อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2131 พวกเราอยากไปกับคุณ
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2131 พวกเราอยากไปกับคุณ
จางเซวียนมองหานเจี้ยนชิวและตั้งคำถาม “แล้วผมยังเข้าสู่หอนิรันดร์ได้ไหม?”
หานเจี้ยนชิวดูจะรู้ใจจางเซวียน เขาได้แต่หัวเราะหึๆขณะตอบรับ “ได้สิ”
แม้สำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์จะถูกทำลายไปแล้ว แต่สาขาอื่นยังคงใช้การได้เป็นปกติ บรรดานักรบยังเข้านอกออกในได้ตามสบาย ระบบการซื้อขายทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธยังเป็นไปตามเดิม
“ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าไป” จางเซวียนระบุ
เขานำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่เคยใช้ออกมาและถ่ายทอดจิตใต้สำนึกเข้าไป ไม่ช้าก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าอาคารสูงตระหง่านที่คุ้นตา
จางเซวียนเดินเข้าไปหาพนักงานต้อนรับอย่างไม่ลังเลและยื่นตราสัญลักษณ์ที่ได้จากปรมาจารย์ขงออกไป
“ผมต้องการยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 100 เม็ด” จางเซวียนแจ้งความจำนงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 100 เม็ด?”
ผู้อาวุโสของหอนิรันดร์ตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น เขาชำเลืองมองตราสัญลักษณ์ในมือของชายหนุ่มก่อนจะรีบพลิกบันทึกดู ครู่ต่อมาก็พูดว่า “ตอนนี้เราไม่มียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์จำนวนมากขนาดนั้น แต่สามารถโยกย้ายของสาขาอื่นมาที่นี่ได้ ผมคิดว่าน่าจะรวบรวมได้ตามจำนวนที่คุณต้องการภายใน 1 วัน…”
“ดี ตอนนี้คุณมีเท่าไหร่ก็เอามาให้ผมก่อน แล้วอีก 1 วันผมจะมารับที่เหลือ!” จางเซวียนตอบ
“ขะ-ขอรับ ท่านแขกผู้มีเกียรติ” ผู้อาวุโสรีบเข้าไปในห้อง ราว 1 ชั่วโมงต่อมาก็ออกมายื่นขวดหยกหลายใบให้จางเซวียน “นี่คือยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 30 เม็ด”
“ได้” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะถอนจิตใต้สำนึกของเขาออกจากหอนิรันดร์
เขานึกกังวลว่าปรมาจารย์ขงคนนั้นอาจเพิกถอนสิทธิพิเศษทั้งหมดหลังจากรู้เช่นเห็นชาติตัวเขาแล้ว แต่ก็น่าประหลาดที่มันยังคงใช้การได้
เป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงคงยุ่งอยู่กับการเยียวยาอาการบาดเจ็บจากฝีมือของตัวโคลนจนหลงลืมเรื่องนี้ไป…แต่ถึงอย่างไร นี่ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะใช้สิทธิพิเศษนี้ได้
แม้ผู้อาวุโสจะบอกไว้ว่าสามารถรวบรวมยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์อีก 70 เม็ดที่เหลือได้ภายในวันพรุ่งนี้ แต่ปัญหาก็คือข่าวน่าจะรั่วไหลไปถึงสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์ก่อน ซึ่งหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเมื่อไหร่ สิทธิพิเศษที่เขาได้รับจากตราสัญลักษณ์อันนี้จะต้องถูกเพิกถอน และยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 70 เม็ดก็คงไม่มีวันถึงมือเขา
เพราะถึงอย่างไร ปรมาจารย์ขงก็ไม่มีทางโง่เง่าถึงขนาดจะมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธให้ศัตรู
จางเซวียนจึงทำได้แค่กอบโกยให้มากที่สุดเอาไว้ก่อน
หลังจากสั่งยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์จากหอนิรันดร์ จางเซวียนก็เดินทางไปยังพื้นที่ว่างเปล่าเหนือทะเลพลัดดาว รอคอยอย่างอดทนให้มีใครสักคนมาหา
แต่ก็เป็นไปตามคาด แม้จะรออยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่มีใครจากหอเทพเจ้าตามมา
เขาอดละเหี่ยใจไม่ได้
ที่ผ่านมา ปรมาจารย์ขงเป็นสปอนเซอร์ทั้งยาเม็ดและทรัพยากรอื่นๆอีกมากให้เขา แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว…
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เราจะรีดหอนิรันดร์ให้เกลี้ยงก่อนจะท้าทายหอเทพเจ้า
จางเซวียนอดทนรออีก 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่พบร่องรอยของใคร สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับตำหนักคว้าดาว
“ผมจำได้ว่าปรมาจารย์ขงบอกว่าเขาถูกกดข่มมาหลายพันปีแล้ว และยังไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม แถมยังใช้พลังงานมหาศาลในการสังหารหมู่และปิดกั้นหอเทพเจ้า ดังนั้นพละกำลังที่แท้จริงของเขาก็น่าจะมีมากกว่าที่สำแดงออกมาในครั้งนั้นหลายเท่า ว่าแต่…ใครกันที่เก่งกาจขนาดกดข่มเขาได้?”
