อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2116 อายุขัยของผมใกล้สิ้นสุด?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2116 อายุขัยของผมใกล้สิ้นสุด?
มิติถูกฉีกกระชากเพราะผลจากการเคลื่อนไหวอันรวดเร็ว จางเซวียนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เขารู้สึกราวกับทุกอย่างพังทลายและถาโถมเข้าใส่ บีบเขาให้อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
ถ้าไม่ใช่เพราะปราการพลังปราณที่จางเซวียนสร้างขึ้นปกป้องตัวเอง ร่างกายของเขาคงแหลกเละเป็นเนื้อบดแน่
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น แรงกดดันก็หายวับไป จางเซวียนหอบหายใจหนักหน่วง เขาพิจารณาสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างถี่ถ้วนและพบว่าไม่ได้อยู่ที่สะพานเบื้องบนอีกต่อไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือพระราชวังขนาดมหึมาซึ่งลอยตัวอยู่กลางหมู่เมฆ
จางเซวียนยืดตัวตรงขณะตั้งคำถาม “เราอยู่ที่ไหน?”
เขาดูออกว่าแม้จะยังอยู่ในมิติเบื้องบน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในทวีปที่ถูกลืมอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนเขาได้กระโจนออกจากทวีปที่ถูกลืมเข้าสู่มิติลับแห่งหนึ่ง
“นี่คือสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์!” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆขณะหันกลับมาเผชิญหน้ากับจางเซวียน
ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนได้เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาดูเหมือนกันเป๊ะกับบุคคลที่ได้รับการเคารพยกย่องจากทั้งสภาปรมาจารย์ เขามีร่างสูงและเคราพลิ้วไสว แววตานั้นบ่งบอกถึงความเมตตากรุณาและความมีน้ำใจต่อคนทั้งโลก
“ศิษย์น้องจางเซวียนคารวะปรมาจารย์ขง!” จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงาม
เขาคาดเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เมื่อได้เห็นหน้าตาและบุคลิก ก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่าคิดถูก
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากครูบาอาจารย์ของโลก ผู้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์และรวบรวมเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น, ปรมาจารย์ขง!
เขาเคยพบกับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของอีกฝ่ายมาหลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวเป็นๆ
ปรมาจารย์ขงดูอ่อนโยนนุ่มนวลกว่าที่เขาคาดไว้ การปรากฏตัวของอีกฝ่ายเหมือนสายลมอบอุ่นต้นฤดูใบไม้ผลิ
“ลุกขึ้นเถอะ” ปรมาจารย์ขงตอบยืนขณะพยุงจางเซวียนให้ลุกขึ้น “สภาปรมาจารย์ยังปกติดีอยู่ไหม?”
“ดี สภาปรมาจารย์ยังคงปฏิบัติตามคำสอนของคุณอยู่ พวกเขาทำงานหนักเพื่อปกป้องมนุษยชาติตลอดหลายปีที่ผ่านมา” จางเซวียนตอบก่อนจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาปรมาจารย์หลังจากที่ปรมาจารย์ขงจากไป
“ผมเข้าใจ” ปรมาจารย์ขงลูบเคราช้าๆ “เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องรักษาความเป็นหนึ่งเดียวให้ได้เพื่อจะได้เอาตัวรอดจากเผ่าพันธุ์อื่นๆและทิ้งเชื้อสายไว้บนโลกใบนี้ เหตุผลที่ผมก่อตั้งสภาปรมาจารย์ขึ้นก็เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้มีพละกำลัง ซึ่งดูเหมือนความเหนื่อยยากของผมก็ไม่สูญเปล่า”
เป็นเรื่องยากที่มนุษย์ทุกคนจะมีพละกำลังเหมือนกันหมด แต่ด้วยการถ่ายทอดความรู้อย่างไม่ปิดบังของสภาปรมาจารย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะสามารถใช้ภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ากว่าเดิมได้
“ใช่ ความขัดแย้งของเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็กำลังคลี่คลาย แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะตัด ความเกลียดชังให้จบสิ้น แต่ผมก็เชื่อว่าในที่สุดกาลเวลาจะทำให้บาดแผลทั้งหมดเลือนหายไป” จางเซวียนพูดขณะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นให้อีกฝ่ายฟัง
ปรมาจารย์ขงยิ้มออกมาขณะมองหน้าจางเซวียนและตั้งคำถาม “คุณไปเยือนเกาะคว้าดาวมาด้วยนี่, ใช่ไหม? รู้หรือเปล่าว่าประชากรท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีความคล้ายคลึงกันมากกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?”
“ใช่ ผมรู้สึกได้” จางเซวียนพยักหน้า “คุณรู้เรื่องราวของพวกเขาไหม?”
ปรมาจารย์ขงพยักหน้ารับ “อันที่จริง เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกับประชากรท้องถิ่นของตำหนักคว้าดาวมีต้นกำเนิดเดียวกัน พวกเขาคือเหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ!”
“เหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อนนะ ผมรู้จากผู้อาวุโสหานเจี้ยนชิวว่าประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวคือประชากรดั้งเดิมของทวีปที่ถูกลืม เรื่องนั้นไม่เป็นความจริงหรือ?”
นอกจากตำหนักคว้าดาว เหล่านักรบของ 5 สํานักใหญ่ก็ล้วนแต่กล่าวอ้างว่าพวกเขาคือเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศขณะที่ผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวคือประชากรท้องถิ่น แล้วทำไมปรมาจารย์ขงถึงพูดตรงกันข้าม?
เห็นความงุนงงของจางเซวียน ปรมาจารย์ขงยิ้มน้อยๆ “ทั้ง 5 สำนักก็แค่พยายามสร้างประวัติที่ดูดีให้กับตัวเอง หากพวกเขาเป็นเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศจริงๆ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่มีแต่ตำหนักคว้าดาวเท่านั้นที่มีแท่นบูชาเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมและติดต่อกับสรวงสวรรค์ได้?”
“คือ…”
คำถามนั้นทำให้จางเซวียนอึ้ง
เขาไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน ข้อโต้แย้งของปรมาจารย์ขงถือว่ามีเหตุผลสมบูรณ์แบบ
ปรมาจารย์ขงส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ “ภูมิหลังและชื่อเสียงที่ดูดีจะนำมาซึ่งอำนาจ เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดสิ่งที่เคยเป็นความเท็จก็จะกลายเป็นความจริง ส่วนที่เคยเป็นความจริงก็จะกลายเป็นความเท็จ ใครจะแยกแยะได้ในเมื่อแทบไม่มีทางพิสูจน์ความถูกต้องได้อีก?”
จางเซวียนเงียบกริบ
ก็เหมือนการที่เหล่าฮ่องเต้มักอ้างว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับเลือกจากเทพเจ้าและพากันบิดเบือนทุกตำนานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตัวเอง ทำให้ดูเหมือนกับว่าพวกเขาคือบุตรที่แท้จริงของสรวงสวรรค์
ความชอบธรรมจะเป็นเครื่องมือที่แสนทรงพลังหากผู้คนพากันหลงเชื่อ
ดูเหมือนเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในทวีปที่ถูกลืมเช่นกัน
อีก 5 สำนักล้วนแต่กล่าวอ้างว่าพวกเขาคือเหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็พากันหลงเชื่อความเท็จเหล่านี้
ลงท้ายก็ถึงกับเปลี่ยนเหล่าเทพเจ้าตัวจริงที่ถูกเนรเทศให้กลายเป็นแค่ประชากรท้องถิ่น
“แต่ถ้าพวกเขาเป็นเทพเจ้าจริงๆ ทำไมถึงมีเจตนาสังหารรุนแรงอยู่ในตัว?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย
อันที่จริง สำหรับจางเซวียน ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ว่าใครจะเป็นเทพเจ้าผู้ถูกเนรเทศตัวจริงหรือไม่ เพราะเขาไม่คิดจะเข้าข้างใคร และมองว่าตัวเขาก็แค่ผ่านมายังมิติเบื้องบนเป็นการชั่วคราว
“จะต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสรวงสวรรค์แน่ แต่เรื่องนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของผม” ปรมาจารย์ขงส่ายหน้า
“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองปรมาจารย์ขงอีกครั้ง “ผมยังมีบางคำถามที่หวังว่าคุณจะตอบให้ผมกระจ่างได้”
“พูดมาเลย”
“ปรมาจารย์ขง คุณพำนักอยู่ในมิติเบื้องบนมาก็หลายพันปีแล้ว ยังไม่อาจฝ่าปราการแห่งมิติและขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้อีกหรือ?”
เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนสงสัยมาก
ความสามารถและความปราดเปรื่องของปรมาจารย์ขงนั้นเป็นที่รู้กันอยู่
แม้แต่ตัวเขา ทั้งๆที่เพิ่งมาได้ไม่ถึง 1 เดือน ก็สามารถสำเร็จวรยุทธในระดับที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมครูบาอาจารย์ของโลกที่พำนักอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้วถึงได้…?
“การขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด อีกอย่าง ตอนที่ผมบุกเดี่ยวเข้าสู่หอเทพเจ้าและปะทะกับเหล่าเทพเจ้าในครั้งนั้น ถึงผมจะได้ตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ามา แต่ลงท้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมอยู่ในสภาวะโคม่าเนิ่นนานกว่าจะฟื้นตัว ซึ่งก็เพิ่งได้สติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนมาเมื่อไม่นานนี้เอง”
ปรมาจารย์ขงยับยั้งคำพูดของเขาไว้ด้วยสีหน้าที่ดูสับสน ดูเหมือนไม่เต็มใจจะพูดถึงเรื่องราวในอดีต
“ถ้าคุณไม่สะดวกใจจะพูดล่ะก็ ผมก็ไม่ซักถามแล้ว” จางเซวียนพูด “แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากขอความชัดเจนจากคุณ คุณมอบตราสัญลักษณ์ที่ทำให้ผมได้ทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธทุกชนิดจากหอนิรันดร์มาฟรีๆ แต่ทำไมผมถึงต้องเจอกับการโจมตีจากหอเทพเจ้าทุกครั้งที่ผมใช้มัน?”
