Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่1 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้ามันก็ต้องมีพลังเด่นๆสักอย่างสิ
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่1 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้ามันก็ต้องมีพลังเด่นๆสักอย่างสิ
ยอด ยอดไปเลย สุดยอดจนรู้สึกดีใจน้ำตาจะไหล
ในตอนที่ผมกำลังเล่นเกมสายดูดวิญญาณ CIV X กับมิตรสหายแล้วเตรียมตัวจะเข้านอน จู่ ๆ ก็ดันมีคนประหลาดที่อ้างตนเองว่าเป็นพระเจ้าประดุจแบบเดียวกับนิยายตามท้องตลาดทั้งยังมาชักชวนให้ผมไปเป็นผู้มีสิทธิเข้าร่วมของ “สงครามพระเจ้า” อีกด้วย
ฟังดูดี ใช่ ตอนได้ยินครั้งแรกเนี่ย ดีใจจนน้ำตาจะไหล แต่พอมารู้วิธีการคัดเลือกของพระเจ้าแกแล้ว จากน้ำตา มันก็เปลี่ยนมากลายเป็นสายเลือดแทน ทำไมน่ะเหรอ?
ก็เพราะไอ้ผู้ได้รับเลือกให้มาเป็นเหล่าเทพเนี่ย การคัดเลือกนั้นไม่ได้มาจากความสามารถหรือคุณสมบัติพิเศษอะไรทั้งนั้น แต่กลับเป็นโปรแกรมสุ่มบ้า ๆ ของงพระเจ้าบ้า ๆ เนี่ยสิ!!
“เฮ้ ๆ ข้าได้ยินที่เจ้าคิดหมดเลยนะ อย่าดูถูกข้าไปหนุ่มน้อยเอ๋ย ระบบสุ่มที่สร้างขึ้นมาจากอัจฉริยะในรอบหลายล้านปีจะมีหนอย่างข้า รับรองว่าดีอย่างแน่แท้”
ขึ้นชื่อว่าระบบสุ่มมันก็คือสุ่มไม่ใช่เหรอ! จะวางแบบไหนสุดท้ายมันก็จกชื่อออกมามั่ว ๆ ไม่ใช่เหรออย่างไรเล่า
“ให้ตายสิ… ฟังเจ้าพูดแล้วข้ารู้สึกปวดหัว สรุปว่าจะฟังไหม? กฎของเกม ๆ นี้ เกมที่จะทำให้นายได้กลายเป็นเทพผู้อยู่เหนือใครคนอื่นน่ะ?”
…..
ได้ยินแบบนี้ก็ทำเอาผมหูผึ่งขึ้นมาทันที สมองเริ่มขยายความคิดต่าง ๆ มากมายและแปลผลออกมาสาระพัดแบบ
ได้กลายเป็นเทพ ผู้อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เท่ากับสั่งใครให้ไปทำอะไรก็ได้ และขึ้นชื่อว่าสั่งใครให้ไปทำอะไรก็ได้เท่ากับชีวิตอันแสนสุขสบายที่ไม่ต้องทำอะไรมากมายก็มีคนมาคอยเคารพบูชา?!
ขึ้นชื่อว่ามีคนมาเคารพบูชา มันก็ต้องมีสาวสวย และหากโลกที่ว่าเป็นโลกแฟนตาซีมันก็ต้องมีเอล์ฟ!!!
ภาพของผมที่รายล้อมไปด้วยเอล์ฟสาวสาวยมากมายมาคอยปรนนิบัติรับใช้ผุดขึ้นมาอย่างหักห้ามใจไม่ได้ แค่คิดก็รู้สึกมีความสุขจนเผลอยิ้มออกมาแบบแปลก ๆ
“ใจร่ม ๆ ก่อนนะเจ้าหนุ่ม ความหื่นลอยออกมาใหญ่แล้ว”
เพียงคำพูดของพระเจ้าก็ราวกับเหมือนเข็มมาแทงลูกโป่งฟันอันแสนหวานของผมแตกออกจนไม่เหลือแม้แต่เศษภาพของฝันเมื่อครู่ ตอนนี้มีเพียงภาพของพระเจ้าที่เหลือบมองบนดูผมเท่านั้น…. รู้สึกอายจังเลยวุ้ย
“เอาล่ะ ถ้างั้นจะบอกเลยก็แล้วกัน เสียเวลากับทางนายมามกพอแล้วเดี๋ยวคนอื่นที่ฟังเสร็จจะต้องรอนาน”
หลังพูดจบ พระเจ้าก็ดีดนิ้วของเขาหนึ่งที่ก่อนที่ภาพตรงหน้าของผมจะกลายเป็นภาพของผืนดินขนาดใหญ่ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ซูมเข้าไปเป็นภาพของอาณาจักรใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง
“คงต้องเกริ่นสักเล็กน้อยว่านายเองก็รู้ใช่ไหมว่าโลกน่ะ เต็มไปด้วยอาณาจักรอันยิ่งใหญ่มากมาย”
“เอ่อ..ครับ”
ไม่อยากบอกแกเลยจริง ๆ ว่าอย่ามาถามหาความรู้อะไรมากมายกับเด็กน้อยหลังห้องอย่างผม แต่เงียบไว้ไม่เสียหาย
“แต่ก่อนที่มหาอาณาจักรทั้งหลายจะถือกำเนิด ทั้งหมดนั้นมีจุดเริ่มต้นเฉกเช่นเดียวกัน คือชุมชนอันแสนเล็ก เป็นเพียงชนเผ่าที่อยู่กันอย่างไร้ซึ่งความเกรียงไกร”
พระเจ้าดีดนิ้วอีกทีหนึ่งก่อนภาพของอาณาจักรจะหายไปเหลือเพียงแค่หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งที่อยู่กันอย่างสงบและเรียบง่าย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพียงเพื่อการหาอาหารสำหรับอยู่รอด
“และนั่นล่ะคือสิ่งที่ข้าจะให้พวกเจ้าไปดูแล ดูแลชนเผ่าเพียงชนเผ่าเดียวและนำพาพวกเขาไปสู่จุดสูงสุดแห่งความเกรียงไกร”
พระเจ้าพูดไปพร้อมกับก้มหน้าของเขามองลงไปที่ชนเผ่าเหล่านั้น เรียกสายตาของผมให้หันตามลงไปด้วย
“ส่วนวิธีการ จะด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่ที่พวกเจ้าจะสันทัด เทพบางองค์อาจรักในสงคราม ฆ่าฟันเพื่อกดอีกฝ่ายให้อยู่ต่ำกว่า บางองค์อาจรักสันติ ใช้วิธีทางวัฒนธรรมหรือความเชื่อเพื่อครอบงำให้เผ่าอื่นยอมศิโรราบแก่ตน เพราะงั้น นายอยากจะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่นายแล้วกัน”
โหยฟังดูคล้ายกับเกม CIV ที่เพิ่งเล่นไปเมื่อวานเลยนี่นา ยิ่งฟังแล้วยิ่งรู้สึกคันไม้คันมือ ผมยิ่งมั่นใจในฝีมือของตัวเองซะด้วยสิ
