Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 8 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าเทพแล้วจะทำภาชนะหรือทำอาหารก็ล้วนสุดยอดทั้งนั้น
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 8 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าเทพแล้วจะทำภาชนะหรือทำอาหารก็ล้วนสุดยอดทั้งนั้น
“ท่านเทพครับ นั่นท่านกำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอครับ?”
“อ่อ นิดหน่อย ๆ น่ะ ว่าแต่มาหาข้าแบบนี้เจ้ามีธุระอะไรงั้นเหรอ ฟายเดอร์?”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ข้าแค่สงสัยเฉย ๆ น่ะครับ เพราะตั้งแต่พวกเราเริ่มขนเจ้าดินแปลก ๆ ที่ชื่อว่าดินเหนียวมาที่หมู่บ้าน พระองค์ก็ขลุกตัวในบ้านอยู่กับมันทั้งวัน ไม่ใช่แค่ข้า แต่หลายคนก็สงสัยว่าท่านเทพกำลังทำอะไรอยู่น่ะครับ”
ฟายเดอร์พยายามเอียงคอไปมา เพื่อจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือผมซึ่งก็คือดินเหนียว ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แค่ก้อนดินธรรมดา แต่มันเริ่มที่จะมีรูปทรงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทรงโค้งหรือทรงรี หลายต่อหลายชิ้นถูกวางกองเต็มห้องของผมไปหมด
ใช่แล้ว ผมน่ะกำลังทดลองอยู่
หลังจากที่ได้ดินเหนียวมา ผมก็เริ่มทำการปั้นดินเหนียว โดยจุดมุ่งหมายในครั้งนี้ก็คือการปั้นหม้อไว้ใช้สำหรับหุงข้าว
ทว่าจะให้เด็กวิทย์หลังห้องอย่างผมทำได้ตั้งแต่ทีแรกเลยมันก็ดูจะเกินไปหน่อย ดังนั้นผมจึงทำการปั้นมันไปมาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนว่าฝีมือของผมจะไม่ถึงขั้นเพราะทั้งหมดที่ออกมา หากไม่รูปร่างบิดงอก็แตกกองอยู่ตรงพื้นไปเลย และนั่นก็คือสิ่งที่ฟายเดอร์กำลังจ้องมองอยู่
อย่ายอมแพ้สิ อรุณ ข้าวสวยร้อน ๆ แสนอร่อยกำลังรอนายอยู่นะ!!!
“อย่างที่เจ้าว่า ตอนนี้ข้ากำลังวางแผนที่จะมอบหนึ่งในพลังของข้าให้กับพวกเจ้านั่นล่ะ”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี่ ผมก็กำลังขึ้นรูปของเจ้าดินเหนียวในมือไปด้วย ความรู้สึกเย็น ๆ และสาก ๆ คล้ายตอนเล่นโคลนที่สนามเด็กเล่นพุ่งผ่านมาที่มือของผม แม้จะพูดไปแต่มือของผมก็ยังพยายามขึ้นรูปทรงโค้งของตัวหม้อให้ได้
โผล๊ะ
ไม่ทันขาดคำ เหมือนผมจะกะแรงผิด ทำให้เจ้าดินเหนียวในมือเสียทรงไปแถมบางส่วนยังกระจายลงพื้นอีก…
ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของฟายเดอร์ จึงรีบโยนเจ้าเศษซากของความพยายามไปที่ข้างหลังแล้วลุกขึ้น ปั้นสีหน้าของตัวเองให้เป็นผู้ทรงภูมิความรู้
“ข้าขอถาม ยามที่พวกเจ้ากินดื่ม พวกเจ้าทำเช่นไรกันบ้าง?”
