อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1684 สร้างความร้าวฉาน
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1684 สร้างความร้าวฉาน
จางเซวียนเลียนแบบน้ำเสียงและบุคลิกของแม่ทัพใหญ่ เขามองหน้าแม่ทัพและพูดว่า “มีบางอย่างที่ผมอยากให้คุณบอกเป่ยชิง”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งมาเลย”
“เข้ามาใกล้ๆหน่อย เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้…” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม
“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่…”
แม่ทัพออกจะงุนงงว่าทำไมจางเซวียนจึงไม่ใช้การส่งโทรจิตโดยพลังปราณเพื่อพูดกับเขาโดยไม่ให้ใครได้ยิน แต่ก็ตัดสินใจเอนศีรษะเข้าไปใกล้ และเพื่อแสดงความยำเกรงต่อแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ
พวกเขาอยู่ในส่วนลึกของฐานที่ตั้งกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ ความคิดที่ว่าจะมีใครอาจหาญถึงขนาดปลอมตัวเป็นแม่ทัพใหญ่นั้นเหลวไหลเกินกว่าที่เขาจะนึกถึง
“เรื่องเป็นอย่างนี้…” จางเซวียนกระซิบกระซาบ
แต่เมื่อถึงคำที่ 3 ประกายเย็นวาบก็พาดผ่านกลางอากาศ
แม่ทัพรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างทันท่วงที แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร โลกรอบตัวก็หมุนติ้ว ศีรษะของเขาหลุดออกจากบ่า
มันเป็นการโจมตีที่คาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง การสังหารนั้นเป็นฝีมือของกระบี่เปลวเพลิงสีดำที่เป็นของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ ถึงแม่ทัพจะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่สุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อของจางเซวียน
แต่ถึงอย่างไร เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะแม่ทัพเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานขั้นต้นเท่านั้น หากเขาทรงพลังกว่านี้ ทุกอย่างก็อาจไม่ง่ายดายอย่างที่เห็น
จางเซวียนโยนศพแม่ทัพเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติและจัดการทำลายร่องรอยของการฆาตกรรม จากนั้นก็ขยับกล้ามเนื้อและกระดูกอีกครั้งเพื่อปลอมตัวเป็นแม่ทัพที่เพิ่งเสียชีวิตไป
เกิดการฆาตกรรมขึ้นในใจกลางฐานที่ตั้งของเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งมีพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่รายล้อมมากมาย แต่จางเซวียนได้ทำการสกัดกั้นมิติไว้ก่อนจะลงมือโจมตี การฆาตกรรมครั้งนี้จึงไม่ดึงดูดความสนใจของใครทั้งนั้น
หลังจากสวมเกราะและหมวกเกราะของแม่ทัพแล้ว จางเซวียนก็ก้าวยาวๆไปยังเต็นท์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
ขณะที่เขามาถึงทางเข้า องครักษ์ 2 ตัวก็ชูหอกขึ้นและถลันเข้าขวางทาง
“บังอาจ! ผมมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของแม่ทัพใหญ่ของเรา พวกคุณไปรายงานการมาเยือนของผมเดี๋ยวนี้!” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังไว้ขณะสั่งการอย่างวางอำนาจ
องครักษ์ตัวหนึ่งลังเล ก่อนจะหันหลังกลับและเข้าไปในเต็นท์ ครู่ต่อมาก็กลับมาพร้อมกับบอกว่า “เชิญเข้าไปได้”
จางเซวียนคำรามและก้าวยาวๆเข้าไป
เต็นท์หลังนี้ก็เหมือนกับหลังที่เขาเข้าไปเมื่อครู่ มีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานราว 12 ตัวนั่งอยู่โดยรอบ เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่นั่งอยู่ตรงกลางมีรังสีที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าแม่ทัพใหญ่ในเต็นท์อีกหลังหนึ่งเลย เป็นไปได้ว่ามันคงจะเป็นเป่ยชิง, แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายอำมาตย์เฉินชิง
เห็นจางเซวียนเข้ามา เป่ยชิงชำเลืองมองและถามอย่างเย็นชา “อู๋ชู่ยอมรับเงื่อนไขของผมหรือเปล่า?”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ของเรายอมรับเงื่อนไขทั้งหมด แต่มีรายละเอียด 2-3 ข้อที่เขาอยากหารือกับคุณ” จางเซวียนตอบ
“แม่ทัพของคุณตัดสินใจได้ชาญฉลาดจริงๆ ดูเหมือนอู๋ชู่จะไม่ได้ดื้อด้านอย่างที่ใครๆว่ากัน!”
