อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1834 ผมคืออำมาตย์เฉินหลิง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1834 ผมคืออำมาตย์เฉินหลิง
อาการบาดเจ็บของจางเซวียนมีสาเหตุมาจากการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า อวัยวะสำคัญภายในหลายส่วนของเขารวมถึงกล้ามเนื้อและทางเดินพลังปราณถูกทำลาย เป็นเพราะพลังชีวิตที่มีล้นเหลือและพลังปราณเทียบฟ้าในร่างของเขาที่ทำให้จางเซวียนยังสามารถปกป้องสภาพร่างกายไม่ให้เสื่อมสลายไปมากกว่าที่เป็นอยู่
รากฐานของเขาถูกทำลายไปเกือบหมด จนถึงระดับที่ไม่อาจใช้วิธีการแบบธรรมดาเยียวยาตัวเองได้ ในอีกแง่หนึ่ง สภาวะร่างกายของจางเซวียนตอนนี้เหมือนกันกับไอ้โหดและอำมาตย์เฉินหย่ง เวลาเท่านั้นที่จะช่วยฟื้นฟูรากฐานอันง่อนแง่นของเขา อีกทั้งไม่มีหนทางเร่งกระบวนการนั้นได้ด้วย
แต่เพียงเพราะเขาทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้!
บาดแผลของอำมาตย์เฉินหลิงนั้นสาหัสยิ่งกว่าเขาเสียอีก แต่อีกฝ่ายก็ยังเยียวยาตัวเองได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ประโยชน์จากแท่นบูชา แล้วเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเข้าถึงอำนาจแบบเดียวกัน?
“เราเกือบถูกฆ่าตายตอนที่เข้าขัดขวางพิธีกรรมเมื่อครู่ก่อน ดูเหมือนเทพเจ้าที่ถูกพิธีกรรมเรียกตัวมาจะระบุอัตลักษณ์ของคนๆหนึ่งผ่านทางรังสีและพลังงานของจิตวิญญาณ…”
จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบคิดคำนวณหาโอกาสของความเป็นไปได้
เขาไม่รู้ว่าจะสามารถใช้พลังงานจากเทพเจ้าเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้หรือไม่ แต่เพียงแค่จะเข้าถึงพิธีกรรมก็เป็นปัญหาแล้ว เมื่อครู่ก่อน ตอนที่เขาพยายามบุกเข้าไปขัดขวางพิธีกรรม พละกำลังมหาศาลก็เกือบทำให้เขาหายสาบสูญไปจากโลก
แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของจางเซวียนจะเพิ่มสูงขึ้นจนเทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นต้น แต่ก็รู้ตัวว่ายังไม่อาจต้านทานพละกำลังระดับนั้นได้ มันคงต้องลงเอยด้วยความตาย
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาต้องหาวิธีอื่นเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเทพเจ้า
จางเซวียนตาโต “ปลอมตัวเป็นอำมาตย์เฉินหลิงสิ ขอแค่รังสีและสายเลือดของเราเหมือนกันกับเขาโดยไม่มีข้อแตกต่าง ต่อให้เทพเจ้าก็คงแยกเราทั้งคู่ไม่ออก แล้วเราจะได้ซึมซับพลังงานที่แผ่ซ่านลงมาจากแท่นบูชานั้น”
แม้การใช้กำลังจะล้มเหลว แต่จางเซวียนก็ยังมีกลยุทธซ่อนอยู่ คือเครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้
มันเป็นสิ่งที่เขาสามารถนำมาใช้ได้ ต่อให้ร่างกายมีสภาพเป็นโครงกระดูกแล้วก็ตาม
“ต้องลอง!”
จางเซวียนระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว เขาเปิดใช้งานเครื่องราง จากนั้นก็กลายร่างเป็นอำมาตย์เฉินหลิงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือรังสีของจิตวิญญาณ ก็ไม่มีทางที่ใครจะแยกความแตกต่างระหว่างตัวเขากับอำมาตย์เฉินหลิงตัวจริงได้เลย
“นายน้อย?” อำมาตย์เฉินหย่งตั้งคำถามด้วยความสงสัย
เขาติดตามเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมานานแล้ว จึงรู้เรื่องเครื่องรางแห่งการปลอมตัว แต่ก็ยังออกจะงุนงงว่าทำไมนายน้อยถึงเลือกปลอมตัวเป็นอำมาตย์เฉินหลิง
“ใช่” จางเซวียนพยักหน้ารับพร้อมกับอมยิ้ม
ด้วยรูปร่างสูงสง่า เขาลักลอบเข้าสู่รอยแยกของมิติที่อยู่กลางอากาศ
คลื่นความสั่นสะเทือนของพลังงานที่เคยผลักตัวเขาออกมาไม่แสดงอาการว่าจะขับไล่อีกต่อไป จางเซวียนเล็ดลอดเข้าสู่พิธีกรรมได้โดยไม่มีปัญหา
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย มันได้ผล!” เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
ดูเหมือนเครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้จะอยู่ในระดับขั้นที่สูงกว่าเทพเจ้าองค์ใดก็ตามที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมา ดังนั้นเทพเจ้าจึงไม่อาจมองทะลุการปลอมตัวของเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จางเซวียนยืนอยู่ใต้รอยแยกแห่งมิติ เขาซึมซับกระแสพลังงานที่แผ่ซ่านลงมาจากด้านบน ในชั่วพริบตา กายเนื้อของเขาก็ฟื้นฟูสภาพอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณที่อ่อนล้าได้รับการบ่มเพาะและเยียวยา
“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราน่าจะกลับสู่สภาวะแข็งแกร่งสูงสุดได้ภายใน 10 นาที บางทีอาจยกระดับวรยุทธได้ด้วยซ้ำ…” จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกาย
ถึงจะมีบาดแผลสาหัส แต่จางเซวียนก็ยังอยู่ในจุดที่ได้เปรียบอำมาตย์เฉินหลิงมาก ทั้งความอ่อนวัยของเขาและลักษณะเฉพาะของพลังปราณเทียบฟ้าทำให้การฟื้นฟูสภาพร่างกายเป็นไปได้รวดเร็วกว่า แม้ทั้งคู่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน แต่ก็มีโอกาสที่เขาจะเยียวยาตัวเองได้รวดเร็วกว่าอำมาตย์เฉินหลิงมาก
ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงเริ่มดูดกลืนพลังงานอย่างฮวบฮาบราวกับนักเดินทางผู้หิวกระหายที่มาเจอกับโอเอซิสโดยบังเอิญ
“คุณ…”
หลังจากจางเซวียนตั้งต้นซึมซับพลังงานไปได้สักครู่ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบที่จับจ้องมาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เมื่อหันกลับไป ก็เห็นอำมาตย์เฉินหลิงกำลังจ้องหน้าเขาอย่างเคียดแค้น
การร้องขอพรจากเทพเจ้าคือขั้นตอนศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรม ซึ่งการเปิดการโจมตีในช่วงเวลานี้ถือเป็นข้อห้ามอย่างเคร่งครัด เพราะไม่อย่างนั้น หากเขาสร้างความขุ่นเคืองให้กับเทพเจ้า ก็อาจถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยเหตุนี้ อำมาตย์เฉินหลิงจึงทำได้แค่จ้องหน้าจางเซวียนอย่างอาฆาต
แต่…การที่ต้องเห็นหมอนั่นฉกฉวยพลังงานที่ควรจะถูกใช้เพื่อการเยียวยาร่างกายของเขาไปทำให้อำมาตย์เฉินหลิงเจ็บปวดใจเสียจนแทบระงับความโกรธไว้ไม่ไหว
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าหนังหุ้มกระดูกนี่ปลอมตัวเป็นเขาได้อย่างไร้ที่ติ? ถึงขั้นที่แม้แต่เทพเจ้าก็ดูไม่ออก? โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว?
