับเขานะ
อย่างไรก็ตามหลังจากดึงลิซออกจากออร่าได้แล้ว แต่ละคนก็นั่งบนเก้าอี้โต๊ะยาว ลิซเป็นคนแรกที่กล่าว
“ทำไมถึงมี”เทพธิดาแห่งสงคราม”และกองทัพจักรวรรดิที่สามอยู่ที่นี่?”
ลิซถามด้วยความสงสัยและที่น่าแปลกสปิตซ์นั้นมีสีหน้าแข็งทื่อราวกับปกปิดบางสิ่ง ฮิโระจ้องมองท่าทางแปลกๆนั่นและเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้พลาดอะไรไป
“หะหะให้กระผมได้อธิบาย――.”
สปิตซ์ยืนขึ้นด้วยท่าทางเกร็งๆ แต่แขนเสื้อยาวๆก็ลอยมาตบหน้าเขา ซึ่งเป็นออร่านั่นเอง
“ฉันจะเป็นคนบอกพวกเขาเองค่ะ สปิตซ์ ได้โปรดนั่งลงด้วย.”
“คะครับ…”
เมื่อการข่มขู่อันแปลกประหลาดถูกปลดปล่อยออกมา สปิตซ์ก็ย่อตัวลงและนั่งลงบนเก้าอี้ ออร่าที่ยืนข้างๆถอนหายใจเล็กน้อยและมองมาทางลิซ
“พวกเรามาจับตัวท่านค่ะฝ่าบาท.”
คำพูดนั่นทำลายบรรยากาศโดยรอบ
เสียงแปลกๆเกิดขึ้นในห้องที่เงียบสงบ มันฟังดูลึกซึ้ง แต่มันก็เป็นแค่เสียงรบกวนอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามมีคนเดียวที่สังเกตเห็นสิ่งนั้น
มันคือฮิโระผู้ผ่านประตูนรก เกิดรอยแยกระหว่างมิติที่มือขวาของเขาปลายดาบของ “ดาบภูติจักรพรรดิสวรรค์”ยื่นออกมาซึ่งเขาจะชักมันออกมาหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำตอบของฝ่ายตรงข้าม
สีหน้าของฮิโระบอกแบบนั้น แต่ไม่ถึงขั้นจะต้องลงมือ
“แต่ว่าดิฉันไม่ได้มีความตั้งใจจะทำเช่นนั้นค่ะ”
ความตึงเครียดถูกปลดปล่อย คนต่อไปที่พูดคือลุงของลิซ
“…มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นแต่ตอนนี้พวกเรามาสงบศึกกันก่อน เหตุผลก็เพราะราชอาณาจักรลิชไทน์มันเล่นไม่ซื่อนำทัพหนึ่งหมื่นสองพันนายจะมาโจมตีป้อมเบิร์ก ช่างน่าละอายใจยิ่งนักที่ข้าทราบเรื่องนี้เป็นเพราะเคานต์บูนาดาร่ามาแจ้งข่าว”
เมื่อเขากระแอ่มไอหนึ่งครั้ง ก็พูดต่อ
“ข้าตกใจมากที่เห็นพวกเขาโบกธงขาว ทันทีที่สงสัยก็มีผู้ส่งสารเดินทางมาถึงและบอกว่าราชอาณาจักรลิชไทน์วางแผนแปลกๆ.”
“แน่นอนสิคะ พวกเราไม่มีเวลามาทะเลาะกันเองเพราะเรื่องไร้สาระอย่างกันชิงราชบัลลังก์.”
ออร่าพูดแทรก
“นั่นก็จริง แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่พวกเราก็เป็นมหาจักรวรรดิแกรนท์ พวกเราต้องเตรียมรับมือกับศัตรูภายนอกก่อนจะมีศึกภายใน”
เธอเป็นคนยกธงขาวและแจ้งสารให้กับลุงของลิซ
ออร่าเลิ่กคิ้วอย่างหงุดหงิด “พวกเรายังไม่ได้สู้ด้วยซ้ำ อย่าทำเหมือนว่าฉันเป็นฝ่ายแพ้จะได้ไหม”
เธอพองแก้มด้วยความไม่พอใจ มันเป็นท่าทางที่น่าเอ็นดูอย่างมาก ฮิโระยิ้มออกมา ลิซที่เห็นออร่าก็จ้องตาเป็นมันเลย แต่หลังจากนั้นเธอก็วางนิ้วไว้บนคางและตั้งข้อสงสัย
“หืมมม ? พูดถึงเรื่องนั้นแล้วนะคะคุณลุง เกิดอะไรขึ้นกับกองทัพจักรวรรดิที่สี่?”
“…ข้าเองก็ส่งจดหมายไปหลายฉบับแล้ว แต่ไม่ตอบกลับมาเลย”
ลุงของลิซกล่าวเช่นนั้น ลิซมองไปรอบๆห้องและบ่น
“เมื่อมาคิดดูๆแล้ว อย่างไรก็ตามไม่เห็นท่านดิออสเลยนะเกิดอะไรขึ้นเรอะหลานข้า.”
แล้วบรรยากาศก็เปลี่ยนไป ลุงของลิซที่ไม่สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงยังคงพูดต่อ
“ข้าว่าเขาน่าจะมุ่งหน้าไปที่ป้อมอัลโต ลิซ เป็นไปได้ไหมที่เจ้าคลาดกับเขา?”
