อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1981 ถูกหมอนั่นตัดหัวหรือ?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1981 ถูกหมอนั่นตัดหัวหรือ?
การต่อสู้ไม่อาจหยุดลงได้ง่ายๆ เพราะมันไม่ใช่แค่การสังหารจากผมน่ะถ่อมตัวเพียงฝ่ายเดียว แต่บรรดาศิษย์สายตรงที่ต่อสู้กับเขาต่างก็กำลังโมโหเดือด ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เข้าขวางและสั่งให้หยุดการต่อสู้เดี๋ยวนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคนเหล่านั้นน่าจะไม่ฟังคำสั่งของเขา
“เหตุผลเดียวที่คุณคิดอย่างนั้นก็เพราะคุณน่ะอ่อนแอ ดูให้ดีล่ะ!”
ผู้อาวุโสมู่ออกอาการหงุดหงิดสุดขีด เขาสั่งการ “เหล่าผู้อาวุโส ตามผมมา…ยับยั้งหมอนั่นให้หยุดสังหารผู้คนเสียที!”
“ขอรับ!”
ผู้อาวุโสฝ่ายในที่แข็งแกร่งที่สุด 10 คนพยักหน้ารับก่อนจะเดินหน้า
แม้รูปลักษณ์ของพวกเขาจะดูไม่ต่างจากศิษย์สายตรงฝ่ายในโดยทั่วไป แต่ก็เห็นได้ชัดจากเจตจำนงเพลงดาบที่สำแดงออกมาว่าทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ฝูงชนพากันเปิดทางให้
ทั้งกลุ่มเดินตรงเข้าหาจางเซวียน ผู้อาวุโสมู่กวัดแกว่งดาบ ปล่อยกระแสดาบฉีให้แผ่ออกไปทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบ
“พอทีเถอะ วันนี้คุณทำมากพอแล้ว ถึงเวลาต้องหยุดเสียที!” ผู้อาวุโสมู่ออกคำสั่ง
เห็นผู้รับคำท้ากลุ่มใหม่เดินอาดๆเข้ามาเพื่อยับยั้งการต่อสู้ จางเซวียนส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน “พวกอยากดังอีกกลุ่มแล้วหรือนี่? อยากสู้ตัวต่อตัวใช่ไหม? แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่มีเวลามากพอจะมาเสียกับพวกคุณจริงๆ!”
“คุณ…”
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะดูถูกพวกเขาแบบนั้น ผู้อาวุโสมู่โกรธจัด เขาเงื้อดาบในมือขึ้น ตั้งใจจะสั่งสอนบทเรียนให้ชายหนุ่ม แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ
ในชั่วพริบตา ศีรษะของเขาก็กลิ้งหลุนๆไปกับพื้น ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะเลือนหาย ผู้อาวุโสมู่เห็นศีรษะของเหล่าผู้อาวุโสที่มาด้วยกันกับเขากำลังกลิ้งหลุนๆไปกับพื้นเช่นกัน
“ผู้อาวุโสมู่…” หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงยืนตัวแข็ง
ผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกมาแก้ปัญหาให้พวกเขา แต่กลับถูกสังหารทันทีที่เริ่มลงมือจัดการ
คนกลุ่มนี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักดาบเมฆเหิน!
พี่ชาย…
คุณสู้กับพวกเขา ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยหรือ? ไม่รับรู้ถึงเจตจำนงเพลงดาบที่เข้มข้นกว่าปกติบ้างหรือไง? เห็นกันชัดๆไหมว่าพวกนี้ไม่ใช่ศิษย์สายตรงฝ่ายในธรรมดา?
แต่คุณก็ยังสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย…
สิ่งที่ยากเกินกว่าจะรับไหวก็คือผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกพยายามตอบโต้การโจมตีของผมน่ะถ่อมตัวแล้ว แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างจากเดิม คือถูกสังหารด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว
การที่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งไม่อาจต้านทานผมน่ะถ่อมตัวได้ยังเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่ แต่ทั้งกลุ่มคือผู้อาวุโสที่เป็นนักรบอมตะตัวจริง อีกฝ่ายสังหารพวกเขาเป็นสิบคนด้วยการฟันฉับเพียงครั้งเดียว…เหลือเชื่อสิ้นดี!