“ฟังจุดนี้แล้วอยากถามอะไรไหม”
อืม… ฟัง ๆ ไปแล้วก็ดูดี แต่ขึ้นชื่อว่าดูแลเนี่ย…สงสัยเรื่องระยะเวลาอยู่แหะ เพราะขึ้นชื่อว่าเกมมันก็ต้องมีบทจบหรือลิมิตเวลา ไม่งั้นเล่นกันยันพันปีก็คงไม่จบ
“สงสัยเรื่องเวลาสินะ…หึ ๆ”
ลืมไปว่าเฮียแกอ่านใจคนอื่นได้นี่หว่า เอาเถอะ ถือว่าดีไปอย่าง
“แน่นอน ว่าสงครามระดับที่เทพต้องต่อสู้กันน่ะมันคงไม่สั้นแค่สิบปีหรือร้อยปีหรอกถูกไหม….. เกมจะจบก็ต่อเมื่อเทพของเผ่านั้นจะครองโลกนั่นล่ะนะ”
“เอ่อ…. มันจะไม่นานเป็นหมื่นปีเลยรึ”
ได้ยินผมพูดมาแบบนี้ พระเจ้าก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องตาผมชั่วขณะหนึ่งก่อนยิ้มด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ
“เดี๋ยวพอนายได้เป็นเทพที่มีเวลาแทบจะไม่จำกัด หมื่นปีที่ว่ามันก็แสนสั้นเองนั่นล่ะเชื่อข้าเถอะ”
…..
ระหว่างผมกับเขายังคงจ้องหน้ากัน ภาพเบื้องล่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ภาพของชนเผ่าเริ่มโตมากขึ้นก่อนจะขยายกลายเป็นอาณาจักรและสุดท้ายก็เกิดสงคราม
“อา มาได้จังหวะพอดี มาเข้าสู่เรื่องที่สอง ชะตากรรมของเทพผู้ที่ชนะและพ่ายแพ้”
“ผู้ชนะก็ง่าย เหนือยิ่งกว่าเทพองค์อื่นขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่คนแพ้เนี่ยสิ น่าสนใจตรงนี้”
พระเจ้าเริ่มพูดออกมาอย่างมีลับลมคมใน เขาพูดพลางมองภาพของอาณาจักรที่สู้กันข้างล่าง พร้อมกันนั้นก็มีพลังต่าง ๆ ระเบิดไปมา ไม่ว่าจะเป็นสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างกระหน่ำสลับกับเปลวเพลิงที่แผดเผาพื้นดินและสุดท้ายเปลวเพลิงก็สงบลงเหลือเพียงเสียงกู่ร้องของชัยชนะที่คำรามดุจฟ้าผ่า
คนแพ้งั้นเหรอ? นั่นสิผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ไอ้การที่ได้อำนาจวิเศษอะไรพวกนี้มา มันต้องมีข้อเลือกเปลี่ยนมหาศาลอย่างแน่นอน….หรือว่า….. หรือว่าจะต้องเสียสิ่งสำคัญของชีวิตไปอย่างงั้นเหรอ!
ตุ๊บ
เสียงตบหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามพร้อมกับภาพของพระเจ้าที่กำลังเอามือก่ายหน้าผากอย่างเหนื่อยอ่อนและมองมาที่ผม
“ให้ตายสิ นายจะอ่านนิยายมามากจนเกินไป คืออย่าเพิ่งวิตกจริตกันแบบนั้น”
“รูปแบบที่กดดันเกินไปแบบนั้นน่ะมันไม่มีอะไรดีหรอก อัจฉริยะอย่างข้าน่ะไม่ทำหรอก มันเรียบง่ายกว่านั้นมากก็แค่….. คนแพ้ก็ต้องมากลายเป็นลูกน้องคนนั้นไง”
ห๊ะ? อะไรนะ
“ไม่รู้เหรอ ว่ารูปแบบทางความเชื่อมากมายที่เกิดขึ้นน่ะ มันเกิดจากการที่ฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าควบรวมฝ่ายที่ด้อยกว่าให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตำนานตัวเอง”
พระเจ้าพูดไปพลางก็ผายมือของเขาก่อนที่จะมีรูปตำนานเทพต่าง ๆ ผุดลอยขึ้นเต็มทั่วห้องไปหมด หากพยายามจ้องดูเพียงภาพเดียวก็จะเห็นว่าภาพเรื่องราวมันเป็นแบบเดียวกับที่พระเจ้าพูด
“เพราะงั้น ทันทีที่มีการตัดสินว่าเทพคนนั้นเป็นฝ่ายแพ้ ระบบแห่งศรัทธาของมิตินี้ที่ข้าวางไว้จะทำให้เหล่าผู้ศรัทธาเริ่มตระหนักว่าเทพที่พวกเขานับถือมาตลอดนั้นเป็นลูกน้องของเทพผู้ชนะ หากเทียบง่าย ๆ ก็หากเทพสายฟ้ากับเทพสงครามรบกัน แล้วเทพสายฟ้าชนะ คนก็เชื่อว่าเทพสงครามเป็นลูกน้องแบบที่อาเรสเป็นเทพลูกน้องซุสไง”
เปรียบเทียบได้ดีไปเลย…. ว่าแต่ เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าความจริงคืออาเรสไปรบแพ้ซุส เลยทำให้คนยุคปัจจุบันคิดว่าเขาเป็นลูกน้องตาแก่หื่นกามอย่างซุสน่ะ
“อืม… ก็คล้าย ๆ แบบนั้นล่ะ แต่ถ้าจะเอาตรรกะรูปแบบเทพมาคิดในรูปแบบมนุษย์มันคงอธิบายได้ยาก ไว้นายเข้ามาสัมผัสเองก็จะเริ่มเข้าใจเองนั่นล่ะนะ”
ผมได้แต่พยักหน้าอย่างเดียว เพราะรู้สึกว่าหากให้พระเจ้าอธิบายให้จนผมเข้าใจ เกรงว่ายันอายุสามสิบผมคงจะยังได้แต่อ้าปากค้าง เพราะงั้นรอสัมผัสจริงแบบที่เขาบอกน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่าเพราะไงมันก็เป็นผลหลังจากการตัดสินของแพ้และชนะ น่าจะไม่มีผลอะไรมากมาย
แปะ
พระเจ้าปรบมือหนึ่งทีก่อนที่ภาพเบื้องล่างของพวกเราจะถูกแทนที่ด้วยพื้นสีขาวอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาแบบสบาย ๆ
“เอาล่ะ ๆ เรื่องแสนซีเรียสจบไป มาเรื่องที่สำคัญที่สุดจะดีกว่า”