เป่ยชิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตามข้อเรียกร้อง เขาหัวเราะลั่น “แล้วเขาอยากจะหารือที่ไหนล่ะ?”
“ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มของพวกเรา จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเสนอให้นัดพบกันที่หุบเขาแคบๆแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างเต็นท์ทั้งสองหลัง ถ้าคุณไม่มีอะไรขัดข้องล่ะก็ กรุณาไปถึงที่นั่นภายในอีก 1 ชั่วโมงนับจากนี้ ท่านแม่ทัพของเราจะรออยู่” จางเซวียนรายงาน
ตอนที่เขาเดินทางมา ก็เห็นว่ามีหุบเขาแคบๆอยู่ในบริเวณที่ไม่ห่างจากเต็นท์เท่าไรนัก
“ได้ บอกอู๋ชู่ว่าผมจะไปที่นั่น!” เป่ยชิงพยักหน้า
“ผมขอลา” จางเซวียนก้มศีรษะและออกจากห้อง
ทันทีที่จางเซวียนออกไป บรรดาแม่ทัพที่อยู่ในเต็นท์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรนและประสานมือ
“ท่านแม่ทัพใหญ่ อู๋ชู่น่ะเป็นจอมสร้างสถานการณ์ ผมเกรงว่าเขาจะมีเจตนาร้าย”
“จริงด้วย ไม่น่าเชื่อว่าหมอนั่นจะยอมรับเงื่อนไขของเรา เป็นไปได้ว่าเขาอาจตั้งใจจะลอบโจมตีเราเพื่อบีบให้เราทำตามเงื่อนไขของเขามากกว่า”
เหล่าแม่ทัพออกความเห็นอย่างหวาดระแวง
“ถ้าพวกนั้นคิดว่าลูกไม้ตื้นๆแบบนี้จะใช้กับผมได้ล่ะก็ โง่เง่าเกินไปแล้ว! อีกอย่าง นี่เป็นความประสงค์ของทั้งสองอำมาตย์ แล้วพวกคุณก็อยู่ใกล้ๆผมด้วย หมอนั่นไม่น่าจะทำอะไรที่เป็นการบ่อนทำลายความเป็นพันธมิตรของเราหรอก” เป่ยชิงคำราม
เขาชักหอกเล่มหนึ่งออกมาและกวัดแกว่งมันอย่างแรง เกิดรอยแยกของมิติเพราะความหนักหน่วงของมัน
“แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ควรจะเตรียมการไว้ เผื่อว่าพวกนั้นจะเล่นสกปรก หลังจากนี้ ผมอยากให้พวกคุณลาดตระเวนรอบๆหุบเขา ถ้าพบสิ่งผิดปกติล่ะก็ ให้รายงานผมทันที!” เป่ยชิงพูด
“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่” ทุกตัวตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
…..
เมื่อออกจากเต็นท์ของเป่ยชิง จางเซวียนก็กลับไปยังทิศทางเดิม ไม่ช้าก็มาถึงเต็นท์ขนาดใหญ่ที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้า
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ผมถ่ายทอดคำพูดของคุณให้เป่ยชิงรับทราบแล้ว แต่เขา…” จางเซวียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนและหลบสายตา พร้อมกับแสดงทีท่าที่บ่งบอกความสับสน ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อหรือไม่
“พูดสิ!” แม่ทัพใหญ่อู๋ชู่สั่งการ
“เขาบอกว่า…คุณน่ะไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา หากคุณกล้าท้าทายเขาเข้าสู่การดวล เขาก็จะซ้อมคุณจนคุณต้องทรุดตัวลงคุกเข่าร้องขอความเมตตา!” จางเซวียนก้มศีรษะด้วยความหวาดกลัวขณะพูดเสียงสั่น
“หมอนั่นคิดว่าผมจะร้องขอความเมตตาหรือ? ไอ้สารเลวโอหัง! ดีล่ะ มาดูกันว่าหมอนั่นเก่งกาจขนาดไหนถึงกล้าพูดอะไรแบบนี้!”