ผมน่ะถ่อมตัวจะต้องทรงพลังขนาดไหน?
น่าหัวเราะเหลือเกินที่ครั้งหนึ่งตัวเขาเคยคิดว่าจะเอาชนะหมอนั่นได้อย่างง่ายดาย…
หลิวลู่จี่จับจ้องที่ผมน่ะถ่อมตัวขณะฟันกระทบกันไม่หยุด เขาคิดไม่ออกว่าปีศาจชนิดไหนที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูเหมือนกับมนุษย์นั้น
ส่วนผมน่ะถ่อมตัว ทันทีที่เอาชนะผู้อาวุโสทั้งสิบได้ ก็ตรงเข้าเล่นงานศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆทันที ราวกับการปะทะเมื่อครู่นี้ไม่ส่งผลอะไรต่อเขาเลย หรือไม่…เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนทั้งสิบที่เขาเพิ่งเผชิญหน้าไปเมื่อครู่คือเหล่าผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติของสำนัก!
ราวกับทุกคนเป็นแค่ฝูงมดที่พยายามต่อสู้กับยักษ์ตัวหนึ่ง
“แหม คนเยอะดีจริงๆ…”
เป็นอย่างที่หลิวลู่จี่คาดไว้ จางเซวียนไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้ทั้งสิบคนที่เขาเพิ่งสังหารไปคือเหล่าผู้อาวุโสของสำนัก
คนพวกนั้นแต่งตัวเหมือนกับศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆ และเท่าที่ดูจากรูปลักษณ์ ก็น่าจะมีอายุราว 20 ต้นๆ แถมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายด้วย
แน่นอนว่าถ้าเป็นครั้งอื่น จางเซวียนย่อมดูออกถึงความแตกต่าง แต่โชคร้ายที่ตอนนี้เขารีบร้อนเกินไป เขารู้ดีว่าพลังปราณของตัวเองมีจำกัด ถ้าไม่รีบปิดจ๊อบการต่อสู้ จะต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้แน่
ถ้าเขาแพ้ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้เงินสักเหรียญสำนักดาบ ยังต้องสูญเสีย 32 เหรียญสำนักดาบที่มีอยู่กับตัวไปด้วย
นั่นคือทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามี!
ไม่มีทางที่เขาจะยอมหมดตัวแบบนั้น!
ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
คุณอยากสู้กับผมตัวต่อตัวหรือ?
อย่าทำให้ผมเสียเวลาน่ะ!
อยากคุยกับผมใช่ไหม?
หุบปากไปก่อนเลย!
ถ้าอย่างน้อยที่สุดคุณต้านทานผมไว้ได้สัก 1 กระบวนท่า ผมก็อาจจะรับไว้พิจารณาในการอนุญาตให้คุณสู้กับผมตัวต่อตัว ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ อย่ามาพูดเหลวไหลให้เสียเวลา!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกพ่ายแพ้ไปในกระบวนท่าเดียว จางเซวียนจึงเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าคนเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับศิษย์สายตรงฝ่ายในทั่วไป ถ้าจะแตกต่างอยู่บ้าง ก็เพียงแค่ความปากกล้าอวดดีเท่านั้น
“เราใช้พลังปราณไป 3 ส่วนแล้ว…ต้องรีบแล้วล่ะ”
จางเซวียนเงยหน้า และเห็นว่าฝูงชนที่เมื่อเริ่มแรกมีอยู่ราว 800 คน ได้เพิ่มจำนวนจนกลายเป็น คนกลุ่มมหึมาที่มีอยู่ราว 5,000 คน ยิ่งเวลาผ่านไป บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ยิ่งมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่อาจเสียเวลาได้แม้แต่วินาทีเดียว
ฟึ่บ!