พระเจ้ายื่นมือของเขาออกมา พร้อมกันแรงกดดันมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากร่างของเขาก่อนภาพของโลกที่ปั่นป่วนไปด้วยพลังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพายุที่โหมกระหน่ำ ภูเขาไฟที่ปะทุเดือด ฝนดาวตกที่แทบจะนำมาซึ่งจุดจบ
“พลัง”
และทันทีที่เขากำมือ ภาพของภัยพิบัติก็จบลง ก่อนถูกแทนที่ด้วยภาพอันสวยงาม พื้นดินอันแสนแห้งหลังผ่านพายุและเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนได้ถูกแทนที่ด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่ขยายอาณาเขตไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมกันความมืดมิดได้สลายหายไปก่อนถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างอันแสนอ่อนโยน
“ขึ้นชื่อว่าเทพมันก็ต้องมีพลังถูกไหม พลังแห่งปาฏิหาริย์เหนือกว่าที่สิ่งมีชีวิตไหนจะทำได้ พลังที่แทบจะพลิกเปลี่ยนสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดี จากดีกลายเป็นร้าย”
พระเจ้านำมือทั้งสองข้างมาประกบก่อนจะแยกมันออกจากกัน ที่ช่องกลางตรงนั้นก็เกิดเป็นภาพกระดานโฮโลแกรมขนาดใหญ่เกิดขึ้นมา
“โห สุดยอดเลยแหะ อย่างกับอยู่ในหนังไซไฟ”
“หึ ๆ แค่ปรับให้เหมาะสมกับการรับรู้ของแต่ละคนนั่นล่ะ หากเป็นคนที่มาจากยุคหรือโลกที่ต่างออกไปจากนายคงต้องใช้อีกแบบ ถ้าเป็นพวกยุคกลางคงต้องเป็นกระดาษหรือคัมภีร์ ส่วนคนที่มาจากยุคไกลกว่านายก็จะเป็นอะไรในรูปแบบที่นายคิดถึงเลยล่ะ”
ฟัง ๆ ไปตอนแรกผมพยักหน้าตามเฉย ๆ แต่มาสะดุดอยู่ประโยคเดียว…. ยุคและโลกที่ต่างออกไป? หือ?!!!!
“เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวก่อนนะคุณท่านพระเจ้า ผมไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหมว่ามีคนที่มาจากต่างยุคกับต่างโลกน่ะ… ไม่สิ ๆ ต่างยุคยังพอว่าแต่เมื่อครู่เหมือนได้ยินว่าต่างโลก! ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?”
“หึ ๆ แน่นอนได้ยินไม่ผิดหรอก เข้าใจว่ามันอาจจะเหนือความรู้ที่มีอยู่ของนาย แต่ที่ ๆ พวกเราอยู่น่ะ มันใหญ่กว่าที่นายคิดไว้ มีหลายโลกและหลายมิติอีกมากมายที่นายไม่เคยได้สัมผัส แต่ยืนยันได้ ว่ามิติมันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการนายจะคาดถึงแน่นอน”
“แบบนั้นมันก็โกงน่ะสิ!!!”
ได้ยินมาแบบนี้ผมก็เผลอตะโกนโพล่งออกมาแบบอดไม่ได้ เนื่องจากมีอะไรบางอย่างแทบจะมาสะกิดใจผมแบบเต็ม ๆ
“งานนี้พวกมีความรู้เวทเทพ ๆ หรือพวกเทคโนโลยีล้ำ ๆ มันก็โกงน่ะสิ แบบ ระหว่างที่ผมเอาทหารวิ่ง ๆ อยู่พวกนั้นได้เอารถบินได้หรือดาวเทียมยิงเลเซอร์มากวาดกองทัพผมแล้วเรอะ!!!”
“ฮ่า ๆ ใจเย็นสหาย ๆ นายอาจจะคิดมากเกินไป แต่ให้พูด…อืม ก็คงได้ประโยชน์จากจุดนั้นแต่คงต้องบอกนายว่า สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้โกงอะไรขนาดนั้นหรอก เชื่อข้าเถอะ”
พระเจ้าหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับหันมายิ้มให้ผมอย่างขำ ๆ ส่วนผมที่ได้ยินเหตุผลแบบนี้ไป ได้แต่ส่ายหัวอย่างเดียว เพราะจะนิยายไหนก็ตามที่ผมอ่านมา ไอ้พวกมีความรู้เก่าติดตัว โดยเฉพาะพวกล้ำ ๆ เนี่ย โกงเรียงตัวเลย!
“บางทีนายอาจจะอ่านนิยายมากเกินไปจนวิตกจริตเกินเหตุ ขอแนะนำให้ใจร่ม ๆ แล้วเอาพลังพวกนี้ไปดูพลาง ๆ ก่อนน่าจะดีกว่านะ”
พระเจ้ากวาดมือหนึ่งครั้ง หน้าจอโฮโลแกรมได้บินเข้ามาหาผม ซึ่งเพียงแค่มือสัมผัส มันก็หยุดลงแบบเดียวกับในหนังที่ผมเคยดู ทำเอาใจผมเต้นตึก ๆ อย่างตื่นเต้น
มือข้างหนึ่งกวาดเลื่อนหน้าจอไปเรื่อย ๆ ขณะที่ดวงตาทั้งสองเบิกโตมองพลังต่าง ๆ ที่ไหลผ่านมาในหน้าจอ
มีแต่พลังชั้นเยี่ยมทั้งนั้นเลยวุ้ย พวกพลังสายทำลายล้างก็ใช่ย่อย ใช้ทีล้างบางได้ทั้งกองทัพ ไม่สิ บางพลังนี่ใช้ทีเมืองหายได้ทั้งเมืองเลยมั้ง
แต่นอกจากพลังพวกสายทำลายล้างแล้วยังมีสายสนับสนุน พวกนี้น่าสนใจกว่าเยอะแหะ เพราะจะสร้างอาณาจักรทั้งทีหากมีพวกสนับสนุนการเพาะปลูก คุมสภาพอากาศ หรือเร่งประสิทธิภาพการทำงานก็ทำให้เจริญเร็วและหลีกเลี่ยงพวกตัวปัญหาใหญ่ในเกมอย่างภัยแล้งได้เหมือนกัน
ว่าแต่พลังเนี่ย มันให้เลือกแบบบุฟเฟ่ตหรืออย่างไร ทำไมมันกดได้เรื่อย ๆ แบบไม่มีหยุด
ระหว่างที่ผมเลื่อนดู ผมก็เห็นปุ่มกดติ๊กเลือดพลังได้ซึ่งเมื่อผมลองกดติ๊กไปเรื่อย ๆ มันก็สามารถติ๊กได้แบบไม่มีหมดไม่มีสิ้น…..หรือว่านี่ผมจะได้ช่องว่างของระบบมาแล้ว…. นี่ผมได้พลังโกงมาแล้วใช่ไหม!!!