ตึ้ง!
อู๋ชู่ทุบโต๊ะและลุกขึ้นยืน ความกราดเกรี้ยวของเขาก่อเกิดเป็นพายุเฮอริเคนที่มีพละกำลังทำลายล้างหมุนติ้วอยู่รอบตัว
เปลวเพลิงแห่งโทสะแผดเผาอยู่ในส่วนลึกของดวงตาของเขา
“เขาบอกว่า…ถ้าคุณกล้าพอล่ะก็ เขาจะรอเผชิญหน้ากับคุณในหุบเขาแคบๆที่อยู่ระหว่างทั้งสองเต็นท์ ในเวลา 1 ชั่วโมงนับจากนี้…” จางเซวียนพูดต่อด้วยความหวาดกลัว
“ฮะ? ดูเหมือนเจ้าเป่ยชิงนั่นจะโอหังไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวก็รู้ว่าหมอนั่นเก่งแต่ปากหรือเปล่า!” อู๋ชู่สะบัดกระบี่สีทองในมือของเขา เกิดเสียงเคร้งดังก้องไปทั่ว
แม่ทัพตัวหนึ่งที่อยู่ในเต็นท์ลุกขึ้นยืนแล้วร้องออกมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ ผมเกรงว่าเป่ยชิงจะมีลูกไม้สกปรกบางอย่างอยู่เบื้องหลังคำพูดอันจองหองนั้น”
“ผมเห็นด้วย, ท่านแม่ทัพใหญ่ มีโอกาสสูงทีเดียวที่มันจะเป็นกับดัก”
แม่ทัพอีกตัวหนึ่งลุกขึ้นยืนและตั้งข้อสังเกต
“ใช่ ผมเคยท้าดวลกับหมอนั่นมาก่อน แต่ก็ลงเอยด้วยการที่เขาถอนตัวในวินาทีสุดท้าย ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่กล้าพอที่จะท้าทายผมเข้าสู่การดวลอย่างชอบธรรม เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะมีความคิดบางอย่าง เหอมู่, กุ้ยหลี่ ผมอยากให้คุณทั้งสองจับตาดูหุบเขานั้นไว้ให้ดี ถ้าพบสิ่งผิดปกติล่ะก็ รายงานผมทันที!” อู๋ชู่สั่งการ
“ขอรับ!”
“ขอรับ!”
แม่ทัพทั้งสองลุกขึ้นยืนและออกจากเต็นท์ไป
“ผมคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณหุบเขานั้นดี ได้โปรดให้ผมไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนพร้อมกับพวกเขาด้วย” จางเซวียนประสานมือ
“ได้สิ!” อู๋ชู่โบกมือ
จางเซวียนรีบหันหลังกลับและออกจากเต็นท์ไป เขาตะโกนร้องเรียกแม่ทัพทั้ง 2 ตัวที่ออกไปก่อนหน้า “รอผมด้วย ผมคุ้นเคยกับพื้นที่รอบหุบเขานั้นดี ให้ผมนำทางพวกคุณไปนะ!”