ร่างของจางเซวียนหายวับไปกลายเป็นภาพติดตา ขณะที่เขาเร่งความเร็วของการเคลื่อนไหวขึ้นอีก
“แม้แต่ผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้ ดูเหมือนผมน่ะถ่อมตัวจะไร้เทียมทานกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก รีบกลับกันเถอะ ไม่อย่างนั้น ถ้าผู้อาวุโสมู่เกิดปรี๊ดแตกขึ้นมาที่ไม่เห็นหน้าพวกเราล่ะก็…” หลิวลู่จี่พูด
“ได้สิ” หวังเจี้ยนตงพยักหน้ารับ
เห็นชัดแล้วว่าสถานการณ์บานปลายจนอยู่เหนือการควบคุม ต่อให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
แต่ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะจากไป ประกายคมปลาบก็สว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ตัดศีรษะของพวกเขา
ฉับ! ฉับ!
ทั้งคู่รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคออีกครั้ง ศีรษะกระเด็นกระดอนอยู่กับพื้นหลายรอบกว่าจะหยุดนิ่ง
“บ้าที่สุด!”
“นี่ครั้งที่ 3 แล้วนะ!”
หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงแทบปล่อยโฮออกมา
พวกเขาทำอะไรผิด ถึงถูกตัดหัวถึง 3 รอบภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง?
บ้าสิ้นดี!
ทั้งคู่ไม่เคยเผชิญกับอะไรหนักหนาสาหัสแบบนี้มาก่อนนับตั้งแต่เริ่มต้นฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ แต่หลังจากที่ผมน่ะถ่อมตัวปรากฏตัวได้เพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็ตายไปแล้วถึงสามครั้งสามหน
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสติ
ขณะที่จิตใต้สำนึกของพวกเขาถูกถอดออกจากหอนิรันดร์และกลับสู่ห้องโถงใหญ่ หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพบว่าตัวเองฟื้นขึ้นมาในบรรยากาศที่แสนตึงเครียด ผู้อาวุโสมู่กับเหล่าผู้อาวุโสนั่งเงียบอยู่กับที่ ไม่พูดอะไรสักคำ
ห้องนั้นเงียบกริบจนแม้เข็มตกสักเล่มก็คงได้ยิน
เกิดความเงียบงันอันยาวนานและน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หลิวลู่จี่ครั่นเนื้อครั่นตัว สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว ต้องเอ่ยปากขึ้นมา “ผู้อาวุโสมู่…”
ในตอนนั้นเองที่เหล่าผู้อาวุโสซึ่งกำลังจังงังพากันได้สติ
“ผมถูกหมอนั่นตัดหัวหรือ?”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น…”
“เราพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ไง?”
“ผมไม่มีเวลาตอบโต้เลยด้วยซ้ำ…”
“ผมก็ไม่มีเหมือนกัน…”
ผู้อาวุโสทั้งสิบมีสีหน้าตะลึงงันราวกับเพิ่งผ่านความฝันอันเหลือเชื่อ
ในฐานะนักรบอมตะตัวจริง พวกเขาใช้เวลายาวนานหลายปีดำดิ่งเข้าสู่ความล้ำลึกของศิลปะเพลงดาบ แม้อาจยังไม่ใช่นักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก แต่ทักษะของพวกเขาก็เหนือชั้นกว่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดโดยทั่วไป
ต่อให้ถูกลดระดับวรยุทธลงเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ก็ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายแบบนั้น
แต่เมื่อครู่ก่อน ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรสักคำ ศีรษะก็หลุดจากบ่าแล้ว
เหลวไหล! เหลือเชื่อ! เป็นไปไม่ได้!