ใครบอกเราได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?
เราเป็นใคร? เราอยู่ที่ไหน?
“แก ไอ้คนไร้ยางอาย…” อำมาตย์เฉินหลิงคำราม
“ก็ตามนั้นแหละ ผม, อำมาตย์เฉินหลิง ไม่เคยคิดจะใช้ชีวิตอย่างสง่างามอยู่แล้ว!” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย
“แก ไอ้สารเลว! ฉันต่างหากคืออำมาตย์เฉินหลิง!” เห็นอีกฝ่ายขโมยตัวตนของเขาไปดื้อๆ อำมาตย์เฉินหลิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเสียสติ
“ก็ได้ ก็ได้…คุณคืออำมาตย์เฉินหลิง พอใจหรือยัง?” จางเซวียนตอบกวนโทสะขณะกลืนกินพลังงานโดยรอบอย่างตะกละตะกราม
เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างคอยยับยั้งอำมาตย์เฉินหลิงไว้ไม่ให้เล่นงานเขา เพราะไม่อย่างนั้น อีกฝ่าย คงโจมตีเขาไปแล้ว ซึ่งในเมื่อหมอนั่นทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะชวนทะเลาะ
อยากทำอะไรก็ทำไป ผมจะสวาปามอาหารของผมอย่างเงียบๆอยู่ตรงนี้
ฟิ้ววววว!
พลังงานที่แผ่ซ่านลงมาจากรอยแยกแห่งมิติเข้าโอบล้อมจางเซวียนอย่างรวดเร็วและก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นน้ำวนขนาดใหญ่ ไม่ช้ามันก็ถูกซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเขาจนหมด
ร่างที่แท้จริงของจางเซวียนที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้เครื่องรางแห่งการปลอมตัวเริ่มปรากฏชัดขึ้นขณะที่ เนื้อหนังเริ่มกลับคืนมา
ศีรษะ บ่า แขน หน้าอก…ดูเหมือนจางเซวียนกำลังเกิดใหม่ไปพร้อมๆกับพลังงานทุกหยาดหยดที่เขาได้ซึมซับ
นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของเราให้เหมือนกับของจ้าวหย่า…” จางเซวียนครุ่นคิดขณะเริ่มปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของเขา
โครงสร้างทางชีววิทยาของมนุษย์นั้นมีความยืดหยุ่นไม่สูง สามารถทำการปรับปรุงเล็กๆน้อยๆได้ภายใต้สภาวะปกติ แต่สิ่งที่จางเซวียนกำลังทำอยู่ตอนนี้คือการสร้างร่างกายของเขาขึ้นใหม่โดยเริ่มจากศูนย์ เขาจึงสามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนได้ตามใจ ดังนั้น การรื้อโครงสร้างใหม่ของทางเดินพลังปราณจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าการปรับปรุงโครงสร้างทางเดินพลังปราณของจ้าวหย่าที่ใช้เถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่
ขณะทำการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณ เจตนาสังหารอันเข้มข้นและบริสุทธิ์ก็แผ่ซ่านออกจากร่างของเขา
“นี่คือปราณสังหารที่บริสุทธิ์ที่สุดใช่ไหม?”
“ตั้งแต่ผู้อาวุโสไอ้โหดเสียชีวิตไป ในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราก็ไม่มีใครอีกเลยที่มีปราณสังหารบริสุทธิ์ขนาดนี้!”
“หรือว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโสไอ้โหดกลับชาติมาเกิด?”
“ด้วยสายเลือดบริสุทธิ์ขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะว่าเขาคือผู้นำตัวจริงของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ!”
…..
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ได้ฟังการบรรยายของจางเซวียนก่อนหน้านี้และสงสัยว่าเขาอาจเป็นปรมาจารย์สลัดความแคลงใจของตัวเองทิ้งไปในทันที
ผู้ที่มีปราณสังหารบริสุทธิ์ระดับนี้จะเป็นมนุษย์ไปได้อย่างไร?