การที่ปรมาจารย์ขงสามารถทำการสังหารหมู่ผู้คนในหอเทพเจ้าก็เกินพอจะชี้ชัดแล้วว่าเขาทรงพลังแค่ไหน ขนาดองค์กรระดับหอเทพเจ้ายังรับมือไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ จึงยากจะเชื่อว่าในมิติเบื้องบนแห่งนี้จะมีใครที่ทรงพลังมากพอจะกดข่มเขาไว้ได้หลายพันปี ถึงขนาดที่เพิ่งฟื้นคืนสติได้ดังเดิมเมื่อไม่นานมานี้เอง
จางเซวียนใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ลงท้ายจึงล้มเลิกความคิดทั้งหมด
เขาเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง จากนั้นก็กลืนยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ทั้ง 30 เม็ดที่เพิ่งได้มาและยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากการสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์
แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ยังรู้สึกได้ถึงพละกำลังอันน่าทึ่งที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของเขา เขานึกอยากทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้อีกสักครั้ง
นัยน์ตาของจางเซวียนฉายแววโหดเหี้ยม เขาเรียกตัวโคลนออกมา
คราวนี้ทั้งคู่ต่อสู้กันได้อย่างทัดเทียม พละกำลังของเขาเทียบชั้นกับตัวโคลนได้แล้ว
แถมเขายังไม่ได้ใช้ศิลปะเพลงดาบเลยด้วย
“ดูเหมือนในที่สุดเราก็แข็งแกร่งกว่าตัวโคลนเสียที” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
นับตั้งแต่เขาสร้างตัวโคลนขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ถูกอีกฝ่ายแซงหน้ามาตลอด ต่อเมื่อคิดค้นเทคนิควรยุทธของตัวเองได้ จึงเอาชนะตัวโคลนได้สำเร็จ
“ถึงเวลาบุกหอเทพเจ้าแล้ว” จางเซวียนพึมพำขณะเดินออกจากห้องอย่างมั่นใจ
เขาควรจะมุ่งหน้าไปหอเทพเจ้าเพื่อช่วยชีวิตตู้ชิงหย่วนและชำระความแค้นกับปรมาจารย์ขงให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
จางเซวียนเรียกรวมพลจ้าวเยว่ เจียงเหยา กับคนอื่นๆ ก่อนจะจัดการให้หวู่เฉินนำแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมา
“เจ้าสำนักจาง ผมออกจะกังวลเรื่องนี้นะ เพราะในเมื่อคุณคิดได้ อีกฝ่ายก็น่าจะคิดได้เหมือนกัน มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะวางกับดักล่อคุณไว้ที่นั่น รอให้คุณเดินเข้าไปหา” หานเจี้ยนชิวพูดอย่างกังวล
การที่ปรมาจารย์ขงรู้เวทมนตร์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมก็ย่อมหมายความว่าเขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าแท่นบูชาทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยที่สุด ก็ปลอดภัยกว่าที่จะคาดเดาไว้ก่อนว่าความรู้ของอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าทุกคนที่นี่
อาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าปรมาจารย์ขงคนนั้นวางแผนให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เห็น! เขาจงใจสกัดกั้นทุกเส้นทางไว้เพื่อให้จางเซวียนไม่มีทางเลือกนอกจากใช้แท่นบูชาตามหาเขา
“ผมคงช่วยตู้ชิงหย่วนไม่ได้ถ้าไม่ทำแบบนี้ จะมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก” จางเซวียนส่ายหน้า
เขาเองก็คิดถึงความเป็นไปได้ข้อนั้น แต่รู้ดีว่าไม่อาจรอช้าได้
เขาเคยสู้กับปรมาจารย์ขงแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็มีพละกำลังทัดเทียมกับตัวโคลนของเขาแม้ร่างกายจะยังไม่ฟื้นคืนสภาพเดิม ถ้าอีกฝ่ายได้พละกำลังเต็มพิกัดดังเดิมกลับมาเมื่อไหร่ โอกาสที่เขาจะเอาชนะได้คงน้อยเต็มที
ถึงเวลานั้น หากเขาจะถูกสังหารก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาคงตกเป็นเหยื่อของปรมาจารย์ขงด้วย
ดังนั้น จางเซวียนจึงถอยไม่ได้
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆเดินเข้ามา “ท่านอาจารย์ พวกเราอยากไปกับคุณ”
“ตอนนี้พวกคุณยังอ่อนด้อยเกินไป ผมเก็บรังสีพิเศษที่พวกคุณต้องใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไว้ที่นี่ ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธให้ดี พวกคุณจะช่วยผมได้เมื่อเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว” จางเซวียนพูด
เขาโบกมือ จากนั้นก็ยื่นขวดหยกที่เตรียมไว้ให้กับบรรดาศิษย์สายตรง
