Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 7 ยุคหิน รู้ไหมว่าทั้งไม้บรรทัดแล้วก็นาฬิกาน่ะ พระเจ้าเป็นผู้มอบให้กับมนุษย์
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 7 ยุคหิน รู้ไหมว่าทั้งไม้บรรทัดแล้วก็นาฬิกาน่ะ พระเจ้าเป็นผู้มอบให้กับมนุษย์
ยามเช้าอันแสนสงบของผมได้จบลง เมื่อเจอพวกชาวบ้านมาเคาะประตูปลุกรัว ๆ ทำเอาผมต้องลากสังขารของตัวเองขึ้นมาเดินตามพวกเขาไปแบบงัวเงีย
“ทางนี้ครับท่าน พวกข้าเจอดินแปลก ๆ จากทางนั้นครับ!!!”
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปพบกับของประหลาดเข้าเลยอยากให้ผมไปช่วยตรวจสอบให้หน่อย ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ผมบอกพวกเขาให้ทำเพราะหลังจากการตรวจสอบสุดแสนรันทดที่เจอของดีแต่ขุดไม่ได้ ผมก็ได้ให้พวกเขาเริ่มที่จะตรวจสอบหาของกันเอง เนื่องจากหากให้ผมไปด้วยตลอดนั้นการค้นหาคงใช้เวลานาน แถมแบบนี้ก็จะสามารถจัดคณะสำรวจได้หลายกลุ่ม พื้นที่การสำรวจก็จะกว้างมากขึ้น
เรื่องความปลอดภัยนั้นก็ยืนยันมาหลายครั้ง ว่าบริเวณที่ผมกำหนดยังไม่เจอสัตว์ร้ายอะไร ทำให้ผมกล้าที่จะปล่อยพวกเขาไปกันเอง
แต่ด้วยวิธีการนั้น ถึงมันจะทำให้พื้นที่การสำรวจกว้างมากขึ้นแต่งานของผมเองก็มากขึ้นตามเช่นกัน
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็พวกชาวบ้านเล่นเอาทุกอย่างที่พวกเขาพบมาให้ผมดูหมดเลยน่ะสิ! ใช่แล้ว… ไม่ว่าจะต้นไม้ หญ้า สัตว์หรือก้อนหิน หากเป็นชนิดที่ยังไม่มีใครเจอพวกเขาจะเอามาให้ผมตรวจสอบหมดเลย แน่นอนว่าพวกพืชหรือสัตว์มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก้อนหินกับหญ้าเนี่ย… ไม่ไหวนะ
รอบนี้ก็คงไม่ต่างกัน ผมคงได้ไปยืนมอง ๆ เคาะ ๆ ดินแปลก ๆ ที่เขาว่าเสร็จแล้วก็กลับตามเคยนั่นล่ะนะ
“ว่าแต่อีกไกลแค่ไหนล่ะ”
“ใกล้แล้วครับ ขอแค่เดินเรียบแม่น้ำต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยเวลาพระอาทิตย์ผ่านหัวประมาณนี้ก็น่าจะถึงแล้วนะครับ”
ชาวบ้านคนนั้นพูดพลางชี้ไปมาที่บนฟ้า ขณะที่เดินเรียบไปทางเหนือตามริมแม่น้ำซึ่งไม่ว่าผมจะถามเรื่องระยะทางไปกี่ครั้ง สิ่งที่พวกเขาตอบกลับมานั้นก็จะวนอยู่ที่เดิม ไม่เป็นอีกไม่นานก็ใกล้แล้ว ๆ มากสุดก็ระยะเวลาแบบพระอาทิตย์ผ่านหัวเหมือนเมื่อครู่…
อ๊ะ…. นี่ผมลืมไปได้อย่างไรกันเนี่ย
พอนึกมาได้ถึงจุดนี้ก็ทำเอาผมตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ ใช่ ผมตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันดูจะเล็กน้อย แต่ช่างสำคัญแบบขาดไม่ได้ จนได้แต่ตำหนิตัวเองว่าลืมสิ่งนี้ไปได้อย่างไร
หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่เป็นพื้นฐานนำมนุษย์ไปสู่ความรุ่งเรือง สิ่งที่เป็นพื้นฐานไปสู่วิชาอันหลากหลายที่ต่อให้จะเก่งเพียงใด แต่หากขาดซึ่งมันไป ภูมิปัญญาของมนุษย์ก็ไม่มีวันที่จะสมบูรณ์ได้
ใช่…..สิ่งนั้นคือมาตรวัด
ถึงจะเป็นสิ่งที่แถมมาด้วยกับวิชาสุดน่าเบื่ออย่างฟิสิกส์ แต่พอมาอยู่แบบนี้ก็ทำเอาผมรู้ถึงความสำคัญของมันขึ้นมา……
คนเรามันจะคุยกันรู้เรื่องได้ ไม่ว่าจะระยะทาง เวลา หรือกระทั้งปริมาณ หากไม่มีมาตรวัดตัวกลางที่เข้าใจเหมือนกันหมด ก็นับว่าเป็นอุปสรรคในการสื่อสารอย่างแท้จริง นี่ยังไม่นับเรื่องการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ในอนาคตอีก หากไม่มีมัน วิทยาศาสตร์ในอารยธรรมของผมก็ไม่มีวันที่จะโต
หึ ๆ แค่สอนพวกเขามันก็จบนี่?
หลายคนอาจคิดแบบนั้น จำนวนก็แค่บอกไปอย่างสิบสองชิ้นเท่ากับหนึ่งโหล เวลาก็บอกวินาที นาทีหรือชั่วโมงไป ส่วนระยะทางก็สอนเซนติเมตรหรือเมตรไปก็จบ ง่าย ๆ
….
ง่ายกับผีน่ะสิ!!!
ไอ้จำนวนน่ะยังพอคุย เวลาไปหาทำนาฬิกาแดดแล้วกะ ๆ เอาก็พอได้ แต่ไอ้ระยะทางเนี่ย ใครบอกว่าง่ายให้ลองทิ้งไม้บรรทัดแล้วขีดเซนติเมตรแบบแม่น ๆ ให้ดูหน่อยเถอะ!!!!
แน่นอนว่ามีคนทำได้อยู่แหละ แต่ตัวผมที่ร้อยวันพันปีพอเจอถามเรื่องระยะทาง สิ่งที่ทำได้คือหยิบไม้บรรทัดในมือมาเทียบไม่ก็เปิดแอปในมือถือช่วยเอาคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน
ทำไงดี ๆ
“เอ่อ ท่านเทพครับ ข้างหน้ามีอะไรไม่ดีอยู่เหรอเปล่าครับ หน้าท่านอย่างกับเหมือนมีความมืดอันสุดลึกล้ำรอเราอยู่เลยครับ”
“หือ ทำไมถึงถามเช่นนั้นล่ะ”
“ก็ตั้งแต่เมื่อครู่มา หน้าท่านดูเครียดขึ้นเรื่อย ๆ น่ะครับ คิ้วก็ขมวดเน้นอย่างกับปมฝาง แววตาก็ดูน่ากลัวจนพวกข้าเป็นกังวลว่ามีอันตรายอะไรที่ท่านสัมผัสได้เหรอเปล่าน่ะครับ”
สงสัยผมจะกังวลมากไปจนอาการมันออกทางสีหน้า แต่ก็นั่นล่ะ พอมาเรื่องความรู้โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์แบบนี้แล้ว ยิ่งทำเอาผมเครียดไปใหญ่ คนมันมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับวิชานี้ด้วยสิ
แต่อย่างไร หากปล่อยไปคงไม่ดี พวกเขาจะกังวลไปเปล่า ๆ ดังนั้นผมจึงสวมวิญญาณเทพดริฟสายฟ้าเข้าร่างแล้วเริ่มทำการปล่อยพลังขององค์เทพ
“ข้างหน้าปลอดภัยดีแต่ที่ข้าทำหน้ากังวล เหตุนั้นไม่ใช่อื่นใดนอกจากความกังวลถึงพลังที่ข้ากำลังจะมอบให้พวกเจ้าต่อไปนี้”
“พะ…พลัง! ท่านจะมอบพลังให้กับพวกเรางั้นเหรอครับ”
ได้ยินผมพูดแบบนั้น ชาวบ้านต่างทำตาลุกวาวอย่างตื่นเต้น แน่นอนว่าทั้งหมดที่พูดมาแบบกำลังด้นสุดล้วน ๆ
เอาล่ะ ถ้างานดีทำไม่ได้ สงสัยจะได้ใช้งานหยาบซะแล้ว!