ขนาดสามอำมาตย์ใหญ่ยังไม่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านี้เลย!
ฟึ่บ!
เผ่าพันธุ์ปีศาจพากันทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับ ราวกับกำลังต้อนรับการมาถึงของผู้นำคนใหม่
ไม่ว่าจะเป็นการเป็นหนี้บุญคุณจากความรู้ที่ได้จากการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ หรือความยำเกรงโดยสัญชาตญาณที่มีต่อผู้สูงส่งกว่า ในตอนนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวล้วนแต่เคารพและชื่นชมในตัวชายหนุ่มผู้ปลอมตัวเป็นอำมาตย์เฉินหลิง
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นผู้คนของเขากำลังโค้งคำนับและยอมจำนนต่อเจ้าคนชั่วช้านั่น อำมาตย์เฉินหลิงตัวจริงโมโหจนแทบครองสติไม่อยู่
ถึงคนอื่นๆจะไม่รู้ว่าหมอนี่เป็นใคร แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายคืออัจฉริยะหมายเลข 1 ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นปรมาจารย์ทั้งตัวและหัวใจ แล้วคนของเขากลับมาแสดงการคารวะผู้อื่นแทนที่จะเป็นตัวเขา…บังอาจนัก!
“แก ไอ้คนชั้นต่ำ! ต่อให้ฉันต้องเสี่ยงกับการทำให้เทพเจ้าขุ่นเคือง ฉันก็จะสังหารแกให้ได้เดี๋ยวนี้!”
เห็นอีกฝ่ายเยียวยาสภาพร่างกายได้จนเกือบสมบูรณ์แล้ว อำมาตย์เฉินหลิงทนรอไม่ไหว แม้จะต้องเสี่ยงกับการทำให้เทพเจ้าขุ่นเคือง แต่เขาก็กางนิ้วเป็นรูปกรงเล็บเข้าหาจางเซวียน
ถึงอำมาตย์เฉินหลิงจะฟื้นตัวได้ไม่เร็วเท่าจางเซวียน แต่เขาก็ใช้เวลาอยู่ในพิธีกรรมนานกว่า จนถึงตอนนี้ อาการบาดเจ็บของเขาหายดีราว 70-80 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทำให้สามารถสำแดงพละกำลังของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกออกมาได้
จางเซวียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหมดความอดทน เขาพึมพำอย่างหงุดหงิด “รอก่อนน่ะ ผมยังต้องการต้นขาอีก 2 ข้างเพื่อให้ร่างกายได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ ว่าแต่ ทำไมเราไม่รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยมาสู้กัน?”
จางเซวียนขับเคลื่อนศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้า เขาหลบการโจมตีนั้นได้อย่างนุ่มนวล พร้อมกันนั้นก็เปิดจุดชีพจรทุกจุดในร่างกายเพื่อกลืนกินพลังงานที่อยู่โดยรอบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในชั่วพริบตา อัตราการฟื้นฟูร่างกายของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น
เพราะตอนนี้จางเซวียนกำลังปลอมตัวเป็นอำมาตย์เฉินหลิง จึงไม่อาจใช้งานตัวโคลน อาวุธต่างๆหรือแม้แต่ไอ้โหด ดังนั้นจึงยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสังหารอำมาตย์เฉินหลิงตอนนี้ แต่อำมาตย์เฉินหลิงก็ไม่อาจเล่นงานเขาได้ง่ายๆเช่นกัน
“ระวังหัวของแกไว้ให้ดี!”
เห็นอีกฝ่ายยังปากกล้าทั้งที่ฉกฉวยพลังงานที่เขาต้องทุ่มเทอย่างมากเพื่อให้ได้มันมา อำมาตย์เฉินหลิงโมโหเดือดจนแทบคลุ้มคลั่ง