ฟายเดอร์ได้ยินคำถามก็ทำหน้าตาสงสัยพลางเกาหัวแกรก ๆ ในหัวเขาคงได้แต่คิดว่าผมถามอะไรแปลก ๆ อย่างแน่นอน
“ถ้าพวกผักหลังเอาไปล้างที่แม่น้ำก่อนกินตามท่านเทพสั่ง ส่วนพวกเนื้อหลังจากล้างเสร็จพวกข้าก็ฉีกกินเลย ถ้าน้ำก็คงเดินไปเอามือตักกินที่ริมแม่น้ำเลยน่ะครับ”
“เจ้ารู้สึกว่ามันลำบากบ้างไหมล่ะ”
“ไม่นะครับ ถ้าที่รู้สึกว่าลำบากก็คงจะเป็นการที่ต้องล้างเนื้อ ล้างผักหรือมือของตัวเองก่อนกินเนี่ยล่ะครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจถึงเหตุผลเท่าไหร่เลยครับ”
ผมลืมไปได้อย่างไรกันนะ ว่าคนเราหากทำอะไรมาจนชินแล้วจะไม่รู้สึกถึงความลำบากของมัน กลับกัน อะไรที่ให้ทำเพิ่มต่างหากที่พวกเขาจะรู้สึกแปลกไป
แต่ว่านะ ไอ้สิ่งที่นายบอกว่าลำบากน่ะ รู้ไหมมันเรื่องสำคัญแค่ไหน ไม่สิมาเริ่มดูการกินของพวกเขาเลยน่าจะเห็นภาพกว่า
อย่างพวกเนื้อสัตว์เนี่ย พวกเขาล้างเสร็จก็นำมาวางกับพื้นแล้วฉีกกินประดุจเป็นสัตว์กินเนื้อ ยังดีที่หลังได้มีดมาจึงเริ่มดูมีอารยะมากขึ้น แต่อีกอันที่หนักสุดเนี่ยคือน้ำ เพราะบางคนผมเห็นกับตาว่าเกาก้นของตัวเองเสร็จก็ตักน้ำดื่ม
ถึงยุคนี้จะยังไม่มีโรคภัยก็เถอะ แต่แบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ….
ดังนั้นเพื่อรับมือกับอนาคตที่จะมีเชื้อโรคมาแพร่ระบาดตอนไหนก็ไม่รู้ การสอนให้รู้จักรักษาสุขอนามัยจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
“ที่เราต้องล้างมือก็เพื่อที่เราจะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ำซึ่งได้รับพลังแห่งสว่างแห่งการเติบโตซึ่งพระองค์มอบให้ตอนสอนเรื่องพลังแห่งการเพาะปลูกอย่างไรล่ะ…. ใช่ไหมคะท่านเทพ?”
ยูน่าที่น่าจะบังเอิญเดินผ่านมาได้ยินก็ตอบแทนผมไปทันควัน แน่นอนว่าคำตอบของเธอนั้นล้ำกว่าที่ผมกำลังคิดอยู่ไปมาก ทำเอาผมแอบกังวลไม่ใช่น้อยเพราะหากเราใช้ตรรกะนี้ในการสอนล่ะก็…. พวกเขาได้ขุดดินไปใช้ปรุงเป็นผงชูรสแน่นอน!!!
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง ท่านเทพแห่งแสงสว่างช่างมีเมตตานัก แม้แต่การกินอาหารปกติ ท่านยังคิดหาทางแบ่งพลังมาให้พวกเราอีกด้วย”
มันจะเชื่อง่ายไปแล้ว! ยูน่า พลังในการปล่อยข่าวแปลก ๆ ของเธอช่างเยอะขึ้นทุกที แถมไม่ว่าจะแบบไหน พวกชาวบ้านก็เชื่อกันเป็นวรรคเป็นเวรหมด แบบนี้ถึงจะเป็นผลดีเรื่องค่าศรัทธาก็เถอะ แต่บางทีมันอาจจะเกินไปมั้ง
ว่าแต่พูดถึงสุขอนามัย ผมก็มองอาหารที่ผมวางไว้เหนือภาชนะบิด ๆ เบี้ยว ๆ ที่เรียกว่าจานของตัวเอง
มันเป็นเนื้อที่ผมเอาไปย่างเสร็จแล้วกินเหลือจากอาหารเที่ยง ดังนั้นจะมีรอยกัดไปหลายส่วนบ้างก็คงไม่แปลก แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น…..
ผมมองสลับไปมาที่เนื้อย่างในจานของตัวเองกับเนื้อสดในมือของยูน่าไปมา ทำเอาให้มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
นี่ผมลืมสอนเรื่องการใช้ไฟทำอาหารไปนี่หว่า!!!
ให้ตายสิ นี่ผมลืมไปได้อย่างไรกันนะ ว่าสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้มนุษย์ค้นพบนั้นคือการปรุงอาหารให้สุกน่ะ!!!
