อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2212 ร่างนั้นควรจะเป็ นใคร?
ตอนที่ 2212 ร่างนั้นควรจะเป็ นใคร?
นี่เขาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกลุ่มคนชนิดไหนกัน?
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก เขาตัดสินใจไม่แยแสตัวประหลาดพวกนี้
และหันไปพูดกับฉีหลิงเอ๋อ “หาที่พักกันเถอะ คุณมีอะไรจะแนะนำ
ไหม?”
เขาไม่รังเกียจการค้างอ้างแรมในที่พักง่าย ๆ หากมาตามลำพัง แต่
เมื่อมีท่านพ่อท่านแม่มาด้วย อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องหาสถานที่ที่ดี
พอเพื่อให้ทั้งคู่ได้พักผ่อนอย่างสบาย
แม้ค่ายกลทะลุมิติจะพาพวกเขามาถึงที่นี่ในชั่วพริบตา และท่านพ่อ
ท่านแม่ก็ได้รับการปกป้องจากตราสัญลักษณ์ แต่ทั้งคู่ก็ย่อมได้รับ
ความบอบช้ำอยู่บ้างเพราะวรยุทธที่ยังอ่อนด้อย
“ฉันใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉี และเดินทาง
ออกจากเมืองหลวงทันทีที่เป็นอิสระ” ฉีหลิงเอ๋อตอบอ้อมแอ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็หาที่เหมาะ ๆ กันเถอะ” จางเซวียนพูด
แม้ฉีหลิงเอ๋อจะมาจากหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง แต่
สถานภาพของเธอก็ไม่ได้สูงส่งพอที่จะพาคนนอกกลับไปด้วยได้
อีกอย่าง ตระกูลผู้ทรงอำนาจส่วนใหญ่มักมีกฎเกณฑ์จุกจิกมากมาย
ซึ่งจะทำให้อยู่ยาก คงสะดวกสบายกว่ากันมากหากมีที่พักเป็นของ
ตัวเอง
เมืองหลวงแห่งนี้มีนักเดินทางแวะเวียนมาบ่อยครั้ง การเสาะหาที่พัก
ที่ปลอดภัยจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง ทั้งกลุ่มก็ได้บ้านพัก
ที่น่าพอใจหลังหนึ่ง ติดข้อเดียวตรงที่ราคาสูงกว่าบ้านพักอาศัยใน
เมืองตะวันรอนมาก แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่จางเซวียนจ่ายไหว
“นี่คือยาเม็ดเพิ่มความงาม 50 เม็ด จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ คุณช่วยขาย
ให้ผมหน่อย อีกอย่าง ผมหวังว่าคุณจะช่วยผมสืบหาข่าวเกี่ยวกับเทพ
เจ้าแห่งจิตวิญญาณ” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า
หลายขวดให้ฉีหลิงเอ๋อ
ระหว่างทาง เขาใช้เงินที่ได้มาก่อนหน้านี้หาซื้อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า
ขั้นต่ำมาเพิ่ม
สำหรับจางเซวียน ยาเม็ดเพิ่มความงามไม่ต่างอะไรกับเงินที่ได้มาฟรี ๆ
สิ่งที่เขาต้องใช้มีแค่กระแสพลังปราณเท่านั้น
“ได้สิ” ฉีหลิงเอ๋อตอบขณะออกจากลานบ้านไป
จากนั้น จางเซวียนหันไปส่งโทรจิตหาซุนฉาง “ผมอยากให้คุณไป
หาข่าวเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองในเมืองหลวง และเมื่อได้ข่าว
แล้ว ไปตามหาลู่ชงด้วย เขาถูกจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นนำตัวไป
ตอนนี้จึงน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองหลวงนี่แหละ…”
หลังจากลู่ชงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จบนภูเขาสวรรค์สร้าง เพียงไม่
นาน จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็
มานำตัวเขาไป ดังนั้น ในเวลานี้ลู่ชงจึงน่าจะอยู่ในเมืองหลวง
“รับทราบ” ซุนฉางพยักหน้าก่อนจะออกจากบ้าน
เมื่อสั่งการเรียบร้อย จางเซวียนจัดห้องหับให้ท่านพ่อท่านแม่ของเขา
ก่อนจะกลับห้องของตัวเอง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็นำจี้สี
แดงก่ำที่ห้อยอยู่รอบลำคอของเขาออกมาลูบไล้
ลั่วชิง คุณอยู่ที่ไหน?