ตอนนี้ผมเริ่มวาดภาพของตัวเองในลุคของเทพสุดเทพดุจในนิยายที่เคยอ่านบนเวป สามารถยิงพลังได้แบบไร้ที่สิ้นสุดจนไม่มีเทพคนไหนจะมาหยุดผมได้… นี่มันสุดยอดไปเลย
“ไหนเลือกได้เหรอยัง”
“ได้แล้ว กำลังเลือกอย่างสนุกเลย”
“ไหนดูสิ….. เฮ้ย นี่แกเลือกมันหมดทุกพลังเลยไม่ใช่เหรอไง”
พระเจ้าพูดออกมาอย่างตกใจ สวนทางกับผมที่กำลังยิ้มอย่างสะใจขณะที่มือยังคงกดติ๊กพลังเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด
ใช่! ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งความเทพของผมได้!!!
“ให้ตายสิ ก็เข้าใจอยู่ว่าคนสมัยนี้ใจร้อนอยากเป็นเทพสุดแกร่ง แต่นายน่าจะใจเย็นแล้วดูอะไรให้กว้างขึ้นมากกว่านี้นิดนึงนะ”
พระเจ้าพูดเสร็จก็เลื่อนนิ้วของเขามาเคาะที่มุมขวาบนเรียกให้ผมกรอกตาไปมองตาม สิ่งที่เห็นทำเอาดวงตาแทบทะลักพุ่งหลุดออกมาจากเบ้า
สิ่งนั้นไม่อะไร มันคือตัวเลขบางอย่างที่เป็นตัวเลขของผลรวมเลขอะไรบางอย่าง เลขที่พุ่งทะลุไปยังหลักล้าน
“อย่า…อย่าบอกนะว่า…..”
เพียงจุดนี้ ใบหน้าที่สงบมาพักหนึ่งของพระเจ้า ก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ไม่สิ มันเป็นรอยยิ้มที่เอ่อล้นไปด้วยความสะใจอะไรบางอย่างแถมเป็นแบบจัดเต็มด้วย
“ใช่ จะเลือกพลังมันก็ต้องมีแต้มที่จะใช้ในการซื้อก่อนสิ”
แล้วจะให้ผมมาเลือกพลังล่วงหน้าก่อนทำมะเขืออะไรกันละเนี่ย!!!….. ไม่สิ หรือว่า!
“เดี๋ยวนะ ที่คุณพระเจ้าให้มาเลือกพลังก่อนที่จะบอกเรื่องนี้นี่…..อย่าบอกผมนะว่า”
ยิ่งมองก็ยิ่งไม่น่าไว้ใจ ผมมองพระเจ้าไปพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ผมเริ่มอ้าปากค้างกับคำตอบที่เขาตอบกลับมา
“เพราะอยากเห็นเวลาคนที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นเทพที่มีพลังเยอะประดุจพระเจ้าก่อนที่จะหน้าเหวอเพราะแต้มไม่ถึงไงล่ะ”
นี่นายเป็นพระเจ้าจริง ๆ ใช่ไหม!!! พระเจ้าที่ไหนมันจะมาทำตัวบ้าบอเพื่ออยากเห็นคนทำหน้าเหวอกันฟะ
“แต่ก็นะ เหนือคาดไปหน่อยที่นายเล่นเลือกมาซะหมดแบบนี้ บางคนหน้าเศร้าเวลารู้ว่าคอมโบที่ตั้งไว้มันดันแตกเพราะแต้มไม่พอ”
ทำหน้าเหมือนคาดไม่ถึง แต่ใบหน้านี่นิ่งเฉยมาก คือดูอย่างไรก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไงว่านายรู้ว่าผมคิดทำอะไรเพราะอ่านใจได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง
“เอาเถอะ มาเอาแต้มสำหรับเลือกพลังแล้วกัน สิ่งจำเป็นก็….นี่รับดี ๆ ล่ะ”
พระเจ้าพูดก่อนจะตัดบทสนทนาด้วยการโยนของบางอย่างเข้ามาทางผมอย่างรวดเร็วจนผมเกือบรับไม่ทัน ในใจก็ได้แต่แอบบ่นว่าทำไมไม่มาส่งหรือแสกให้มันดี ๆ ซะหน่อย
“นี่มัน…ลูกเต๋าอย่างงั้นเหรอ?”
ผมมองไปที่ของที่ได้มาอยู่ในมือ โดยมันเป็นลูกเต๋าที่เรียงเลขตั้งแต่ 0-9 ซึ่งเป็นเต๋าที่เห็นได้ในบอร์ดเกมบางบอร์ดซึ่งตัวผมก็ไม่ค่อยจะสันทันกับมันสักเท่าไหร่
“เต๋าสิบหน้า… รูปแบบมันก็ง่าย ๆ ในมือของข้ามีลูกเต๋าอยู่ห้าลูกเดี๋ยวจะส่งให้ทีละลูกซึ่งหน้าที่ของนายก็คือเอาเต๋านั่น ไปใส่ลงในกระป๋องที่อยู่ข้าง ๆ นายซะ”
ผมทำตามที่พระเจ้าบอก ก่อนที่จะใส่เต๋าลงไปในกระป๋องพร้อมกันก็รับเต๋าอันใหม่มาใส่ลงในกระป๋องเรื่อย ๆ ตามที่พระเจ้าแนะนำ ในใจก็เริ่มตงิดทีละนิด ๆ ว่าที่ผมทำอยู่เนี่ย มันช่างคล้ายกับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ส่อแววเข้ากับอะไรที่ถูกเรียกว่า….การพนัน
“ใช่ ๆ หลังจากนั้นนายก็เอากระป๋องนั่นพร้อมกับเขย่าขึ้นลง ๆ แล้วขอพรกับเทพเจ้าละกันนะ”
…..