รู้ไหมว่าอาหารดิบ ๆ ไม่ว่าจะเนื้อวัวหรือเนื้อปลา การกินมันทั้งดิบ ๆ น่ะเสี่ยงภัยต่อพยาธิได้แน่นอนว่าอธิบายเรื่องพยาธิให้พวกเขาน่าจะยาก แต่ปล่อยไปคงไม่ดี เพราะถ้าในอนาคตเรื่องโรคภัยมันมาถึง ได้ล้มตายเป็นเบือจากโรคท้องเสียแบบอารยธรรมยุคกลางแน่นอน
ให้ตายสิ….ไอ้ตัวเราก็ย่างเนื้อย่างปลากกินมาตั้งนาน แถมพวกชาวบ้านเห็นก็ไม่ถามอะไรสักอย่าง เลยทำให้ผมลืมแน่นอน
แต่ว่าตอนนี้คงไม่ไหวถ้าจะสอนเรื่องการปรุงสุกไปแต่หากยังเอาไปวางกันไว้บนดินแบบนี้มันก็เปล่าประโยชน์เพราะงั้นสอนเรื่องการใช้ภาชนะไปก่อนน่าจะดีกว่า ว่าแต่จะอธิบายอย่างไรให้พวกเขาเข้าใจดีนะ…….
ยากแหะ… ไม่ว่าจะนึกวิธีการแบบเด็กมัธยมหรือประถม มันก็ยากที่จะทำให้เข้าใจ เพราะงั้นในเมื่อใช้วิชาการไม่ได้ ก็ใช้ความเชื่อไปเลยแล้วกัน
“เจ้าพูดถูกยูน่า แต่ยังไม่ครบถ้วนพอ”
เอาล่ะ ได้เวลาอัญเชิญท่านเทพเจ้าดริฟสายฟ้ามาสถิตบนร่างแล้ว เอาล่ะนะเหล่าสาวกแห่งข้าเอ๋ย จงสดับฟังอรุณผู้นี้!!!
“เอ๋? เช่นนั้นเหรอคะ มีเรื่องอะไรที่ข้ายังไม่ทราบอีกงั้นเหรอคะ?”
ยูน่าอุทานขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล ความอยากรู้อยากเห็นและความกลัวเริ่มผสมปนเปและแสดงออกมาทางสีหน้าและแววขอเธอ
“จริงอยู่ที่อำนาจแห่งการเติบโตจากสายน้ำของข้านั้นส่งเสริมชีวิตของพวกเจ้า ทว่าพลังของข้าก็เหมือนข้า เปี่ยมล้นด้วยเมตตา เช่นนั้นจึงไปหาทุกสิ่งอย่างเท่าเทียม”
“เข้าหาทุกสิ่ง…อย่างเท่าเทียม หรือว่า!!!”
ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กสาวตรงหน้าผมเริ่มเบิกกว้างออก เสียงของเธอร้องขึ้นมาอย่างตกใจ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอน่าจะเริ่มเดามุกต่อไปของผมออกเป็นที่เรียบร้อย
“อย่างที่เจ้าคิด ยามที่พวกเจ้าใช้น้ำจากแม่น้ำชำระช้างเนื้อนั้น อำนาจแห่งข้าแทรกซึมเข้าไปในเนื้อก็จริง ทว่ายามเมื่อเจ้าวางมันบนพื้น พลังของข้าก็จะถูกปันไปให้กับผืนดินจนพลังในอาหารจางหายไป”
“อะไรกัน… เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไรดีครับ?”
ฟายเดอร์โผล่งขึ้นมาอย่างตกใจ ใบหน้าของเขานั้นซีดเผือดประดุจได้ยินข่าวว่าโลกจะแตกก็ไม่ปาน ดูเหมือนว่ามุกนี้จะใช้ได้ดีไม่ใช่น้อย
“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้ทำสิ่งที่สามารถรองรับพลังแห่งข้าให้ไม่หายไปจากอาหาร… นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ภาชนะ” อย่างไรล่ะ!!!”
“เอ่อ ใช่สิ่งที่รูปร่างดูบูดเบี้ยวไปมาที่ด้านหลังนั่นเหรอเปล่าครับ”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
ฟายเดอร์พูดไปพลางชี้ที่เศษซากอารยะธรรมของผมจำนวนมากที่กองอยู่เบื้องหลัง ทำเอาผมมองตาเขียวใส่อย่างช่วยไม่ได้
รู้ไหมว่านั่นน่ะผมใช้ความพยายามแค่ไหนในการปั้นมันขึ้นมา ถึงจะมีหลายจุดที่กะแรงผิดไปบ้าง ใช้มือดันแรงเกินไปนิด แต่อย่างน้อยมันก็วางอาหารได้อยู่นะฟายเดอร์เอ๋ย….