ตัวตนที่แท้จริงของคุณในสรวงสวรรค์เป็นใคร?
จากที่จางเซวียนได้พูดคุยกับหลัวลั่วชิง เขาดูออกว่าสถานภาพของ
เธอในสรวงสวรรค์น่าจะสูงส่งไม่น้อย เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่อาจ
ช่วยเหลือเขาได้ในหลาย ๆ ด้าน
บางทีเราน่าจะลองหาข้อมูลจากเลือดหยดนี้ก่อน จางเซวียนคิดขณะ
มองของเหลวสีแดงก่ำที่อยู่ภายในจี้
หลัวลั่วชิงมอบจี้อันนี้ให้เขา เขาไม่แน่ใจว่าเลือดที่อยู่ในนั้นเป็นของ
เธอหรือเปล่า แต่ต่อให้ไม่ใช่ ก็น่าจะเป็นเงื่อนงำชั้นดีที่จะพาเขาไป
หาเธอได้
ต้องลองดู…
ที่ผ่านมา จางเซวียนไม่สามารถถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่หยดเลือดเพราะ
พละกำลังของเขายังอ่อนด้อย แต่ในเวลานี้ ด้วยกายเนื้อ จิตวิญญาณ
และพลังปราณที่เข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้ว เขาก็น่าจะทำได้
จางเซวียนรีบติดตั้งค่ายกลอันหนึ่งในห้องของเขาก่อนจะปล่อยจี้ให้
ลอยอยู่บริเวณใจกลางค่ายกล
จากนั้นก็เริ่มถ่ายทอดจิตใต้สำนึกของเขาเข้าสู่จี้
เมื่อดูจากภายนอก จี้อันนี้น่าจะทำจากคริสตัลบางชนิดที่มีความ
แข็งแกร่งทนทานอย่างเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่พละกำลังของเขาในเวลา
นี้ก็ทำลายมันไม่ได้ แต่โชคดีที่จิตใต้สำนึกของเขาสามารถซึมซาบ
เข้าไปในนั้น แม้จะยากลำบากอยู่สักหน่อย
ไม่ช้า จิตใต้สำนึกของจางเซวียนก็เข้าถึงหยดเลือด
หยดเลือดนั้นนอนนิ่งอยู่ภายในจี้ ไม่บ่งบอกถึงพละกำลังแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะมันเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง จางเซวียนคงมอง
ข้ามไปเพราะหน้าตาที่แสนจะธรรมดาของมัน
จางเซวียนตัดสินใจจะค้นหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ เขาผลักดันจิตใต้
สำนึกเข้าสู่หยดเลือด
ทันทีที่จิตใต้สำนึกของเขาสัมผัสกับมัน ทั้งร่างก็สั่นสะท้านด้วย
ความอัศจรรย์ใจ รังสีที่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา และคำพูดที่
เขาเคยได้ยินตอนที่เพิ่งทะลุมิติมายังทวีปแห่งปรมาจารย์ใหม่ ๆ ก็ดัง
ก้องอยู่ในหัว
สรวงสวรรค์โหดร้าย ให้ค่าทุกสิ่งมีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่เป็น
หุ่นฟาง
อาทิตย์อัสดง จันทร์ข้างแรม สรวงสวรรค์แหว่งวิ่น…
“สรวงสวรรค์ผู้โอหัง บงการทุกกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ มีอำนาจ
เหนือทุกชีวิต…”
“สรวงสวรรค์นำพาชีวิตทั้งปวงไปสู่เส้นทางของการรู้แจ้ง…”
ขณะที่ถ้อยคำเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหัวของจางเซวียน หอสมุดเทียบ
ฟ้าก็กระตุก โลกรอบตัวเขาหมุนติ้วก่อนทุกอย่างจะมืดมิด
พลั่ก!