“เมื่อครู่ข้าถามพวกเจ้าตลอดทางว่าอีกไกลเพียงใด แต่พวกเจ้านั้นมิอาจตอบได้ ข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าคงต้องได้รับพลังแห่งการ…. วัดระยะทาง!!!”
“กะ..การวัดระยะ?”
ผมหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาก่อนจะลากเส้นตรงหนึ่งเส้น จากนั้นก็จ้องตาพวกเขาแบบอาจารย์ที่จะเค้นคำตอบจากเด็กในห้อง
“เส้นนี้ ยาวเท่าไหร่?”
“ยะ..ยาวเท่าไหร่?”
ทันทีที่เจอคำถามแบบนี้เข้าไป หน้าพวกเขาแทบจะงงเป็นไก่ตาแตก หลายคนพยายามที่จะหาคำตอบ พวกเขาต่างปรึกษากันไปมา
“หนึ่งฝ่ามือไหม?”
“ไม่ ๆ นั่นฝ่ามือเจ้า ฝ่ามือข้านี่น่าจะยาวกว่านั้นอีกหน่อย”
“ครึ่งฝ่าเท้า?”
“เท้าเจ้ามันยาวไป เอาเท้าข้าดีกว่า”
ยิ่งนานคำตอบยิ่งออกทะเล นั่นล่ะคือสิ่งที่แสดงให้ผมเห็นแล้วถึงความลำบากในการก่อเกิดหน่วยวัดของโลก
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดพวกหน่วยวัดในโลกโบราณได้ แต่ผมขอสรรเสริญพวกคุณจากใจจริง
เขาว่ากันว่ามนุษย์จะใช้สิ่งรอบตัวให้เกิดประโยชน์ที่สุด ดังนั้นการก่อเกิดของการสร้างหน่วยวัดระยะทางของผม มันคงต้องเกิดจากสิ่งที่ผมมีอยู่หรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งตอนนี้ สิ่งที่ผมมีนั้นก็คือ….
ผมเหลือบมองของที่อยู่ในมือ….. กิ่งไม้
เอาล่ะเจ้ากิ่งไม้ ในฐานะเทพแห่งแสงสว่างผู้เป็นเทพแห่งภูมิปัญญาและเทพของเหล่ามนุษย์ทั้งมวล ผมขอแสดงความยินดีกับแกที่จากนี้ไป นายจะได้กลายเป็นจุดกำเนิดแห่งระยะทาง!!!!
ผมนำกิ่งไม้นี้เทียบลงไปกับเส้นที่ผมขีดขึ้นมา แน่นอนผมลากให้มันพอดีกับตัวกิ่งไม้เป็นที่เรียบร้อย
“ความยาวของเส้นนี้ที่ข้าถามพวกเจ้า มันเท่ากับหนึ่งกิ่งไม้นี่แล้วถ้า…..”
ผมว่าเสร็จก่อนจะเลื่อนกิ่งไม้ในมือมาที่ปลายของเส้น จากนั้นก็ลากเส้นต่อไปครึ่งหนึ่งของกิ่งไม้ก่อนจะกิ่งในมือแล้วยื่นให้กับพวกเขา
“แล้วถ้าแบบนี้ เส้นนี่จะยาวเท่าไหร่หากเจ้าเทียบกับกิ่งนี่?”