เขาเรียกว่างานแอ๊บสแตร๊ก!!!
เอาเถอะ ผมยอมรับก็ได้ว่าตัวเองมันไร้ฝีมือด้านศิลปะ ไม่ว่าจะงานวาดรูปหรืองานปั้น เพราะไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนมันก็เละไม่มีชิ้นดี เรื่องนี้แสนจะเศร้า
“เอ่อ… ข้าแค่สงสัย ว่ารูปร่างบิดไปมาเช่นนั้นมันจะใส่ของได้จริงอย่างงั้นเหรอครับ”
คำพูดมันแทงใจดำ ความรู้สึกเหมือนโดนเอามีดแทงอกสักสิบรอบ….
“ไม่ต้องคิดมาก… นั่นเพราะพลังของข้ามหาศาลเกินไป ดินเหล่านี้จึงรับไม่ไหวและเสียรูปไปเองอย่างที่มันควรจะเป็น”
แน่นอน หากบอกพวกเขาว่าเทพที่จะสอนเรื่องการปั้นนั้นปั้นไม่เป็นคงดูไม่จืด ดังนั้นผมจึงใช้มุกเดิมคืออ้างพลังแห่งเทพแก้ปัญหา แน่นอนว่าทั้งสองคนต่างพยักหน้ายอมรับเหตุผลนี้อย่างง่ายดาย
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง สมเป็นพลังของพระองค์”
“ว่าแต่มันดูคล้ายจะละลายได้ตลอดเลยนะครับ”
ฟายเดอร์พูดพลางมองเครื่องปั้นของผมที่ยังดูมีความชุ่มชื่นอยู่พอสมควร และนั่นคือจุดที่เขามองได้ถูก ปัญหาขั้นแรกของเครื่องปั้นดินเหนียว
“ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องเอามาตากแดด เพื่อไล่พลังแห่งน้ำออกไปเหลือแต่พลังอันเข้มแข็งแห่งดินอย่างไรล่ะ”
ไม่รอช้า ผมนำเครื่องปั้นบางส่วนของผมไปจัดการวางออกมาตากแดดที่ลานหน้าบ้าน รออยู่พักใหญ่ก็เริ่มสังเกตว่ามันเริ่มแห้งจับตัวกันได้ดีจึงได้นำของตัวอย่างบางส่วนยื่นให้กับทั้งสองคน
“ลองถือดูสิ”
“ดูมีความแข็ง แถมบีบแล้วรูปร่างก็ไม่เปลี่ยนไปมาเหมือนเมื่อครู่….. สมเป็นพลังแสงอาทิตย์ขององค์เทพจริง ๆ ค่ะ”
ฟายเดอร์กับยูน่าสำรวจเจ้าเครื่องปั้นของผมไปก็ออกปากชมพลังของผมกันอย่างไม่หยุด
“ส่วนเรื่องรูปร่างนั้น ด้วยเหตุผลเรื่องพลังแบบที่บอกไป ข้าคงไม่อาจทำให้พวกเจ้าเห็นถึงภาชนะแบบที่ข้าใช้ เช่นนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าที่จะสรรสร้างมาให้เหมาะสมกับชีวิตของพวกเจ้า”
ทั้งสองพยักหน้ารับ ผมเห็นได้ถึงเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นที่ปะทุขึ้นมาจากแววตาของพวกเขา แบบนี้ดูท่าจะไปได้แบบไม่มีปัญหาแน่นอน
“ข้ามอบพลัง “ปั้น” ให้พวกเจ้าเป็นที่เรียบร้อย ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าที่จะใช้พลัง “ปัญญา” ในการสร้างมันขึ้นมาแล้วล่ะ”
สรุปโดยรวมแล้ว เพื่อแก้ปัญหาด้านฝีมือของคนสอน ผมจึงจัดการปาขี้ยกเรื่องการสร้างนี้ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา ซึ่งผมคงไม่ทิ้งไปเลยแต่จะไปในฐานะอาจารย์ผู้แนะนำ… ช่างเป็นเทพผู้มีเมตตาจริง ๆ
ไหนจะรอบนี้คนที่จะกระจายคำสอนของผมยังเป็นยูน่าอีก ดังนั้นเรื่องปัญหาการไม่เข้าใจคงไม่น่ามีปัญหา เพราะผมใช้เหตุผลด้านศรัทธาในการสอน เธอจึงเหมาะสมที่สุดในหน้าที่นี้
“หวังว่าจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ”