ชัดเลย ไม่ต้องสืบเลยว่านี่มันชักคล้ายกับไอ้เกมบางอย่างที่ต้องตะโกนสูงต่ำเวลาทอยไปแล้ว!
“เอาเถอะ ๆ ได้เลขอะไรมาก็จับเอามาคูณกัน ได้ผลรวมเท่าไหร่ แต้มที่นายสามารถเลือกได้ก็เป็นเท่านั้นนั่นล่ะ”
เมื่อผมจับกระป๋องลูกเต๋าขึ้นมาพร้อมกับเขย่าตามที่พระเจ้าสั่ง เสียงของลูกเต๋าก็ดังขึ้นมาข้างใน หัวใจของผมก็เต้นตึกตัก ๆ เต้นไปตามกับจังหวะของเสียงลูกเต๋า
นี่มัน…. นี่มันหน้าเต๋าที่จะตัดสินชีวิตการเป็นเทพของผม! โอ้ โอ้ แต้มอันสูงส่งของผมจงเผยร่างของนายออกมา!!!
“เลขศูนย์ให้นับเป็นสิบนะ”
“รู้แล้วอย่าเพิ่งขัดจังหวะน่า!!!”
“อินเกินไปมั้ง”
ไม่องไม่อินเกินอะไรทั้งนั้นล่ะ ไอ้เต๋าที่ผมกำลังเขย่าอยู่นี่น่ะ มันกำลังเป็นเต๋าที่ตัดสินชีวิตแห่งการเป็นเทพของผมต่อจากนี้เชียวนะ! มันจะมาล่อเล่นได้ที่ไหนกันเล่า!!!
ผมเอาหูไปแนบเข้ากับตัวแก้ว จากนั้นหลับตาลงและถ่ายเทจิตของตัวเอง พลังใจของตัวเองเข้าไปในลูกเต๋าทั้งมวลที่อยู่ข้างใน ภาพของเลขศูนย์เรียงยาวนับหกกำลังหลั่งไหลภายในมโนภาพของผมและถูกส่งออกไปอย่างแน่วแน่
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ภาพของลูกเต๋าที่เด้งไปมาเรื่อย ๆ ถูกเขียนไว้เป็นภาพในหัวของผม ด้วยวิธีเดียวกับพวกจอมยุทธ์จีนในหนังที่ใช้ประสาทสัมผัสรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว มันจะนำพามาซึ่งคะแนนอันล้นหลาม!
ไปเลย พลังใจทั้งหมดของผม!
เคร้ง!
เมื่อเสียงของเต๋าลูกสุดท้ายหยุดลง ราวกับมีประกายแสงบางอย่างในใจของผมส่องสว่างออกมาพร้อมทั้งเปลวเพลงแห่งความมั่นใจที่พุ่งเกินล้าน
“แสดงตัวตนของนายออกมาเลย อนาคตของผม!!!”
ผมเปิดตัวกระป๋องขึ้นก่อนโยนมาทิ้งแบบไม่สนใจ ดวงตาทั้งสองรีบเพ่งมองไปที่ตัวเลขซึ่งแสดงตนเองมา โดยเต๋าลูกแรกได้แสดงตัวเลขของมันออกมา ซึ่งก็คือ…
1…..
ยำอีกครั้ง หมายเลขที่ออกคือ 1
ม่ายตาของผมแทบเบิกออกกว้าง หัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงนั้นเต้นถี่รัวหนักกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่ห้องมันไม่ได้หนาวเหน็บอะไรที่ไม่รู้ทำไมความหนาวเย็นมันถึงหนางถึงจิตใจ
1…… เป็นเลขที่หากเอามาอยู่ในคูณก็เถอะว่าบ้าบอที่สุดในโลก เพราะมันแทบไม่ได้เพิ่มอะไรขึ้นมาเลยสักนิด!!!
โอเค ไม่เป็นไร มองในแง่ดีเอาไว้อรุณเอ๋ย ถึงแม้พลังระดับระเบิดดวงดาวของนายจะหายไป แต่นายยังเป็นเทพระดับถล่มทวีปได้อยู่
ไม่รอช้า ผมรีบเหลือบตาไปมองเต๋าลูกถัดไปที่ยังคงมี ด้วยดวงใจที่ยังเหลือไฟแห่งความหวังซึ่งยากต่อการดับมอด
1!!!!!
บ้าน่า แล้วตัวถัดไปล่ะ!
1!
ย้ำอีกครั้ง 1 สามตัวติดกัน พลังแห่งพระเจ้าผู้ซึ่งระเบิดได้ซึ่งแม้แต่ดวงดาวเริ่มล่วงหล่นจนไม่รู้ว่าแม้แต่กองทัพยังจะระเบิดได้หรือไม่
“โห หนึ่งติดกันมาสามลูก คือ….ต้องถามแล้วล่ะว่าดวงของนายทำด้วยอะไร งานนี้พลังสูงสุดที่พอเป็นไปได้คงเหลือแค่หนึ่งพัน”
จะย้ำให้ช้ำใจไปทำไม!!! ยิ่งฟังแล้วยิ่งเจ็บช้ำ แต่ไม่เป็นไร ชีวิตแห่งเกมเมอร์ต้องไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ถึงจะร่วงหล่นจากเทพแห่งการต่อสู้ไป แต่พลังระดับนี้ยังเป็นเทพแห่งการฟื้นฟูที่ทำให้พืชพรรณ์โตเร็ว มันยังพาให้อาณาจักรโตได้อยู่
เอาฟะ อย่างน้อยก็ยังพอเป็นเทพแห่งอารหารได้!……
1 1
ยังไม่ทันได้ปลอบใจตัวเองจนจบ เลขหนึ่งอีกสองตัวมันก็พุ่งเข้ามาแทงตาผมจนแทบจะทะลุสมอง ก่อนลากวิญญาณที่กำลังจะหลุดลอยของผมให้หลุดพุ่งทะลุไปยังจักรวาลอันไกลโพ้น
ซวย… นี่มันจะซวยไปไหม คนบ้าอะไรมันจะได้หนึ่งติดกันมาห้าตัว แบบนี้คะแนนสูงสุดก็คือสิบ มากสุดในชีวิตของการเป็นเทพคราวนี้หากสวรรค์ยังเมตตา ที่ทำได้มากสุดในชีวิตคงเป็นการปลูกหญ้า
เอาน่า อรุณเอ๋ย ต่อให้เป็นเทพที่ทำได้แค่ปลูกหญ้า นายคงทำอะไรได้บ้างล่ะน่า ในความซวยทั้งหลายคงยังมีความโชคดีอะไรหลงเหลืออยู่
ดวงตาผมค่อย ๆ เหลือบไปทีล่ะนิด ๆ เสียงของหัวใจก็เริ่มเต้นดังขึ้น ดังขึ้น พร้อมกันในใจของผมก็เริ่มทำการอธิษฐาน
โอม…. เทพเจ้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวตนอันใดหรือผีบ้าซาตานอันใด หากเลขที่ออกต่อไปไม่ใช่หนึ่ง ตัวกระผมนั้นยินดีจะวิ่งแก้ผ้ารอบศาลาวัดแก้บนแบบไม่ปริปากบ่นเลยไม่แต่น้อย!