จางเซวียนร่วงลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เขาสลบไป
จางเซวียนมึนงง เขาเห็นตัวเองยืนอยู่เหนือหมู่เมฆ รอบกายว่างเปล่า
มองไม่เห็นอะไรเลย
หมู่เมฆลอยละล่องไปตามสายลมอย่างอิสระเสรี เป็นการเดินทางที่
ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ
แต่เมื่อมองอีกที ก็รู้ว่าเข้าใจผิด
มีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่บนหมู่เมฆเช่นกัน
ร่างนั้นกำลังลดสายตาลงมองโลกอันกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง โลกที่
เต็มไปด้วยเทพเจ้าและตึกรามบ้านช่องโอ่อ่า
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นแค่โลกที่หยุดนิ่งใบหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว
หรือหายใจ ราวกับโลกทั้งโลกหยุดหายใจไปชั่วขณะเพื่อต้อนรับ
การมาถึงของอะไรบางอย่าง
“ผู้อาวุโส…” จางเซวียนเดินไปหาร่างนั้นด้วยความงุนงง
นักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกับเขาแทบจะไม่มีความฝัน จางเซวียน
เคยฝันเพียงครั้งเดียวนับตั้งแต่เดินทางทะลุมิติมายังโลกใบนี้ จึงรู้สึก
ว่าจะต้องมีเหตุผลล้ำลึกบางอย่างที่ทำให้เขาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
ร่างนั้นไม่มองและไม่พูดกับเขา แต่น้ำเสียงกลับดังก้องอยู่ในหัว
“คุณไม่ทำให้ผมผิดหวัง คุณเสาะแสวงหาหนทางของตัวเองได้โดย
ใช้พละกำลังและความแข็งแกร่งที่มี…เดินตามเส้นทางที่คุณตัดสินใจ
เลือกด้วยตัวเองเถอะ แล้วคุณจะปีนป่ ายได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ควรเร่ง
รีบกว่านี้สักหน่อย ผมรอนานนักไม่ได้ อีกอย่าง สร้างการยอมรับ
จากสวรรค์ให้ได้มากกว่านี้ แล้วคุณจะได้รับบางสิ่งที่ช่วยเหลือคุณ
ได้ในระหว่างการเดินทาง…”
ฟึ่บ!
ยังไม่ทันที่ร่างนั้นจะพูดจบ ร่างของจางเซวียนก็พุ่งออกไป ทัศนียภาพ
รอบตัวเขาหายวับ
เขาลืมตา และพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องเดิม ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นเพียงภาพหลอน
“มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ช่วงเวลาสั้นนิดเดียว แต่ทุกอย่างดูสมจริงมาก ตอนนี้จางเซวียนแยก
ไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นความจริงหรือความฝัน
แม้ระดับวรยุทธของจางเซวียนจะไม่สูงนัก แต่ก็มีหอสมุดเทียบฟ้า
คอยปกป้อง แถมเจตจำนงกับจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งกว่า
นักรบทั่วไป ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่เดือดร้อนกับปีศาจใต้สำนึกและ
ภาพลวงตาส่วนใหญ่
แต่คราวนี้ ทั้งประสาทสัมผัสและหัวสมองของเขาเริ่มสับสนกับสิ่ง
ที่เห็น
อีกอย่าง ร่างนั้นควรจะเป็นใคร?
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องหน้าหนังสือสีทองด้วย
“หรือเขาคือปรมาจารย์ขง?”
เท่าที่จางเซวียนรู้ ผู้ที่รู้เรื่องหน้าหนังสือสีทองกับหอสมุดเทียบฟ้ามี
แต่หลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงเท่านั้น เขาไม่อาจระบุหน้าตาและ
รูปร่างของร่างที่เห็นได้ แต่ก็ดูออกราง ๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นชาย
ในเมื่อเป็นแบบนั้น ร่างที่เห็นก็น่าจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก!
