[LN]ในเมื่อฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนายแล้ว งั้นฉันก็ควรจะเป็นแฟนนายแล้วนะ ? - บทที่1.2 - ทำไมถึงเป็นสีแดงกุหลาบล่ะ?
- Home
- [LN]ในเมื่อฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนายแล้ว งั้นฉันก็ควรจะเป็นแฟนนายแล้วนะ ?
- บทที่1.2 - ทำไมถึงเป็นสีแดงกุหลาบล่ะ?
บทที่1.2 – ทำไมถึงเป็นสีแดงกุหลาบล่ะ?
[ ถ้าเธอพูดอย่างงั้น.. ]
[ ใช่แล้วล่ะ แล้วก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่พูดเลยนะ ดูสิ ฉันกำลังคุยกับนายอยู่ตอนนี้ไง มิยาชิโระคุง ]
[ นี่มัน11วันแล้วนะ ถ้าเธอคุยแบบนี้ได้ตอนที่อยากจะคุย ก็ควรทำให้บ่อยกว่านี้นะ ]
[ มิยาชิโระคุง ‘ทำได้ถ้าพยายาม’ กับ ‘เหนื่อยเกินกว่าจะอยากทำอีก’ นี่แยกกันคนละเรื่องนะ ]
[ นั่นก็จริง ]
[ ใช่มั้ยล่ะ? ]
คุโจซังถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ความสวยของเธอทำให้ท่าทางนั้นดูน่าดึงดูด
[ อา ใช่ๆ ฉันอยากจะขอบคุณนายด้วย มิยาชิโระคุง ผ่านมา 62 วันแล้ว ตั้งแต่ฉันคุยกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น นอกจากนาย ]
[ นั่นเกือบเท่าช่วงปิดเทอมหน้าร้อนกับหน้าหนาวรวมกันเลยนะ ]
[ เหตุผลที่ฉันอยู่ได้โดยไม่คุยกับคนอื่นนานขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณนายล่ะ มิยาชิโระคุง ทุกคนในห้องสื่อสารกับฉันผ่านทางนาย ]
[ เพราะเรานั่งข้างกันแถมคุยกันบางครั้งไง พวกนั้นยังบอกว่า ‘ช่วยบอกต่อหน่อยได้มั้ย?’— ฉันถูกขอแบบนี้ตลอดแหละ ]
ถึงผมจะบอกพวกเขาว่า’แค่ไปบอกเธอเองก็ได้นิ’ ทุกคนก็จะยิ้มแบบเขินๆ แล้วบอกว่า ‘ไม่อะ ..รู้สึกประหม่าเกิน..’
[ แสดงว่าฉันทำหน้าที่พูดกับเพื่อนร่วมชั้นที่คุโจซังควรจะทำเองอยู่สินะ? ]
[ อยากให้นายคิดซะว่ากำลังทำบุญเถอะ การสื่อสารกับคนแค่คนเดียวอย่างมิยาชิโระคุงมันง่ายกว่าการต้องรับมือกับคนหลายคนตลอดเวลานะ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากๆแถมยังเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตในโรงเรียนด้วย ]
คุโจซังหยุดพูดแล้วหันหน้ามาทางผม ดวงตาที่สวยงามของเธอจับจ้องมาที่ผม
[ ขอบคุณนะ ฉันขอบคุณจริงๆ ]
[ อะ-อืม… ]
[ ฉันคิดจะขอบคุณนายนานแล้ว… ขอโทษด้วย มันยุ่งยากน่ะ ]
[ อะ…]
บรรยากาศดีๆ ถูกทำลายไปจนหมด ผมคิดอย่างนั้นแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกถึงความไม่พอใจของผมมั้ย เธอเลยพูดต่อว่า “ไม่ต้องเกร็งนะ”
[ ฉันไม่หน้าหนาพอที่จะขอบคุณแค่คำเดียวหรอก ฉันเตรียมการของชดเชยเหมาะๆไว้แล้ว ]
[ ชดเชย? ]
[ ถ้ามิยาชิโระคุงรับข้อความให้ฉันแล้วบอกต่อให้ ฉันจะจ่ายให้นาย 10,000 เยนต่อข้อความเลย เป็นไง? ]