แน่นอนว่าหลังจากนั้น วิธีการปั้นภาชนะก็เริ่มกระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน พวกเขานั้นไม่ทำให้ผมผิดหวัง ในช่วงแรกนั้นก็อาจมีปั้นออกมารูปร่างแปลก ๆ บูด ๆ เบี้ยว ๆ ทว่าหลังผ่านไปหลายวัน ในที่สุดภาชนะต่าง ๆ ก็เริ่มออกมาให้เห็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นหม้อ ไห จาน หรือแก้ว
ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขานั้นทำด้วยศรัทธาอันมากล้นเกินไปหรืออย่างไร แต่รูปร่างของพวกมันออกมาสวยซะจนเกินกว่าที่ผมจะคิดได้ นี่พวกเขาใช่มนุษย์ยุคหินจริง ๆ ใช่ไหม ทำไมถึงทำออกมาสวยกว่าเทพผู้มาจากยุคปัจจุบันอีกเนี่ย!!!!
น้ำตาจะไหล…..
แน่นอนว่าเมื่อการปั้นเริ่มเป็นไปได้อย่างไม่มีปัญหา พวกเราก็มารอให้มันให้แห้งที่ลานกลางหมู่บ้าน
“ท่านเทพครับ ท่านคิดว่ามันแห้งดีแล้วเหรอยังครับ?”
“น่าจะได้ที่แล้วนะ”
ผมพูดพลางเกาหัวอย่างอดไม่ได้ เพราะที่จริงแล้วตัวผมมันก็ไม่รู้ถึงจุดเหมาะสมของเจ้าเครื่องปั้นพวกนี้เสียด้วย เนื่องจากความรู้ที่ว่านั้น ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เรียนมันก็ปาไปช่วงมัธยมต้น ดังนั้นผมเอาความรู้คืนครูเป็นที่เรียบร้อย
“ทำไม่เจ้าไม่ลองทดสอบด้วยตัวเองล่ะ?”
อุสบาพยักหน้ารับ จากนั้นเขาได้หยิบจานขนาดเท่าฝาบ้านของเขาขึ้นมา โดยหากตัดเรื่องความใหญ่ของมันไป ผมถือว่าเขาทำได้ดีเลยทีเดียว ด้วยรูปทรงโค้งที่พร้อมรองอาหารได้อย่างพอดี แม้จะมีร่องรอยของนิ้วมือเหลือ แต่นั่นก็พอแล้วกับคนที่เพิ่งเรียนไม่นาน
“แห้งดีเลยครับท่านเทพ มันแห้งแล้ว!!!”
อุสบาพูดออกมาอย่างยินดี เรียกทุกสายตาหันมามองทางเขา โดยทุกคนนั้นต่างตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วพลางมาถามผมใหญ่ถึงจานของตัวเอง แน่นอนว่าใช้เวลาพอสมควรกว่าจะจัดการเรียบร้อย
“เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจงนำภาชนะที่ปั้นขึ้นมาของตัวเองมานะ ข้าจะสอนพวกเจ้าถึงวิธีการใช้งานพวกมันเอง”
ผมจัดแจงให้พวกเขาเรียงภาชนะต่าง ๆ จากนั้นก็เริ่มจัดจำแนกประเภทของพวกมันตามการใช้งานอย่างง่าย ๆ โดยใช้ จาน แก้ว และไห ซึ่งหลายคนสร้างจานกันเป็นส่วนใหญ่ซึ่งน่าจะเพราะมันง่าย ไม่ก็ทำตามผมกันล่ะมั้ง
ส่วนที่สร้างมาน้อยสุดก็เป็นไห แน่นอนว่ามันไม่แปลกเท่าไหร่เพราะน่าจะสร้างยากที่สุด แต่ว่าไม่รู้ทำไม ไหที่พวกเขาสร้างนั้นมันดูจะดูดีเกินไปไหม นี่หากให้เทียบแล้วก็น่าจะพอ ๆ กับไหกรีกที่เคยเห็นในพิพิธพันธ์เลยนะ…. เซียนเกินไปแล้ว
“นี่คือจานนะ เอาไว้ใส่ผักหรือเนื้อตามที่พวกเจ้ารู้กัน ส่วนนี้คือแก้วเอาใช้ใส่น้ำดื่ม และก็เจ้านี่ คือไห สิ่งอำนวยความสะดวกไว้สำหรับเก็บน้ำจากแม่น้ำทำให้พวกเจ้าไม่ต้องเดินไปที่แม่น้ำบ่อย ๆ เข้าใช่ไหม”
ผมค่อย ๆ สอนและอธิบายการใช้งานของพวกมันพลางสาธิตให้ดูไปด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ซึ่งผลตอบรับก็เป็นไปได้ด้วยดี ชาวบ้านทุกคนต่างพยักหน้าเข้าใจแล้วเริ่มลองทำตามกันเรื่อย ๆ
และแน่นอนว่าพวกเขานั้นกระตือรือร้นที่จะทำเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่เพราะความสะดวกสบายอะไรทั้งนั้น….