“เขาบอกไว้ว่าเขารอนานนักไม่ได้…นั่นหมายถึงการต่อสู้ระหว่าง
ตัวเขากับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีหรือเปล่า?”
หลังจากที่จางเซวียนมาถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าจอม
ราชันย์พิชิตสวรรค์กับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกำลังจะเปิดศึก
ครั้งใหญ่ ทั้งคู่คือผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของสรวงสวรรค์ จึงไม่มีใคร
คาดเดาผลของการดวลได้
“ไม่ว่าเราจะคิดถูกหรือไม่ เรื่องจริงก็คือตอนนี้เรายังอ่อนแอเกินไป
ไกลเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น…”
ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง ลำพังจะรับมือกับนักรบระดับ
เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางก็ยากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงราชันย์
เทพเจ้าและจอมราชันย์
ต่อให้เขาตามหาปรมาจารย์ขงจนเจอ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะถ่วง
อีกฝ่ายให้ลำบากกว่าเดิม
สิ่งที่เขาควรให้ความสำคัญในเวลานี้คือการยกระดับวรยุทธและตาม
หาหลัวลั่วชิง
จางเซวียนสลัดความคิดต่าง ๆ ออกจากหัว เขาหันมาเพ่งสมาธิเข้าสู่
หอสมุดเทียบฟ้า
การกระตุกของหอสมุดเทียบฟ้าเมื่อครู่ก่อนทำให้เขาสลบไป จาง
เซวียนจึงอยากสำรวจดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือไม่
แต่หลังจากสำรวจไปได้สักครู่ ก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลย ดูเหมือนสิ่ง
ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทุกอย่างดู
เหมือนเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำจากการเปลี่ยนแปลงครั้งก่อน
นั่นคือหน้าหนังสือสีทอง
หน้าหนังสือสีทองคืออาวุธที่บรรจุอำนาจสวรรค์เอาไว้ หลังจากที่
เขาเข้าสู่สรวงสวรรค์ หอสมุดเทียบฟ้าน่าจะฉกฉวยเศษเสี้ยวหนึ่ง
ของอำนาจจากสรวงสวรรค์มา ทำให้หน้าหนังสือสีทองมีพละกำลัง
เพิ่มขึ้น
ด้วยสิ่งนี้ บางทีอาจจะยกเว้นจอมราชันย์ เขาน่าจะรับมือได้แม้แต่กับ
ราชันย์เทพเจ้าและราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ
ถ้าเขารวบรวมหน้าหนังสือสีทองได้จำนวนหนึ่ง ก็คงจะกลายเป็น
นักรบที่ทรงพลังที่สุดในสรวงสวรรค์ รองลงมาจากจอมราชันย์
เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนดึงจี้ออกมาแล้วลุกขึ้นยืน
ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอจะ
สืบหาต้นกำเนิดของจี้สีแดงก่ำอันนี้ จึงตัดสินใจทิ้งเรื่องนั้นไปก่อน
จางเซวียนผลักประตูที่นำไปสู่ลานบ้านและเดินออกไป เพิ่งตอน
นั้นเองที่เขารู้ตัวว่าสลบไปถึง 4 ชั่วโมง ซุนฉางเสร็จสิ้นการสืบข่าว
แล้วและกำลังยืนรอเพื่อจะรายงาน
“นายน้อย!”
ทันทีที่เห็นจางเซวียน ซุนฉางรีบยื่นตราหยกอันหนึ่งให้
จางเซวียนรับตราหยกมาและใช้สมาธิตรวจสอบรายละเอียดที่อยู่
ภายใน
ข้อมูลที่อัดแน่นอยู่ในนั้นบอกถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน
และการจัดสรรปันส่วนอำนาจระหว่างกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ในเมืองหลวง
แห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ดูเหมือนจะเป็นข้อมูลลับสุดยอด
แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้คือจอม
ราชันย์เฉียนคุ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 9 จอมราชันย์