[ ฉันว่าเยอะไปหน่อยนะ…. ]
[ อ้อ ถ้านายชอบแบบเมมเบอร์ชิพก็บอกได้นะ ทันสมัยสุดๆ เอา 50,000 เยนต่อเดือนมั้ย ? ]
[ ประเด็นไม่ใช่วิธีจ่าย แต่เป็นจำนวนเงินต่างหากมันเวอร์ไปมั้ยนั่น? ]
เธอดูจริงจังมาก ผมเลยต้องปฏิเสธหนักแน่น
[ คุโจซัง ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีเลยนะ ]
[ เพราะเงินน่ะเหรอ? ]
[ พูดแบบนั้นยิ่งดูแย่กว่าเดิมอีก ]
[ ถ้าเงินใช้ไม่ได้ งั้น…ไม่สิ ขอโทษที แต่ฉันไม่อยากตอบแทนด้วยร่างกาย-]
[ ไม่ได้อยากได้อะไรแบบนั้นสักหน่อย ! ]
ผมไม่ได้แย่ขนาดที่จะขอให้เพื่อนร่วมห้องผู้หญิงตอบแทนด้วยร่างกายหรอก
[ ถ้าพูดถึงการขอบคุณ… เอาเป็นว่าตอนนั้นที่ฉันยืมแบตสำรองเธอไปน่ะ ตอนที่โทรศัพท์กำลังจะดับ แค่นั้นพอแล้วล่ะ ]
[ นั่น…ไม่เป็นไรหรอก แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ ]
[ อีกอย่างนะ คุโจซัง ทุกครั้งที่เราคุยกัน เธอมักจะ ‘แอบ’ บอกข้อมูลบางอย่าง เช่นพวกส่วนลดสินค้าที่ฉันอยากได้ หรือพวกตั๋วพิเศษสำหรับนิทรรศการที่ฉันสนใจ อะไรพวกนั้น ]
[ … ]
[ ขอบคุณสำหรับเรื่องพวกนั้นมากๆ งั้นถือว่าหายกันแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเธอเอาข้อมูลพวกนั้นมาจากไหน ทำไมมันตรงกับฉันเป๊ะขนาดนี้── ]
[ ฉันมันเป็นพวกล้มเหลวในการเข้าสังคมขั้นสุดที่วนเวียนอยู่บนอินเทอร์เน็ตทั้งปีทั้งชาติ ฉันเลยมีข้อมูลเยอะมากๆ ก็แค่นั้นเอง ]
[ อย่าเพิ่งโยนคำดูถูกตัวเองแรงๆ แบบนั้นมาสิ ฉันรับไม่ทันนะ ]
[ แล้วฉันก็เล่นหุ้นด้วยก็เลยได้ข้อมูลมาเยอะหุ้นมันสำคัญนะ—— ]
[ โอเคๆ ขอโทษๆ เข้าใจแล้ว ! คุโจซัง บางครั้งเธอก็พูดเร็วเกินไปนะ… ]
[ การพูดเร็วๆทำให้จำนวนข้อมูลที่สื่อสารต่อยูนิทเพิ่มขึ้นเลยทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นน่ะ ]
เธอพูดด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น แต่มือของเธอกลับขยับไปมาอย่างไม่หยุด
ดูเหมือนว่าผมจะก้าวเข้าไปในจุดที่ไม่ควรแตะเข้าแล้ว
[ ยังไงก็เถอะ ถ้าเธออยากขอบคุณ ฉันว่าขอบคุณแบบปกติดีที่สุดแล้ว ]
[ อย่างนั้นเหรอ งั้นเพื่อชีวิตมัธยมปลายที่สงบสุขของฉัน ก็ช่วยสนับสนุนฉันต่อไปในอนาคตด้วยนะ ว่าแต่ ข้อมูลเรื่องตั๋วพิพิธภัณฑ์นายพอใจใช่มั้ย? ความสนใจเป็นเรื่องของศิลปินแหละนะ ]
[ ก็ประมาณนั้นแหละ ]
[ ถ่อมตัวจัง บางทีฉันควรจะบอกว่า ศิลปินมัธยมปลายอัจฉริยะอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ? ]
[ หยุดเถอะ… ปีนี้แค่ฟลุกน่ะ ]
[ งั้นเหรอ? ฉันไม่เข้าใจศิลปะ ไม่รู้เรื่องหรอก ]
พูดจบ คุโจซังหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน
[ ฉันพูดสิ่งที่อยากพูดแล้ว เอเนอร์จี้สำหรับการสื่อสารรายวันของฉันก็หมดแล้ว จะกลับบ้านล่ะ ]
[ งั้นเหรอ..ถ้างั้น….เจอกันพรุ่งนี้ ]
[ บาย ไว้คุยกันอีกทีประมาณสิบวันให้หลังถ้าจำเป็นนะ ]
[ เรานั่งข้างกัน เราก็คุยได้ถึงจะไม่จำเป็นก็เถอะ ]
[ ฉันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแบบนั้นน่ะสิ ขอโทษที ]
คุโจซังเดินออกไปทางประตูห้องเรียนด้วยขาที่เรียวยาวของเธอ ขณะที่เดินผ่านผม กลิ่นหอมหวานลอยมากระทบจมูก
คุโจซังสินะ เธอดูห่างไกลกับผมมาก
แม้ว่าเราจะมาเป็นเพื่อนบ้านกันโดยบังเอิญ และคุยกันมากกว่านักเรียนคนอื่นๆ การโต้ตอบของเราก็ยังคงจำกัดอยู่ที่ประมาณหนึ่งครั้งในสิบวัน วิธีการพูดของเธอตรงไปตรงมา และสีหน้าก็ยังเยือกเย็น
สาวอัจฉริยะที่เกลียดมนุษย์ นั่นคือ คุเรไน คุโจ — ก็ควรจะเป็นแบบนั้น….
[ …เฮ้ คุโจซัง ]
[ อะไรหรอ? ]
ที่หน้าประตูห้องเรียน คุโจซังหยุดและหันกลับมา ท่าทางของเธอดูขี้เกียจ สีหน้าของเธอก็ดูเบื่อหน่าย
ตอนนี้ในห้องเรียนไม่มีนักเรียนคนอื่นอยู่แล้ว ความสนใจของเธอถูกมุ่งมาที่ผมอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมตั้งสมาธิอย่างหนักและ “มอง” ไปที่เธอ
จากมุมมองของผม และจากร่างกายของคุโจซัง สีของหมอกที่ปรากฏขึ้นคือ…
[ มิยาชิโระคุง? เป็นอะไรไปหรอ? ]
[ …ไม่ ไม่มีอะไร ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ]
[ …? โอเค เจอกันพรุ่งนี้ ]
เส้นผมยาวสลวยของเธอสะบัดไปมา ขณะที่คุโจซังเดินจากไป
[ …ทำไมล่ะ? ]
ผมส่ายหัว พลางขยี้บริเวณรอบดวงตา
บางทีอาจจะเข้าใจผิด…หรืออาจมองผิดไป… ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะเช็คกี่ครั้ง ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
สีที่ปรากฏจากคุโจซัง เมื่อเธอส่งความสนใจมาที่ผม คือสีที่ผมหวาดกลัวที่สุดในบรรดาสีสันนับไม่ถ้วนของโลกใบนี้
ทำไม ทำไมกันล่ะ? ทำไม…
ทำไมมันถึงเป็นสีแดงกุหลาบล่ะ ?
ไม่เข้าใจเลย
เป็นสีเดียวกับชื่อของเธอ สีแดงกุหลาบที่เข้มๆคล้ายเลือด
มันเป็นสีที่ไม่ควรปรากฏจากเพื่อนร่วมชั้นที่พูดตรงๆ และไม่ชอบมนุษย์— เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความสนใจ สีของความรักและความเอ็นดู
ถ้า “ดวงตา” ของผมไม่ผิดพลาด นั่นหมายความว่า ผมเป็นที่ชื่นชอบของคุโจซังในฐานะคนรัก…
…นั่นเป็นไปไม่ได้….ยังไงซะ เราก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ต้องเป็นความผิดพลาดแน่ๆ อาจเป็นแค่ตาของผมเล่นตลกก็ได้
แต่ถึงแบบนั้น
สมมุติว่า สีนี้เป็นความจริง ผมก็—
[ …ช่างเถอะ ไปดีกว่า]
ผมส่ายหัว แล้วลุกขึ้นจากที่นั่งไป
เปิดตารางสีให้เพื่อนดูนางบอกว่า เป็นสีแดงกุหลาบเอาเป็นว่าเปลี่ยนเป็นแดงกุหลาบแล้วกัน