“ในฐานะที่เป็นพระเจ้าคนหนึ่ง…. ถ้าได้ยินใครมาบยแบบนั้นล่ะก็ บอกเลยว่าอยากปัดทิ้ง ใครมันจะอยากไปดูคนบ้าวิ่งเต้นแก้ผ้า”
ผมพยายามใช้ความกล้าและความหวังที่ยังคงไม่ดับมอด ค่อย ๆ เลื่อนมือของตัวเองออกอย่างช้า ๆ เพื่อดูปลายทางแห่งอนาคตที่มีเพียงแสงอันเลือนรางยังคงส่องสว่าง
จงเผยตัวตนออกมาซะ มายนัมเบอร์!!!
.
.
.
1…..
บ้าบอเอ้ยยยยย หนึ่งอีกแล้วเหรอ!!! นี่มันเรื่องอะไรกัน ถ้านี่เป็นการซื้อหวยล่ะก็ แถวบ้านผมคงต้องเรียกว่าโดนหวยแดกซ้ำแดกซ้อน แดกทั้งชาติ…. แม่เจ้า พลังรวมเบ็ดเสร็จหนึ่ง
อีแบบนี้แม้แต่จะปลูกหญ้าก็ยังไม่ขึ้นเลยไม่ใช่เหรอไงเล่า!
“ฮ่า ๆ โอ้ย ขำ ขำแบบไม่ไหวแล้ว ว่าจะไม่หัวเราะใครแล้วนะ แต่แบบนี้มันเกินไปวุ้ย นายมัน…สุดยอดไปเลย ทอยเต๋าออกมาออกหนึ่งหมด… ถามจริง นี่ไปทำบุญวัดไหนมา ข้าจะได้หลีกห่างวัดนั้น ฮ่า ๆ”
พระเจ้าที่ตอนนี้ไม่เก็บอาการของตัวเอง นอนหัวเราะชักดิ้นชักงอพร้อมกับทุบพื้นอย่างสะใจไปมา รัว ๆ สวนทางกับผมที่นั่งก้มร้องไห้น้ำตาออกมาจนเป็นสายเลือด
“เอ่อ ฮ่า ๆ ตามหลักที่ต้องทำก็ ฮ่า ๆ สรุปคะแนนของนาย…. โอ้ยย เหนื่อย”
“พอเถอะไอ้คุณพระเจ้า แค่นี้ผมก็อยากจะร้องไห้เป็นสายเลือดแล้วนะ!!!”
“พลังแห่งพระเจ้าของนายคือ…หนึ่ง ยินดีด้วย เทพองค์ใหม่”
“ดีใจกับผีสิ!”
พระเจ้าที่ตอนแรกหัวเราะทุบพื้นอย่างสะใจ ตอนนี้ได้มาปรากฏร่างอยู่ข้าง ๆ ผมพร้อมกับใช้มือตบที่บ่าของผมเบา ๆ คล้ายอยากช่วยปลอบใจ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็โชวแสดงภาพบอร์ดโฮโลแกรมให้ผมดู
“เอาน่า ๆ อย่างน้อย ก็ยังมีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่นายยังสามารถใช้ได้นะ”
พลังเปล่งแสง
ค่าพลังที่ใช้ 1
คำอธิบาย สามารถทำให้ตัวคุณส่องสว่างมีออร่าชวนดูขลัง นับเป็นตัวเลือกเสริมที่ดีสำหรับส่งเสริมบารมีตัวเอง ทั้งยังทำให้ตัวท่านดูมีสง่าสมเป็นเทพอย่างหาใครเปรียบไม่ได้
พลังบ้าอะไรเนี่ย โคตรไร้ค่าเลยวุ้ย!
คือ ก็สมกับเป็นพลังที่ใช้เพียงแค่หนึ่ง แต่ถามจริงเถอะ เจ้าพลังแบบนี้มันก่อเกิดประโยชน์อะไรในชีวิตของความเป็นเทพกันห๊ะ
ศัตรูบุกมาแล้วเปล่งแสงเรอะ…. โดนทุบหัวแตกตายก่อน เกิดภัยแล้งในอาณาจักรแล้วเปล่งแสง…..ได้โดนชาวบ้านเอาอีโต้ไล่ปาข้อหาไร้ประโยชน์ก่อนพอดี
“อย่าคิดมากขนาดนั้น ถึงพลังเริ่มต้นอาจจะดูสิ้นหวังไปบ้าง แต่ระหว่างทางหากนายทำภารกิจหรือทำเงื่อนไขบางอย่างสำเร็จ พลังมันก็พัฒนาไปเอง แถมบางทีอาจได้พลังใหม่ด้วยเพราะงั้นอย่าเพิ่งรีบคอตกไป”
“แปล….แปลว่าพลังเปล่งแสงแปลก ๆ นี่ยังสามารถพัฒนาได้อยู่สินะ! แบบ แบบเอามาเป็นแสงเลเซอร์ยิงกองทัพระเบิดอะไรแบบนั้น”
“ก็แย่แล้ว…. นายจะให้พลังระดับหนึ่งพุ่งไปได้ขนาดนั้นสงสัยต้องรออีกยาว พลังที่มันจะพัฒนาก็ต้องเป็นแบบเดียวกันสิ อย่างทำให้ท้องฟ้าเปล่งแสงได้ ทำของที่สัมผัสเรืองแสงได้ โอ้ย อย่างเท่ ยิ่งดูสมเป็นเทพเข้าไปใหญ่ แบบหนังที่นายดูไง เวลาพวกตัวเทพ ๆ มาปรากฏตัว ชอบมีแสงมาโผล่นำทางไง”
โคตรไร้ค่า
“ระหว่างที่ผมกำลังโชว์ความเท่ ตอนนั้นศัตรูคงได้ยังแบล็คโฮไม่ก็ฌเฮอริเคนมาเป่ากองทัพกับเมืองผมกระจุยหมดแล้วมั้งครับ”
คือลองคิด ดูดี ๆ สิ ตอนก่อนหน้าที่อ่านพลังหลาย ๆ อย่าง มันมีพวกพลังสุดเวอร์อย่างเรียกดาวตก สร้างพายุ เสกซึนามี ขืนเจอพวกนี้วิ่งเล่นแถวเมืองเกิด บ้านเมืองผมได้เละเป็นโจ๊กแบบไม่ต้องสืบ
“อย่าเพิ่งวิตกกังวลเกินไปเลย มาฟังกฎอีกข้อก่อนน่าจะทำให้หัวใจนายชุ่มชื้นขึ้นนะ”
“กฎอีกข้อ?”