สองแม่ทัพพยักหน้า จากนั้นทั้งสามก็อำพรางรังสีของตัวเองและมุ่งหน้าไป
ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงหุบเขานั้น
“ผมคิดว่าน่าจะดีที่สุดถ้าพวกเราแยกกันและตรึงกำลังให้ทั่วบริเวณ ด้วยวิธีนี้ เราจะแก้ไขจุดอ่อนของแต่ละคนได้ และเตือนให้อีกคนหนึ่งรู้ได้หากมีบางอย่างเกิดขึ้น” จางเซวียนเสนอแนะ
เมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่จางเซวียนพูดก็มีเหตุผล สองแม่ทัพต่างก็กระจายกำลังกันไปซ่อน แต่ยังไม่ทันที่จะพบชัยภูมิเหมาะๆในการซ่อนตัว ร่างของพวกมันก็กระตุก ก่อนจะล้มลงแน่นิ่งอยู่กับพื้น
ตัวหนึ่งถูกหอกสวรรค์กระดูกมังกรแทงเข้าที่หัวใจ ขณะที่อีกตัวถูกกระบี่เปลวเพลิงสีดำตัดหัว
หลังจากเล่นงานทั้งคู่แล้ว จางเซวียนรีบเก็บศพและเคลียร์พื้นที่ จากนั้นเขาก็ปลอมตัวเป็นเป่ยชิง และตรงไปที่เต็นท์ของแม่ทัพใหญ่อู๋ชู่
ยังไม่ทันจะถึงเต็นท์ จางเซวียนก็เปล่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมา
“อู๋ชู่ ถ้ากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับผมก็บอกมาเถอะ คุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันขี้ขลาดตาขาวสิ้นดีที่ส่งคนไปลาดตระเวนพื้นที่เพื่อลอบโจมตีผม?”
ฟึ่บ!
หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็โยนทั้งสามศพเข้าไปในเต็นท์ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
กว่าอู๋ชู่จะออกจากเต็นท์ จางเซวียนก็หลบเข้าไปในพื้นที่ลับตาและซ่อนตัวในปราการแห่งมิติแล้ว อู๋ชู่มองทั้งสามศพที่อยู่หน้าเต็นท์ของเขา คือเหอมู่ กุ้ยหลี่ และหลี่เจียที่เขาเพิ่งส่งออกไปลาดตระเวนหุบเขา เมื่อรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อู๋ชู่โมโหจนแทบระเบิด
ทั้งสองฝ่ายตกลงใจเป็นพันธมิตรกันแล้ว แต่เป่ยชิงยังกล้าสังหารลูกน้องของเขาอย่างโหดเหี้ยม เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้!
“เป่ยชิง! ถ้าฉันไม่ฆ่าแก อย่าเรียกฉันว่าอู๋ชู่อีกเลย!” อู๋ชู่คำรามกร้าวและพุ่งไปที่เต็นท์ของเป่ยชิง
ในเวลาเดียวกัน บรรดาแม่ทัพที่อยู่กับอู๋ชู่ต่างก็โมโหเดือดเมื่อเห็นศพของเพื่อน พวกเขารีบตามอู๋ชู่ไปติดๆ
ในเต็นท์ฝั่งตรงข้าม เป่ยชิงกับเหล่าแม่ทัพของเขายังคงพยายามครุ่นคิดว่าอู๋ชู่มีเจตนาอย่างไร ก็พอดีกับที่มีแรงกดดันหนักหน่วงพุ่งลงมาจากกลางอากาศ จากนั้น กระแสกระบี่ฉีที่ทรงพลังก็พาดผ่านอากาศและตัดเต็นท์ออกเป็น 2 ส่วน
เป่ยชิงโผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อดูหน้าผู้บุกรุก ก็พอดีกับที่เห็นอู๋ชู่กับกระบี่สีทองของเขา เป่ยชิงเลิกคิ้วและคำรามกร้าว “อู๋ชู่ คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? คิดจะมาทำอะไรที่นี่?”
อีกฝ่ายยอมรับเงื่อนไขของเขาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงพรวดพราดเข้ามาราวกับจะมาฆ่าใคร?
“เลิกสร้างภาพเสียที! แกเก่งนักใช่ไหม ทำไมไม่แสดงให้ฉันเห็นสักหน่อยล่ะ?” อู๋ชู่ทนเสียเวลาไม่ไหวอีกต่อไป เขาเงื้อกระบี่สีทองขึ้นและปล่อยกระแสกระบี่ฉีเข้าใส่เป่ยชิง