จ้าวหย่ากับพรรคพวกมีเทคนิควรยุทธและทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธแล้ว แต่โชคร้ายที่ทุกคนมีระยะเวลาจำกัดในมิติเบื้องบน จึงยังห่างไกลกับการเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์
ถ้าเด็กกลุ่มนี้ติดตามเขาไปหอเทพเจ้า ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกจับตัวและใช้เป็นตัวประกันเพื่อบีบให้เขายินยอม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น สู้ปล่อยให้ทุกคนตั้งใจฝึกฝนวรยุทธเพื่อสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
รู้ดีว่าพวกเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือท่านอาจารย์ จ้าวหย่ากับคนอื่นๆได้แต่กำหมัดแน่นอย่างร้อนใจ
ทุกคนเกลียดความจริงที่ว่าพวกเขายังคงอ่อนแออยู่ มันเป็นแบบนี้เสมอ ท่านอาจารย์จะยืนหยัดอยู่แถวหน้า เผชิญกับภยันตรายทุกรูปแบบ ขณะที่พวกเขาได้แต่ยืนจนปัญญาอยู่ข้างหลัง พวกเขาเกลียดความรู้สึกที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้
หลังจากจัดการกับศิษย์สายตรงของเขาแล้ว จางเซวียนก็หันไปพูดกับหานเจี้ยนชิว “หานเจี้ยนชิว สองสามวันนี้ผมพัฒนาความเข้าใจในเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้มากกว่าเดิม ผมจะถ่ายทอดให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ…”
“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักจาง” หานเจี้ยนชิวตอบด้วยนัยน์ตาแดงเรื่อ
เขาศึกษากรรมวิธีการทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าที่จางเซวียนถ่ายทอดให้ตั้งแต่ 2-3 วันก่อน และรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเข้าถึงระดับนั้นแล้ว แต่ไม่อาจก้าวผ่านขั้นสุดท้ายได้ หานเจี้ยนชิวแน่ใจว่าภูมิปัญญาใหม่ที่จางเซวียนกำลังจะมอบให้จะต้องเป็นกุญแจที่เขาต้องการสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ
หากเขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้เมื่อไหร่ ด้วยพละกำลังในฐานะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ต่อให้เขาไม่อาจเทียบชั้นความยิ่งใหญ่กับผู้ก่อตั้ง แต่อย่างน้อยที่สุดก็จะมีพละกำลังมากพอที่จะปกป้องสำนักดาบเมฆเหินทั้งจากหอนิรันดร์และหอเทพเจ้า
เพียงแต่เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าจางเซวียนกำลังมอบหมายหน้าที่ให้เขา และนั่นทำให้ออกจะหนักใจ
“ แต่ภูมิปัญญานี้มาจากการทำความเข้าใจของผมเอง จึงค่อนข้างจะแตกต่างกับเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่มีอยู่ในสำนัก ถ้าคุณอยากเรียนรู้ล่ะก็ คุณจะต้องศึกษาคำชี้แนะและเป็นศิษย์ของผม ไม่ทราบว่าคุณเต็มใจหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถามหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่ได้คิดจะดูถูกหานเจี้ยนชิว แต่กำลังใช้สิ่งนี้เป็นความพยายามเฮือกสุดท้ายที่จะสร้างหน้าหนังสือสีทองให้ได้สักหน้าหนึ่ง ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขง!
ไม่ช้าเขาจะต้องพบกับศัตรู ถึงตอนนี้จะยกระดับวรยุทธขึ้นได้มาก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ชัยชนะ
หากได้หน้าหนังสือสีทองมาสักหน้า ก็จะมีภาษีดีกว่าเดิมมาก
จางเซวียนไม่แน่ใจว่าเงื่อนไขของการสร้างหน้าหนังสือสีทองคืออะไร แต่รู้ว่ากุญแจข้อหนึ่งของมันคือความรู้สึกสำนึกในบุญคุณต่อตัวเขาจนหมดหัวใจในฐานะครูบาอาจารย์
“เป็นเกียรติของผมหากจะได้เป็นศิษย์ของคุณ” หานเจี้ยนชิวพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
ในโลกนี้มีนักรบชื่อดังอยู่มากมายที่เต็มใจจะถ่ายทอดศาสตร์ลับของตัวเองให้เฉพาะกับลูกศิษย์เท่านั้น ซึ่งด้วยความล้ำลึกและเป็นเอกลักษณ์ของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมจางเซวียนถึงไม่เต็มใจจะถ่ายทอดมันให้กับผู้ที่ไม่ได้เป็นศิษย์ของเขา แม้ตัวเขาจะเป็นถึงเจ้าสำนักก็ตาม
หานเจี้ยนชิวเคยเห็นความรักศักดิ์ศรีและความหยิ่งผยองของมนุษย์มามากมาย แต่ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเป็นศิษย์ของใครสักคนที่อ่อนอาวุโสกว่าเขามาก
เห็นหานเจี้ยนชิวตอบตกลง จางเซวียนเคาะนิ้วเบาๆและถ่ายทอดเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาเข้าสู่หัวสมองของอีกฝ่าย