“นี่เจ้าน่ะ อย่าลืมเอาอาหารใส่จานล่ะ ไม่งั้นพลังของท่านเทพจะไม่เข้าถึงตัวของพวกเรา”
“แน่นอนข้าไม่ลืมหรอก ให้ตายสิไม่นึกเลยว่าการกินก่อนหน้านี้จะเป็นการทิ้งพลังแห่งชีวิตที่พระองค์มอบให้พวกเรา”
“ว่าแต่เจ้าไหนี่ถึงจะไม่ต้องเดินไปตักน้ำบ่อย ๆ ก็เถอะ แต่ต้องมารินใส่เจ้าแก้วนี่เรื่อย ๆ ก็ลำบากเหมือนกันนะ”
“เรื่องนั้นน่ะ ข้าได้ยินมาจากยูน่าว่านั่นเองก็เป็นพิธีกรรมที่สำคัญเหมือนกัน ยูน่าบอกว่าการดื่มจากไหตรง ๆ เลยจะทำให้พลังแห่งท่านเทพไหลเข้าร่างกายคนที่ดื่มคนแรก แต่หากใช้แก้วล่ะก็จะเป็นการแบ่งปันพลังให้ทุก ๆ คนอย่างไรเล่า”
“องค์เทพช่างเมตตานัก นอกจากมอบพลังแล้วยังสอนให้พวกเราแบ่งปันอีกด้วย”
“แล้วรู้ไหมว่าเรื่องแก้วน่ะ….”
หลากหลายคำสอนจำนวนมากได้ถูกเล่าต่อกันเรื่อย ๆ ยิ่งเล่าผ่านกันยิ่งดูยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ และหากสืบไปถึงต้นตอ มันก็มาจากแหล่งเดียวกันทั้งหมด ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากยูน่า สาวน้อยผู้สามารถมอบคำสอนสุดกาวให้ในเผ่าของผมนี่เอง
สุดยอดเกินไปแล้ว…..
ผมคิดพลางมองตัวเลขค่าความศรัทธาที่กระดิกขึ้นมาเล็กน้อยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้แต่ขอบคุณยูน่าในใจ
หวังว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรหรอกนะ แต่เอาเถอะ เรื่องภาชนะก็แก้ไปแล้ว คราวนี้มาถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ผมลืมไปดีกว่า
ผมเดินไปหยิบจานของตัวเองที่ตอนนี้มีเนื้อย่างวางเอาไว้อยู่ แน่นอนว่าสิ่งที่ผมจะสอนให้พวกเขาคงไม่ใช่อาหารเลิศรสอะไร เนื่องจากไอ้ผมมันเป็นคนทำอาหารไม่เป็น ชีวิตนี้ทำแค่มาม่าหรือไขตุ๋นก็เท่านั้น… ก็นะ มีโทรสั่งมาส่งถึงบ้านแถมราคาถูก จะทำไปทำไมกัน
“เอาล่ะพวกเจ้า มีอีกอย่างที่ข้าอยากจะมอบให้พวกเจ้า”
“พระองค์จะมอบสิ่งใดให้พวกเราเหรอคะ?”