“กฎการใช้พลัง”
พระเจ้าพูดเสร็จ เขาก็เดินถอยห่างจากผมไปไม่กี่ก้าวแล้วหันหลังไปก่อนจะโบกมือของเขาทีหนึ่งพร้อมปรากฏภาพของเหล่าเทพที่กำลังใช้พลังซัดใส่กันโดยมีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเติมมาคือตัวเลขที่แปะอยู่เหนือหัวเทพเหล่านั้น
“หากพลังมันสามารถใช้ได้อย่างง่ายดายดั่งใจนึกจนพวกทอยเต๋าได้พลังเยอะเกินเหตุแล้วอัดมาแต่พลังที่เหนือกว่าจินตนาการพวกนั้นสามารถใช้แบบไม่มีหมด… เกมชั้นเลิศของข้าคงได้กลายเป็นเกมเกรดล่างพอดี… เพราะงั้นจึงต้องมีสิ่งที่ใช้ควบคุมสักเล็กน้อย”
“สิ่งที่ควบคุมนั่นคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับเหล่าเทพ…..ค่าศรัทธา”
พระเจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ จากภาพที่เขาแสดงให้ผมดู ค่าศรัทธานั้นมันเป็นดั่งพลังเวทของเหล่าเทพซึ่งยิ่งพลังแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียมากเท่านั้น
“พลังของเหล่าเทพนั้นล้วนเกิดจากศรัทธาที่ผู้ติดตามของเขาถวายจิตใจทั้งมวลให้ ซึ่งยิ่งมีผู้คนศรัทธามาก พลังก็ยิ่งเพิ่มมากตาม….ส่วนรายละเอียดไว้หลังใช้จริงจะบอกอีกที ไปฟังเรื่องทอื่นก่อนน่าจะดีกว่า”
พระเจ้าตัดบทเปลี่ยนเรื่องทันที พร้อมกันภาพของเทพทั้งสองที่สู้กันตรงหน้าผมก็ดับลงไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพของผู้คนที่มีมากหน้าหลายตา หลากหลายเผ่าพันธุ์
“สิ่งสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มเกม นายยังต้องเลือกอีกอย่าง…เผ่าพันธุ์”
เอล์ฟ!!!!
ผมเริ่มคิดสภาพของสาวน้อยเอล์ฟผู้น่ารักที่เดินไปมาอยู่เต็มทั่วหมู่บ้านพร้อมกับกล่าวคำบูชาสรรเสริญตัวผม ภาพนี้มันเป็นดั่งหนึ่งในน้ำเลี้ยงสุดท้ายให้แก่หัวใจอันแห้งผากของตัวเทพผู้ไร้ซึ่งพลังอย่างผมเป็นอย่างดี
“ใจเย็น ๆ อย่างแรกเรื่องเผ่าพันธุ์นายก็รู้ว่าแต่ละเผ่ามีความแตกต่างทางด้านร่างกาย นั่นทำให้จุดเด่นของพวกเขาต่างกัน เช่นเอลฟ์ มีสัมผัสถึงเวทได้ดีจึงเก่งเวท คนแคระที่ประสาทมือและร่างอันแข็งแกร่งจึงเก่งการสร้าง เผ่ามนุษย์กิ้งก่าที่พริ้วไหวปลาดเปรี่ยวก็เก่งเรื่องการเคลื่อนตัวเองอย่างว่องไวในป่า”
พระเจ้ากล่าวไปพร้อมกับแสดงภาพของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่ทำหน้าที่ของตัวเองไปเรื่อย ๆ ให้ผมดู แน่นอนว่าตัวผมก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วเพราะมันช่างคล้ายกับหลาย ๆ เกมที่ผมเคยเล่นมา
“อืมมม ให้เปรียบง่ายๆ ในรูปแบบเกมที่เจ้ากับเพื่อนเล่นกันก็คงเป็น เอลฟ์จะได้บัฟในเรื่องความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยีเวท ส่วนคนแคระก็จะดีในด้านความเร็วการสร้าง พวกกิ้งก่าก็จะมีค่าการต่อสู้ในสายที่ใช้ความเร็วและรบบริเวณบึงได้ดีขึ้นอะไรแบบนี้”
สรุปง่ายดีแบบนี้ผมชอบ แต่แน่นอน เรื่องจุดเด่นน่ะช่างมันเถอะ ตอนนี้จิตใจอันแสนเศร้าของผมนั้นเรียกร้องอยู่เพียงหนึ่งเดียว เอล์ฟ! เอาเอล์ฟมา!!!
“ในทางกลับกัน เมื่อมีดีก็มีเสีย อย่างการผลิตทางวิศกรรมหรือการก่อสร้างเนี่ยพวกเอลฟ์ก็ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่นอกจากนายจะหาพวกเทคโนโลยีเวทมนต์ที่ช่วยในการเสริม คนแคระนี่ก็ไม่เก่งในด้านเวทมนต์เลยเพราะสัมผัสต่อเวทของพวกเขามันน้อย อะไรแบบนั้น”
ก็หลักของการดีบัฟและบัฟทั่วไป แต่เรื่องนั้นใครสนกันเล่า เอล์ฟ!!! Just Elf
“ให้ตายสิ ความสิ้นหวังมันกลืนกินจิตใจคนเราได้ขนาดนี้เลยเหรอไงเนี่ย”
พระเจ้ามองมาทีผมอย่างเอือมระอา ส่วนผมนั้นหาได้ใส่ใจไม่ มีเพียงดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นทั่วนั้นที่ผมส่งไปให้เขา
“ที่จริงก็มีข้อรายละเอียดปลีกย่อยอย่างเรื่องความสามารถในการผลิตประชากรกับพวกอายุขัยหรืออะไรอีกมากมายละนะ แต่ดูจากสภาพเจ้า…..เรื่องพวกนี้ข้าคิดว่าไปเรียนรู้เอาเองน่าจะดีกว่างั้นก็ขอไปหัวข้อสุดท้ายสำหรับเรื่องนี้ละกัน”
“นั่นคือ….การเลือกเผ่าพันธุ์เองก็ต้องใช้ค่าพลังในการทอยสุ่ม”
เอ็งอีกแล้วเหรอ!