พวกคนติดตามของผมรับกิ่งไม้จากผมไปก่อนที่จะเริ่มหันไปคุยและปรึกษากันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาทำการใช้กิ่งไม้ในมือของผมในการวัดเส้น หลังจากได้คำตอบพวกเขาก็ตอบด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ
“หนึ่งกิ่งไม้กับอีก…ครึ่งนึง เหรอเปล่าครับ?”
“ใช่ แล้วถ้าข้าต่อนี้ล่ะ”
“สองกิ่งครับ”
พวกเขาเริ่มแย่งกันตอบ แน่นอนว่าผมก็ทดลองลากเส้นเพิ่มลด ๆ โดยการใช้เจ้ากิ่งไม้ที่มีอยู่ในมือเป็นเหมือนกับไม้บรรทัด จนสุดท้ายเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใจผมจึงหยุดลง
“ตั้งแต่นี้ต่อไป หากมีผู้ใดถามถึงระยะ จงใช้กิ่งนี้ในการอ้างอิงเสีย ข้าเรียกมันว่าหนึ่งบรานซ์ก็แล้วกัน”
“โอ้…บรานซ์ นี่สินะ พลังแห่งปัญญาของท่าน สามารถแก้ปัญหาสุดยากได้อย่างง่ายดาย!!!”
พวกเขาต่างร้องออกมาอย่างยินดีและตื่นเต้นทำเอาซะผมแอบรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก
แน่นอนว่าแค่หนึ่งหน่วยมันคงไม่พอ เอาเป็นสำรองไว้อีกสักหน่อย ที่เหลือปล่อยพวกเขาพัฒนาไปเองน่าจะหาจุดลงตัวกันได้
ผมพยายามมองไปมาเพื่อหาของอ้างอิงระยะอื่น ๆ ก่อนที่ตาของผมมันจะไปบรรจบกันที่…
เท้าของตัวเอง…
ตำนานได้เคยเล่าเอาไว้ เคยมีกษัตริย์องค์หนึ่งมีปัญหาในการที่จะเทียบระยะแบบที่ผมเป็นอยู่สุดท้ายพระองค์ที่ใช้เวลาคิดทั้งวันทั้งคืน พยายามคิดอย่างเนิ่นนาน และในตอนที่เดินตากฝนไปอย่างเคร่งเครียด ดวงตานั่นของพระองค์ก็ไปเห็นรอยเท้าของตัวเองที่ทิ้งไว้กับโคลน นั่นทำให้ดวงตาของพระองค์รู้แจ้ง
กษัตริย์องค์นั้นจึงได้ทำการสั่งการ ให้ประชาชนทั่วทั้งแคว้นใช้สิ่งที่พระองค์ค้นพบในการวัดระยะ สิ่งที่พระองค์ค้นพบ….รอยเท้าของพระองค์ จนเป็นต้นกำเนิดของหน่วย “ฟุต”
และนั่นผมกำลังจะดำเนินรอยตามราชาคนนั้น ในเมื่อรอยเท้าของราชามันทำได้ รอยเท้าของเทพมันจะไปแพ้ได้อย่างไร!!!
ว่าเสร็จผมก็เอาเท้าของตัวเอง ประทับลงกับพื้นก่อนจะหันไปหาพวกชาวบ้านแล้วประกาศลั่นอย่างมั่นใจ
“จากนี้ไปนอกจากบรานซ์แล้ว อีกหนึ่งระยะที่พวกเจ้าใช้เพื่อบ่งบอกระยะทางของพวกเจ้า คือรอยเท้าแห่งข้า รอยเท้าแห่งแสงสว่างที่จะนำพวกเจ้าไปสู่ความสำเร็จ!!!!”
“ท่านเทพ….. ท่านเทพช่างสุดยอด นี่มันพลังอันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดเทียม!!!”