ยูน่าเอ่ยถามด้วยท่าเอียงคอสงสัย น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยที่กำลังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
“พวกเจ้าได้เรียนรู้วิธีการรับพลังของข้าผ่านน้ำไปเรียบร้อย คราวนี้ถึงวิธีการรับพลังผ่านเปลวเพลิงแล้วล่ะนะ”
แน่นอน หลายคนที่ได้ยินต่างตาเบิกกว้างคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมพูดไป เพราะไฟสำหรับพวกเขานั้นมันก็คือสิ่งที่ให้ความอบอุ่น และมอบแสงสว่าง การจะไปเชื่อมโยงกับการทานนั้นยิ่งดูเป็นไปไม่ได้
แน่นอนต่อให้ผมกินต่อหน้าพวกเขาคงหาเหตุผลแปลก ๆ มาค้านในหัวแน่นอน ดังนั้นหากไม่บอกก็คงไม่รู้
“ข้าจะแสดงให้ดู”
ไม่รอช้า ผมแบ่งเนื้อชินเล็ก ๆ ออกมาแล้วนำมันเสียบเข้าที่ไม้ก่อนจะยื่นมันเข้าไปย่างในกองไฟโดยระวังไม่ให้มือของตัวเองโดนไฟ
ทันทีที่เนื้อเริ่มสัมผัสกับเปลวเพลิง สีแดงสดของเนื้อก็เริ่มค่อย ๆ แปรเปลี่ยนมากลายเป็นสีน้ำตาล น้ำมันจากเนื้อเริ่มค่อย ๆ ไหลซึมหยดย้อยลงมา พร้อมกันกลิ่นหอมหวนชวนน่าทานก็เริ่มส่งออกมาไปทั่ว ๆ บริเวณ
ชาวบ้านที่เห็นแบบนั้นต่างกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดวงตาทุกคู่จับจ้องเนื้อย่างในมือของผมอย่างไม่วางตา
เมื่อได้ที่แล้ว ผมจึงทำการวางเจ้าเนื้อนั้นลงกับจานดินแล้วยื่นมันให้กับยูน่าที่อยู่ใกล้ตัวผมมากที่สุด
“ท่…ท่านเทพคะ สิ่งนี้คืออะไรเหรอคะ มันช่าง….หอมมากเลยค่ะ!!!”
“เนื้อย่างไงล่ะ มาจากเนื้อที่พวกเจ้าทานกันแต่ผ่านเปลวเพลิงด้วยวิธี “ปรุง” จนเข้าสู่สภาวะ “สุก” ลองกินเลยสิกำลังร้อน ๆ อยู่นะ”
ไม่รอช้าผมก็ป้อนเนื้อย่างเข้าไปในปากของเด็กสาวตรงหน้า ทันทีที่เนื้อนั่นเข้าปากของเธอ ดวงตาของยูน่าก็เบิกออกเป็นประกาย เธอค่อย ๆ เคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย ท่าทางของเธอนั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังถ่ายทำรายการชิมอาหารอยู่แน่ ๆ
“นี่… นี่มันอร่อยมาก ๆ เลยค่ะท่านเทพ พลังแห่งการปรุงนั้นช่างเยี่ยมยอดจริง ๆ ค่ะ ไม่ทราบว่าพวกเราสามารถทำแบบเดียวกันได้ไหมคะ?”
“แน่นอนสิ ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ เพราะข้าได้มอบพลังนี้ให้กับพวกเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
แค่นั้นล่ะ… ป่าช้าแทบแตก จากบรรยากาศอันแสนเงียบงัน ประดุจห้องสอบก็แปรเปลี่ยนมากลายเป็นตลาดนัดทันทีเมื่อชาวบ้านทุกคนต่างวิ่งกรูกันเข้ามาหาผมราวกับตัวผมเป็นดาราจากที่ไหนก็ไม่ปาน โดยในมือของทุกคนต่างมีเนื้อเสียบไม้ในมือเหมือน ๆ กัน
อยากทราบวิธีการทำแน่นอน
“ท่านเทพครับ มันต้องทำอย่างไรบ้างครับ!!”