ผมสบถบทด่าในใจพร้อมกับเหลือบมองค่าพลังที่เหลืออยู่ของผมนั้น ซึ่งตัวเลขที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นมันช่างสวยงาม เป็นการแสดงถึงความโค้งมนของตัวเลขได้เป็นอย่างดี….ศูนย์
คิดแล้วเศร้าใจ แบบนี้เท่ากับผมเลือกอะไรไม่ได้เลยนี่หว่า…. โถ่ ๆ เอล์ฟสุดสวยของผม…ลาก่อนนะ
ว่าแต่…. เดี๋ยวนะ พลังเหลือศูนย์อย่างนี้ไม่ใช่ว่าเผ่าเดียวที่ผมเลือกได้คืออะมีบาหรอกนะ แบบนั้นมันก็โหดร้ายกับชีวิตเกินไปแล้วมั้ง
“ก็เกินไปจริง ๆ นั่นล่ะ”
“แล้วถ้าอย่างนั้น ผมยังเลือกอะไรได้อยู่ไหมครับ” ฃ
“นั่นสินะ…. อืม”
พระเจ้าทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเอามือทั้งสองข้างทุบกัน
“ไหน ๆ นายก็เลือกอะไรไม่ได้แล้ว เพราะงั้นเอาเผ่าพื้นฐานสุดให้นายไปเลยก็แล้วกัน เผ่าที่ใช้ค่าเลือกน้อยสุดน่ะ”
“อะมีบา!”
“ตลกละ ที่เอามาให้เลือกมันก็มีแต่เผ่ามีสติปัญญา ช่วยใช้หัวคิดก่อนพูดจะได้ไหม”
“แล้วเผ่าที่ท่านว่านั่นก็คือ?”
“มนุษย์”
Racist! Racist แน่นอนครับ เป็นมนุษย์มันผิดตรงไหนครับ มนุษย์ออกจะเทพนะ ครองโลกมาแล้วนะ ถึงจะดูไม่มีอะไรพิเศษแต่มันก็เทพครองโลกมาในนิยายเกือบทุกเรื่องเลยนะ แล้วไหงมันใช้ค่าเทพน้อยสุดละโว้ย
“ใจเย็นก่อนอย่าเพิ่งของขึ้น…. คือที่ใช้ค่าพลังน้อยสุดก็เพราะกลุ่มพวกนี้ไม่ได้มีค่าโดดเด่นหรือความสามารถพิเศษเหมือนเผ่าอื่น ก็เลยไม่ได้ค่าเพิ่มเติมน่ะ…ไม่สิ มันยังมีค่าหนึ่งที่ดีกว่าชาวบ้านนี่หว่า”
“หือ? อะไรเหรอครับ การพูดคุย? การเจรจา? การค้า?”
“ไม่หรอก มันคือการป้ำลูกน่ะ”
…….
ฟังแล้วลมจับ เทพสุดของเผ่าพันธุ์ผมคือการผลิตจำนวนอย่างงั้นเหรอ นี่มันคือความสามารถพิเศษจริง ๆ ใช่ไหม มันควรจะดีใจใช่ไหม
“เพราะงั้นล่ะ เจ้าก็รับเผ่ามนุษย์ไปก็แล้วกันนะ”
“เอ่อ…ได้ครับ”
เหมือนผมจะมีทางเลือกอย่างงั้นล่ะ
“จบกระบวนการเบื้องตนแล้ว”
พระเจ้าพูดขึ้นพร้อมกับหันมาทางผม ในจังหวะเดียวกัน บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของผมก็เปลี่ยนไป จากสีขาวโพลนก็เปลี่ยนกลายมาเป็นสีฟ้าของท้องฟ้า พื้นเบื้องล่างกลายเป็นปุยเมฆอันแสนอ่อนนุ่ม
“ทั้งพลังและเผ่าพันธุ์ก็ได้จนครบถ้วนแล้ว เท่านี้นายก็คือเทพองค์หนึ่ง”
แสงสว่างจากพระอาทิตย์เหนือขึ้นไปได้ส่องลงมาผ่านหลังของเขาก่อนที่มันจะค่อย ๆ ลอยขึ้นจนส่องมาเพียงที่ผมคนเดียว
“กล่าวนามของเจ้าออกมา เทพผู้ถูกคัดเลือก”
ถึงแม้จะมีหลายอย่างไม่ได้เป็นดั่งที่ใจผมหวังเอาไว้ แต่ฉากนี้ที่พระเจ้ามอบให้มันก็ราวกับตัวผมได้กลายเป็นเทพจริง ๆ หัวใจของผมเต้นถี่รัวอย่างตื่นเต้น
“อรุณ ชื่อของผมคืออรุณ”
พระเจ้ายิ้มออกมาก่อนที่จะเดินเข้ามาหาผม ในตอนแรกผมนั้นไม่ได้จะทำอะไร แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มอันแสนยิ่งใหญ่เปลี่ยนกลายเป็นรอยยิ้มประดุจปีศาจ ขาของผมก็เผลอถอยหลัง ทว่านั่นมันคงช้าเกินไป
“เช่นนั้นเทพอรุณ จงไปทำหน้าที่ที่ข้ามอบหมายให้ดี…… ขอให้โชคดีนะ เทพแห่งแสงสว่างผู้เปล่งประกาย อรุณ”
ไม่รอให้ผมได้ทันตอบสนอง เท้าของพระเจ้าพุ่งออกมาถีบอัดเข้ากับตัวผมก่อนที่พื้นเมฆเบื้องล่างจะแยกออกเป็นรูขนาดใหญ่
แรงมหาศาลระดับช้างยังเรียกพ่อได้ถูกอัดเข้าใส่ผมจนร่างกระเด็นร่วงหล่นลงไปยังหลุมอากาศนั่นอย่างรวดเร็ว
“ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้าพระเจ้าบ้าเอ้ย”