ดูเหมือนสามัญสำนึกที่พวกเขายึดถือมาตลอดจะผิดเพี้ยนไปหมด
โดยเฉพาะกับผู้อาวุโสมู่ เขาอับอายเสียจนอยากจะหายตัวไปเดี๋ยวนั้น
เมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งประกาศกร้าวว่าที่หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพ่ายแพ้ให้หมอนั่นก็เพราะทั้งคู่อ่อนแอ เขาพูดเหมือนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยทันทีที่เขาปรากฏตัว แต่สุดท้ายก็ถูกสังหารตั้งแต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ไม่ต่างอะไรกับวายร้ายหน้าโง่คนหนึ่ง
ช่างน่าอับอายเหลือเกิน!
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้สักครั้งตลอดระยะเวลาหลายปีในฐานะผู้อาวุโส
เกิดความเงียบงันอันยาวนานขึ้นอีกครั้งก่อนที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งจะเปิดประเด็น “แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไร?”
“เอ่อ…” ผู้อาวุโสมู่ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะหันไปถามหลิวลู่จี่ “หมอนั่นชื่ออะไรนะ?”
“ผมน่ะถ่อมตัว” หลิวลู่จี่ตอบ
“ถ่อมตัว?” ผู้อาวุโสมู่เจ็บหัวใจจี๊ดขึ้นมาทันที เขายกมือกุมหัวใจไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองลมจับไปตอนนั้น
คนที่สร้างความปั่นป่วนอย่างหนักด้วยการท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนและสังหารได้แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างไม่ลังเล…
แบบนี้เรียกว่าถ่อมตัวหรือ?
ทำไมคำนี้ถึงขัดหูเหลือเกิน!
ผู้อาวุโสมู่ลุกขึ้นยืนขณะสั่งการอย่างเคร่งเครียด “อย่าบอกใครนะว่าพวกผมมาที่นี่!”
“ฮะ?” หลิวลู่จี่ผงะ
นี่หมายความว่า…แม้แต่ผู้อาวุโสมู่กับเหล่าผู้อาวุโสที่เหลือก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ?
“ไปกันเถอะ!” ผู้อาวุโสมู่พูดขณะเดินออกไป
เพียงครู่เดียว สิบผู้อาวุโสก็หายลับไปจากบ้านพัก ราวกับไม่เคยเหยียบที่นี่มาก่อน
“ศิษย์พี่หลิว…” หวังเจี้ยนตงหน้าถอดสีด้วยความตกใจ
“ผู้อาวุโสมู่ไม่มีทางเลือก ในฐานะผู้อาวุโส เขาควรจะแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่ลงท้ายก็กลับถูกสังหาร สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ไม่อย่างนั้น ต่อไปเขาจะสู้หน้าใครๆในสำนักได้อย่างไร” หลิวลู่จี่พูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
ไม่ใช่เพราะเหล่าผู้อาวุโสไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้!
ถ้าใครต่อใครรู้ว่าพวกเขาถูกศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งสังหาร คงถูกหัวเราะเยาะไม่มีที่สิ้นสุด
…..
บนหลังอสูรบินได้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งหันไปตั้งคำถามกับผู้อาวุโสมู่ที่ยังเงียบกริบ “พวกเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นจริงๆหรือ?”
“ไม่อย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสมู่ตอบ “เรากำลังจะมุ่งหน้าไปศาลาเพลงดาบเพื่อตรวจสอบข้อมูลของผมน่ะถ่อมตัว!”
“ศาลาเพลงดาบ? นั่นคือสถานที่ที่ทางสำนักใช้ควบคุมหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในใช่ไหม? การจะแกะรอยผมน่ะถ่อมตัวจากที่นั่นย่อมทำได้แน่ แต่ในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายใน พวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวแบบนั้นนี่!” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งแย้ง
ถ้าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลคือเครื่องมือที่ใช้สำหรับการเข้าสู่เครือข่ายสังคม ศาลาเพลงดาบก็คือสถานที่ที่คอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางตั้งอยู่
เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง การจะแกะรอยหาตำแหน่งที่แท้จริงของบรรดานักรบที่อยู่ในหอนิรันดร์ก็ย่อมทำได้ แต่ข้อมูลแบบนั้นไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าถึงได้ง่ายๆ