และนั่น คือจุดกำเนิดแห่งระยะทาง ของอารยธรรมภายใต้การดูแลของเทพแห่งแสงสว่าง!!! และไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นจุดกำเนิดของไม้บรรทัดอันแรกของโลกอีกด้วย
หลังจัดการปัญหาเรื่องระยะทางเป็นที่เรียบร้อย พวกผมก็เดินมาไกลด้วยระยะทาง สองร้อยกว่าฟุตกว่าจะถึงที่หมาย ซึ่งแน่นอนว่าพวกคนในเผ่าต่างตื่นเต้นและนับระยะทางตลอดเวลา ทำเอาผมแอบเขินไม่ใช่น้อย
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้ตรงหน้าของผมนั้น มันมีสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่ารอผมอยู่ ซึ่งสิ่งนั้นมันทำเอาจิตใจความหวังแห่งการพัฒนาที่ดับมอดไปของผม เริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ตรงหน้าคือทุ่งดินเหนียวขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยดินจำนวนมหาศาลซึ่งไม่เกาะตัวกันคล้ายกับโคลนแต่ก็ยังสามารถคงรูปได้มากกว่า
แน่นอนว่าดินตรงหน้าผมนั้น ผมยังจำมันได้ดี มันทำให้ผมนึกหวนไปถึงวิชาศิลปะที่อาจารย์เคยให้ปั้นดินเหนียวขึ้นมา แน่นอนว่าสัมผัสของมันผมนั้นยังจำได้เพราะผมดันลื่นหัวจุ่มถังดินเหนียวจนได้ทรงผมใหม่ประดุจรังนก เอาจนเพื่อนผมล้อผมสนุกไปทั้งวัน
“สุดยอด….เจอมันจนได้”
ผมตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ เผลอพูดออกมาอย่างดีใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ในที่สุด แผนการพัฒนาอารยธรรมขั้นถัดมาของผมก็เริ่มที่จะเห็นภาพมากขึ้นทุกที หากมีสิ่งนี้ ภาชนะจานชามหรือกระทั่ง “หม้อหุงข้าว” ที่ผมใฝ่ฝันมันก็จะได้เกิดขึ้นเสียที
“ข้าขอชื่นชม สิ่งที่พวกเจ้าพบนั้นมันคือความสำเร็จครั้งใหญ่ของการสำรวจแห่งมนุษย์เลยจริง ๆ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับท่าน? งั้นนี่คงเป็นสิ่งที่สุดยอดมาก ๆ เลยสินะครับ?”
“ใช่ นามของมัน..คือ “ดินเหนียว” วัตถุดิบสำคัญของการสร้าง “ภาชนะ” อย่างไรล่ะ”
“ดินเหนียว? ภาชนะ? มันคืออย่างไรกัน”
ผมไม่พูด และทิ้งคำถามของพวกเขาเอาไว้ ทำเพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปก็เท่านั้น เพราะหากอธิบายไปน่าจะเข้าใจได้ยาก สู้ทำให้เห็นภาพเลยน่าจะง่ายกว่า
“สักวันเจ้าจะรู้เอง เมื่อกลับไปถึงหมู่บ้าน ข้าจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่ควรจะทำกับดินเหนียวนี่”
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับหมู่บ้าน ระหว่างทาง ผมก็ครุ่นคิดถึงเรื่องการขนดินเหนียวมาที่หมู่บ้าน ไม่ก็การสร้างภาชนะจากดินเหนียว แต่คำถามคือ…..
แค่ปั้นแล้วเอาภาชนะไปตากแดดมันจะพอไหมหว่า?
———————————————
“อ๊ะ ท่านเทพกลับมาแล้วหรอคะ มาทานเนื้อทานปลาก่อนสิคะ อ๊ะ ผักสดๆ ก็มีนะคะ”
แน่นอนว่าเมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่รอผมอยู่ก็ไม่ใช่อื่นใด นอกจากยูน่าที่วิ่งมาต้อนรับผมอย่างยินดี ผมลูบหัวของเธอตอบ สัมผัสนั่นทำให้รู้สึกคล้ายกับตอนลูบหัวของแมวที่บ้าน ทำเอาผ่อนคลายไม่ใช่น้อย
“ขอบคุณมากยูน่า แต่ตอนนี้ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำก่อน เจ้าอยากจะตามมาด้วยก็ได้นะ เพราะข้าจะทำการมอบอีกพลังหนึ่งให้กับพวกเจ้า”
“พลังใหม่งั้นเหรอคะ? ต้องขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ถ้างั้นข้าจะไปเรียกชาวบ้านมารวมตัวกันนะคะ ว่าแต่จะให้ไปรวมที่ไหนดีคะ?”