“ก่อนอื่นเจ้าต้องเอาเนื้อไปอยู่เหนือกองไฟ ระวังอย่าให้ไฟโดนมือเจ้าล่ะ ไม่เช่นนั้นจะบาดเจ็บเอาได้”
ผมค่อย ๆ สอนวิธีการทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกันก็บอกถึงข้อควรระวังสำคัญ ๆ ในการทำอาหารไปด้วย
“ค่อย ๆ พลิกเนื้อไปมาเพื่อให้ไฟได้ถูกเนื้ออย่างทั่ว ๆ พลังแห่งแสงจากเปลวเพลิงจะได้เข้าถึงพวกเจ้าอย่างมากล้น พอเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลนั่นคือพวกเจ้ากินได้ แต่ระวังหากปล่อยไว้นานไปมันจะกลายเป็นสีดำ อันนั้นพวกเจ้าห้ามกิน”
“ทำไมอย่างงั้นเหรอคะ?”
แน่นอนว่าคำตอบมันคืออาหารไหม้ ๆ นอกจากรสชาติไม่ค่อยดีแล้ว ยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย แต่ขืนอธิบายแบบนี้ไป พวกเขาคงไม่เข้าใจอย่างแน่นอนดังนั้นผมจึงต้องใช้วิธีเดิม…ไสยศาสตร์
“เพราะระหว่างนั้น เทพแห่งความมืดจะแอบแทรกคำสาปของมันเข้ามาอย่างไรเล่า เมื่อเนื้อกลายเป็นสีดำ นั่นคือสัญญาณว่าเทพแห่งความมืดได้แอบส่งพลังของเขาเข้ามาแทรกแซงการปรุงของพวกเจ้าเป็นที่เรียบร้อย”
ได้ยินเช่นนั้นพวกชาวบ้านก็ทำหน้าตาหวาดกลัวประดุจโดนผีหลอกก็ไม่ปาน หลายคนต่างพากันยกเนื้อย่างของตัวเองมาสำรวจกันทันที คนไหนไม่เจอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่คนไหนมีรอยไหม้ แม้นิดเดียวก็รีบปาทิ้งประดุจเจอหนอนในอาหาร
งานงอกแล้วไง สงสัยจะหนักไปหน่อย!
หลังเห็นผลลัพธ์ที่ตามมาผมก็ถึงกับต้องรีบหาทางแก้ เพราะไม่งั้นหากปล่อยไปเรื่องมันจะต้องบานปลายอย่างแน่นอน
“อย่ากังวลไป หากมีรอยเพียงเล็กน้อยนั้น ด้วยอำนาจของข้า คำสาปที่ผ่านเข้ามาก็สลายหายไปได้อยู่ แต่หากมากเกินไปก็สายเกินแก้… ช่าง น่าเศร้าใจยิ่งนัก”
พูดเสร็จผมก็ตีเนียนทำหน้าเศร้า แน่นอนว่าชาวบ้านที่เห็นแบบนั้นต่างรีบคุกเข่าพร้อมแก้คำพูดของผมทันทีทันใด
“ไม่หรอกครับท่านเทพ! ท่านได้ปันพลังมาให้พวกเรามามากมายขนาดนี้ ทั้งยังปันพลังป้องกันคำสาปให้กับพวกเราด้วย นี่ถือเป็นพระคุณมากจริง ๆ ครับ”
“ใช่ค่ะ แค่ท่านเทพต้องสู้กับเทพแห่งความมืดทุกวันคืนก็เหนื่อยพอแล้ว แต่นี่ท่านยังแบ่งพลังมาช่วยเหลือพวกเราในทุกเรื่อง นี่เป็นความเมตตาอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ค่ะ”
และแล้ว ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะจบลงด้วยดี แน่นอนว่าผมยังต้องการกินอาหารอร่อย ๆ อีกมากดังนั้นจึงไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายเอาไว้
“ยังมีอาหารอีกมากที่พวกเจ้าสามารถใช้พลังแห่งการปรุงได้ จงค้นหาสิ่งเหล่านั้นด้วยพลังแห่งปัญญาของพวกเจ้าเสีย ในตอนนี้ขอให้พวกเจ้ามีความสุขกับมัน ส่วนข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน”
และในวันนี้ มนุษย์ก็ได้รับอุปกรณ์แห่งเทพนามว่าภาชนะ ไม่ว่าจะของศักดิ์สิทธิ์ที่รองรับพลังแห่งเทพที่เรียกว่าจาน หรือภาชนะแห่งการแบ่งปัน ไหกับแก้ว และสุดท้าย พลังแห่งการปรุงอาหารด้วยไฟ…. การทำเนื้อย่าง
——————————————————