นี่คือเรื่องที่ทำให้จางเซวียนสงสัยแคลงใจอย่างมากในตัวปรมาจารย์ขง
ถ้าอีกฝ่ายไม่อาจไขข้อข้องใจให้เขากระจ่างได้ เขาคงไม่มีวันไว้วางใจเต็มเปี่ยมในตัวปรมาจารย์ขงได้อีก
“สำหรับเรื่องนั้น ผมต้องขออภัยคุณด้วย มันเป็นความบกพร่องในส่วนของผมที่ไม่อาจยกโทษให้ได้” ปรมาจารย์ขงตอบด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “ในช่วงเวลาที่ผมอยู่ในภาวะโคม่า อิทธิพลของหอเทพเจ้าเริ่มแทรกซึมเข้าสู่หอนิรันดร์ บริวารมากมายของผมลักลอบไปสวามิภักดิ์กับหอเทพเจ้า ผู้ที่ผมมอบหมายให้หลอมตราสัญลักษณ์อันนี้ก็เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากผมมาก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้ามาตลอด ผมสังหารเขาทันทีที่รู้เรื่องนี้”
“ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมวุ่นอยู่กับการสะกดรอยและจับตัวสายลับจากหอเทพเจ้า ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ผมไม่อาจไปพบคุณที่โขดหินสมอสวรรค์ได้ก่อนที่สะพานเบื้องบนจะลงมา ไม่อย่างนั้น คุณคงไม่ต้องติดกับของหอเทพเจ้าหรอก!”
จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า
เขาไม่เห็นช่องโหว่ใดๆในเรื่องเล่าของปรมาจารย์ขง และอีกฝ่ายก็ดูจริงใจมาก
“ตอนนี้คุณเป็นผู้นำของ 4 สำนัก คงรู้เรื่องที่ผมขอยืมของล้ำค่าเพื่อการอารักขาของสำนักอมตะเลือนหายกับสำนักป้อมปราการกระจกดำแล้วใช่ไหม?” ปรมาจารย์ขงถาม
จางเซวียนพยักหน้า
“ผมมีแผนการของผมที่ทำให้ต้องขอยืมของล้ำค่าเหล่านั้น ผมตั้งใจจะใช้พวกมันปลดปล่อยทวีปที่ถูกลืมให้เป็นอิสระจากการครอบงำของหอเทพเจ้า ผมได้ยินว่าคุณปะทะกับหอเทพเจ้าหลายครั้งแล้ว เชื่อว่าคุณคงรู้พละกำลังของพวกเขาดี ผมรู้ตัวว่าผมยังต้องการไม้ตายอีกมาก ด้วยเหตุนี้ แม้ของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของ 6 สำนักใหญ่จะมีวรยุทธไม่ถึงขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่พวกมันก็บรรจุเอาความคิดและเจตจำนงของบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาไว้ ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้อย่างน่าอัศจรรย์” ปรมาจารย์ขงอธิบาย
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงเข้าใจผิดครั้งใหญ่
“ตอนนี้ผมไขข้อข้องใจทั้งหมดให้คุณแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องบอกคุณ” ปรมาจารย์ขงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขณะจับจ้องจางเซวียน
เขาโบกมือ จากนั้นก็เปิดใช้งานค่ายกลปิดกั้นเพื่อตัดขาดมิติรอบตัวพวกเขาจากโลกภายนอกก่อนจะพูดต่อ “คุณรู้หรือเปล่าว่าอายุขัยของคุณใกล้สิ้นสุดแล้ว?”
“อายุขัยของผมใกล้สิ้นสุด?” จางเซวียนตกตะลึงกับคำบอกเล่าอย่างปุบปับของปรมาจารย์ขง
อันตรายเดียวที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้คือหอเทพเจ้า แล้วทำไมตัวเขาถึงใกล้สิ้นสุดอายุขัย?
“จริงๆนะ” ปรมาจารย์ขงย้ำ เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และพูดต่อด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณมีเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์อยู่ในตัว ถูกไหม?”
“คุณ…” จางเซวียนชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน
หอสมุดเทียบฟ้าเป็นความลับสุดยอดของเขามาตลอด แต่ดูเหมือนเพียงไม่กี่วันนี้มันก็ถูกเปิดเผยอย่างง่ายดาย เริ่มจากหัวหน้าหอเทพเจ้า…จนตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าปรมาจารย์ขงก็รู้เรื่อง
จางเซวียนรู้สึกราวกับว่าความลับของเขาถูกเปิดเปลือยต่อชาวโลก และนั่นทำให้อึดอัดใจมาก รอยย่นปรากฏบนหน้าผากของเขา
“คุณกำลังสงสัยว่าผมรู้ได้อย่างไร ใช่ไหม?”