“ที่ลานกลางแจ้งของหมู่บ้านแล้วกัน”
ผมพยายามนึกสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างสิ่งนั้น ซึ่งแน่นอนว่าหากจะเป็นที่ ๆ ทุกคนเห็นกันอย่างง่ายดาย คงไม่มีที่ไหนเหมาะสมเท่าที่นั่นอีกแล้ว
ระหว่างที่ยูน่าไปเรียกผู้คน ผมก็มองสำรวจพระอาทิตย์ซึ่งตอนนี้ได้เลยหัวของผมเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าช่างเป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะหากเป็นตอนเที่ยง การสอนของผมคงจะยากยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เมื่อชาวบ้านมารวมตัวกัน พวกเขาต่างจ้องมองมาที่ไม้ซึ่งผมปักรออย่างสนอกสนใจ ยูน่าเองก็มองมาที่ผมด้วยตาที่เป็นประกาย
“พวกเจ้าเห็นสิ่งใด”
ผมเปิดประโยคด้วยประโยคเริ่มต้น ท่าทางของผมตอนนี้ช่างดูเหมือนครูที่กำลังสอนนักเรียนประถมอยู่ก็ไม่ปาน
“ไม้ครับ…. อ่อ ท่านเทพจะสอนเรื่องระยะทางเหรอครับ”
ชายที่เดินทางไปร่วมกับผมร้องทักขึ้นมา เขาพยายามจดจ้องมาที่ไม้ตรงกลางลาน แต่เมื่อพบอะไรบางอย่างเขาก็ส่ายหัว
“แต่ความยาวมันไม่เท่ากับหนึ่งบรานซ์นี่นา”
“ใช่ เพราะพลังที่ข้าจะมอบให้ในตอนนี้คือพลังอีกอย่าง…. “นาฬิกา” ไงล่ะ”
“นะ…นาฬิกา”
พวกชาวบ้านต่างทวนคำผมอย่างตื่นเต้น ดวงตาทุกคูจ้องมาที่ไม้ตรงกลางลานกับตัวของผม ทำเอารู้สึกตื่นอยู่ไม่ใช่น้อย
“ถูกต้อง นาฬิกา หนึ่งในพลังที่มีอำนาจของการวัด ทว่าไม่ใช่ระยะทางแบบไม้บรรทัดแต่เป็นเป็นการวัดเวลา”
เรื่องที่ผมพูดอยู่นั้นหากเอาไปพูดในโลกปัจจุบัน เด็กประถมเห็นคนยังหัวเราะผมอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ชาวบ้านไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ต่างมองมาด้วยสายตาตื่นเต้นประดุจผมค้นพบวิธีสร้างนิวเคลียร์ก็ไม่ปาน
“พวกเจ้ารู้จักเวลามากเพียงใด”
“น่าจะมีเช้า เที่ยง และกลางคืนครับ”
“เยี่ยม การสังเกตจากพระอาทิตย์อันเป็นพลังของข้าก็นับว่าเยี่ยม แต่นั่นมันกว้างเกินไป ยามที่พวกเจ้าจะนัดเวลาเจอกันหากบอกเจอกันตอนพระอาทิตย์อยู่บนฟ้ามันคงไม่ใช่เรื่องอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็จงดูเงาของไม้นี่”
ว่าเสร็จผมก็ชี้ไปที่เงาของกิ่งไม้ ซึ่งนับเป็นโชคดีที่ท้องฟ้าวันนี้โปร่ง ดังนั้นแสงแดดที่ส่องมาจึงทำให้เกิดเงาที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
แน่นอน ว่าสีหน้าของพวกเขานั้นมีแต่งองูเต็มหัว หรือก็คือ งง ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขามากเท่าไหร่นัก
“รู้หรือไม่ว่าเงานั้นเกิดจากอะไร”
“แน่นอนค่ะ นั้นคือจุดที่ไร้ซึ่งแสงของท่านเทพเนื่องจากมีสิ่งมาบดบังสินะคะ…. หรือว่านั่นจะเป็นพลังของเทพแห่งความมืดที่พยายามแย่งชิงแสงจากพวกเรากัน?”
ยูน่าตอนแรกยกมือตอบอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นกังวลอย่างหาที่สุดไม่ได้เมื่อมีคำอธิบายสุดประหลาดผุดขึ้นมาจากหัวของเธอ ทำเอาผมที่ได้ยินยังเป็นกังวลแทน
“เช่นนั้นเหรอครับ เทพแห่งความมืดกำลังจะชิงพลังแห่งแสงไปจากพวกเรา!!!”
“งั้นแสงแห่งชีวิตของพวกเราด้วยน่ะสิ!!!”
“พวกเราจะตายกันหมด!!!”
รู้สึกมันชักจะไปกันใหญ่
“ท่านเทพคะ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยค่ะ”
ยูน่ารู้ไหมว่าที่น่ากลัวสุดนั้นไม่ใช่เทพแห่งความมืดหรอก แต่เป็นเธอต่างหาก ไม่รู้ว่าด้วยอะไรแต่พวกชาวบ้านพอได้ยินยูน่าพูดก็พาเชื่อกันเต็มบ้านเต็มเมือง แถมยังคิดเป็นจริงเป็นจังระดับโลกแตก น่ากลัวแท้ ๆ
แน่นอนว่าเทพอย่างผมใครมันจะยอมแพ้ได้ ตำนานได้ว่าไว้ ความกลัวก่อให้เกิดศรัทธา ผมต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส!!!
“อย่ากังวลไป ด้วยพลังนี้ของข้า พลังแห่งความมืดทำได้เพียงแค่สร้างเงาเท่านั้น มันไม่อาจแย่งชีวิตภายใต้แสงสว่างได้หรอก”
พูดจบ ผมไม่รอช้าใช้พลังทำให้ร่างกายของตัวเองเรืองแสงขึ้นมาทำเอาพวกชาวบ้านต่างขุกเข่ายกมือขึ้นมาอย่างปลื้มปริ่ม
“อ่า… นี่พลังของท่านเทพ เริ่มรู้สึกได้เลยค่ะว่ามันกำลังไหลเวียนในร่างของพวกเรา”
“ข้าก็เช่นกัน ความอบอุ่นนี่… ข้าสัมผัสได้”
ไม่หรอก พวกนายแค่ตากแดดนานไปก็เท่านั้นล่ะ แถมเป็นแดดกลางฤดูร้อนอีก
ระหว่างนั้นเองผมก็เหลือบไปมองค่าศัรทธาที่กระดิกเพิ่มมาอีกในหน่วยทศนิยม ทำเอาผมไม่รู้ว่าจะขอบคุณยูน่าดีไหมที่สร้างเรื่องให้ผมแก้แบบนี้
“เรามาต่อเรื่องนาฬิกาดีกว่านะ”
ผมเรียกสติพวกเขาให้กลับเข้ามาสู่บทเรียนอีกครั้งหนึ่ง
“ในยามนี้พระอาทิตย์กำลังจะตก ซึ่งข้าก็ขอเรียกทิศทางที่มันกำลังตกไปว่าทิศตะวันตก ส่วนในทางตรงข้าม ทิศทางที่พระอาทิตย์ได้ขึ้นมายามเช้านั้นข้าขอเรียกมันว่าทิศตะวันออก ส่วนหากเจ้าหันไปทางทิศตะวันออกแล้วละก็ ที่ซ้ายมือเจ้าคือทิศเหนือ ส่วนอีกทิศคือทิศใต้ที่ทางขวามือ”
ถือว่าสอนเรื่องทิศไปด้วยแล้วกัน จะได้ง่ายต่อการบอกทางเวลาพวกเขาสำรวจ