เมื่อเห็นลิซแสดงสีหน้ามืดมน ดูเหมือนคิออร์กก็เข้าใจได้ว่าตนเองทำผิดอย่างมหันต์ แต่คำพูดที่พูดออกไปแล้วมันไม่หวนกลับมา ทริสเลิกคิ้วและพยายามทำลายบรรยากาศแสนอึดอัดใจ
“มีการซุ่มโจมตีโดยกองกำลังของราชอาณาจักรลิชไทน์ใกล้กับประเทศบัลม์ ในเวลานั้น…”
“………เข้าใจล่ะ.”
ไหล่ของคิออร์กทรุดลงในทันที ขณะที่เขานั่งพิงเก้าอี้ คิออร์กเดาได้ว่าคงเป็นกองทหารสามพันนาย แต่เมื่อเห็นลิซปลอดภัย เขาอาจคิดว่าดิออสเองก็น่าจะปลอดภัยเช่นกัน
“ข้าสาบานไว้ว่าจะพบกับเขาอีกครั้ง…”
เมื่อฮิโระมองไปที่หน้าของออร่าเธอก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“”ยักษา”คนนั้นเนี่ยนะ…?”
ออร่าพึมพำเงียบๆ คิออร์กยังคงเสียใจ
“ถ้าเราไม่พลาดกองกำลังที่แยกจากกันของศัตรล่ะก็…”
สปิตซ์ที่เป็นผู้ช่วยของออร่าตอบกลับ
“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยมันไป เราปล่อยพวกนั้นผ่านไปก็ยังดีกว่าปล่อยทหารหมื่นสองพันนายมากวาดล้างจักรวรรดิ.”
ทุกคนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ หากทิ้งป้อมปราการนี่และไล่ตามศัตรู หน่วยต่อต้านจะมีไม่พอ และอาจจะทำให้เมืองต้องล่มสลาย
ขั้นแรกต้องเอาชนะทหารหนึ่งหมื่นสองพันนายแล้วไล่ตามพวกนั้นไป แน่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ
“แต่ว่าฝ่าบาทก็สามารถฝ่ากองทหารสามพันนายมาได้นี่คะ…”
ออร่าพูดต่อ
“ศัตรูคงรู้เรื่องนี้แล้ว พวกมันคงระมัดระวังมากขึ้น ความจริงที่พวกนั้นไม่บุกมาก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างดี.”
ฮิโระพยักหน้า ฝ่ายตรงข้ามน่าจะรู้ว่าลิซมาถึงป้อมเบิร์กแล้ว สำหรับเหตุผลที่ไม่เคลื่อนทัพ อาจจะอารมณ์เสียที่ทหารไม่ถึงร้อยนายโค่นล้มกองทัพสามพันนายได้ หรือไม่ยอมเคลื่อนไหวเพราะปัจจัยอื่นๆ
“พวกเราเหลือเวลาไม่มากนัก แต่ดูเหมือนว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะเตรียมพร้อมแล้ว”
ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัว ฮิโระไม่แน่ใจว่าจะเสนอออกไปอย่างไร แต่ว่าก็ต้องถูกปฏิเสธทันทีเพราะออร่าพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“…คราวนี้ถึงตาพวกเราแล้ว”
ไฟเล็กๆถูกจุดประกายจากปลายตาของออร่า คิออร์กปรับท่าทางให้มั่นคงและถามเธอ
“มีไอเดียอะไรดีๆงั้นเหรอ?”
“พวกเราจะเดินทางออกจากป้อมเบิร์ก.”
“พวกเรามีทหารสามพันนาย พวกเราเอาชนะมันไม่ได้หรอกนะหากสู้แบบตัวต่อตัว”
“มาร์เกรฟกรินด้าจะคอยอยู่เฝ้าป้อมปราการกับฝ่าบาท เผื่อเอาไว้ค่ะ”
จากนั้นทหารสองพันนายจะบุกโจมตีทหารกองทัพหนึ่งหมื่นสองพันนาย ฮิโระคิดว่าเขาน่าจะได้ยินผิด แต่ผู้ช่วยของออร่าก็พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
คิออร์กถอนหายใจลึกๆ
“มันเสี่ยงเกินไป มันจะดีกว่าถ้าพวกเราสู้ด้วยกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฝากที่เหลือให้ฉันจัดการเอง”
ออร่าไม่ได้ส่ายหัว จากนั้นหลายๆคนก็พยายามโน้มน้าวออร่าอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ปฏิเสธอย่างดื้อรั้น
ฮิโระตระหนักได้ถึงความตั้งใจของออร่า เธอไม่สามารถประสานงานกับกองทัพของมาร์เกรฟกรินด้าได้ เพราะทักษะต่างกันเกินไป และเหนือสิ่งอื่นใดกองทัพเธอมีม้าติดมาด้วย
ในทางตรงกันข้ามทหารของมาร์เกรฟกรินด้าส่วนใหญ่เป็นทหารราบ สิ่งสำคัญต้องเติมเต็มจุดอ่อนที่พวกเขาขาดหายไปโดยไม่ทำลายจุดแข็งของกันและกัน แต่มันประมาทเกินไปเพราะพวกเขาไม่เคยมีการฝึกซ้อมรบร่วมกัน
สิ่งต่อไปที่เขาคิดได้มันอาจจะเป็นวิธีการขอโทษของเธอ เพราะเธอก่อความสับสนที่ไม่จำเป็นต่อเขตของมาร์เกรฟกรินด้า
ด้วยเหตุนี้ คิออร์กจึงยอมแพ้ในการโน้มน้าวใจและตัดสินใจจะประชุมอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และการประชุมกลยุทธ์ก็ล้มเลิกด้วยประการนี้
ป.ล. เรื่องยศทางการทหารไว้ค่อยคุยกันอีกครั้งนะครับ ต้องเรียบเรียงข้อมูลก่อน