“เอาล่ะ มาดูที่นี่ต่อ ในยามที่พระอาทิตย์อยู่ตะวันออกแล้วเงานี่จะชี้ไปทางทิศตะวันตกถูกไหม ซึ่งข้าขอเรียกมันว่ายามเช้าก็แล้วกัน ส่วนถ้ามันเข้าใกล้ตรงกลางไม้ละก็เจ้าก็จงเรียกว่ายามสาย”
“แต่ในตอนนี้พระอาทิตย์ได้อยู่ที่ตะวันตก ดังนั้นเงาของสิ่งนี้จึงชี้มาที่ทิศตะวันออก ข้าขอให้พวกเจ้าเรียกว่ายามบ่าย ส่วนรูปแบบเดียวกัน ในตอนที่เงาเริ่มใกล้หายไปก็จงเรียกว่ายามเย็น ซึ่งเวลาทั้งสองก็เป็นเวลาที่พวกเจ้ากินข้าวนั่นละ พวกเจ้าเข้าใจใช่ไหม”
“เข้าใจดีค่ะท่านเทพ… เวลากินข้าวสินะคะ… สรุปก็คือหากเราหันไปทางทิศเหนือแล้วเจ้าเงานี่ชี้ไปทางซ้ายก็ถือว่าเป็นช่วงเช้า ถ้าเป็นทางขวาก็เป็นช่วงเย็นสินะ”
ยูน่าตอบมาอย่างแข็งขัน ทำเอาผมภูมิใจในลูกศิษย์คนนี้ไม่ใช่น้อย… ทั้งน่ารักและเก่งแบบนี้แหละ หญิงในฝันของท่านแห่งแสงผู้นี้
“ว่าแต่ถ้าเงามันอยู่ที่กึ่งกลางของไม้ล่ะครับ”
“เรียกมันว่าเที่ยงวันแล้วกันนะ ช่วงเวลาที่พวกเจ้ากินข้าวเที่ยงนั่นล่ะ”
ฟายเดอร์ยกมือขึ้นมาถาม ผมก็ตอบไปแบบง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ใครจะไปรู้ ด้วยคำพูดของผมมันดันจะทำให้เกิดประเพณีการกินข้าวสามเวลาของมนุษย์ไปซะอย่างงั้น
และแล้ว หลังจากที่สอนทุกสิ่งไป ผมก็จัดการให้พวกเขาสร้างไม้บรรทัดด้วยการนำกิ่งไม้ที่ผมนำกลับมาไปเป็นตัวเทียบ ก่อนจะแจกจ่ายให้กับทุกคนไป ซึ่งหลังจากนี้ก็นับว่าการสร้างของต่าง ๆ ในหมู่บ้านของผมมีมาตรฐานขึ้นด้วยการที่พวกเขาเริ่มวัดขนาดกันเป็น
แน่นอนว่าหน่วยฟุตที่สอนไปนั้น ผมเทียบให้โดยการประทับฝ่าเท้าอยู่ที่ลานหมู่บ้านให้พวกเขาเป็นที่เรียบร้อย ทำให้การเดินทางนั้นง่ายขึ้นเวลาถามระยะต่าง ๆ ถึงมันจะรู้สึกเขิน ๆ ที่มีคนมารุมจ้องรอยเท้าของตัวเองก็เถอะ แต่เพื่อการพัฒนาทางวิทยาการ เทพแห่งแสงผู้นี้ทนได้
และสุดท้าย ด้วยนาฬิกาแดดที่ผมมอบให้กับพวกเขาไป การพูดคุยเรื่องเวลาของพวกเราไม่มีปัญหาอีกต่อไป ทว่าแค่นี้ผมคงยังพอใจไม่ได้ เพราะต้องหาทางการสอนเรื่องหน่วยวินาทีและนาทีให้ได้ แต่นั่นคงเป็นเรื่องของอนาคตล่ะนะ