Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 6 ยุคหิน เป็นพระเจ้าทั้งทีแค่สำรวจพื้นที่น่ะสบายมาก
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 6 ยุคหิน เป็นพระเจ้าทั้งทีแค่สำรวจพื้นที่น่ะสบายมาก
หลังจากเริ่มการเกษตรกรรมไประยะเวลาหนึ่ง พืชผักต่าง ๆ ได้เริ่มงออกผลผลิตมาให้เป็นรางวัลของความพยายามให้กับผมและเหล่าคนในเผ่า ส่วนพวกผลไม้ต่าง ๆ อาจจะต้องใช้เวลานานหลานเดือนหน่อยถึงจะได้ชมผลงาน
ส่วนปศุสัตว์นั้น หากมองดูจากคนในยุคปัจจุบันมันอาจจะดูง่าย ทว่าตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่าอาหารที่มาจากสัตว์นั้น ในยุคโบราณมันถือว่าเป็นของชนชั้นสูงเลยก็ว่าได้ ทำไมน่ะเหรอ?
ก็เพราะว่ามันหายากอย่างไรล่ะ แน่นอนบางคนอาจบอกแค่ไปจับสัตว์ในป่าหรือไปตกปลาในแม่น้ำก็จบ ซึ่งความจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างงั้นเพราะการไปจับสัตว์ในป่าในสภาพที่เครื่องไม้เครื่องมือยังไม่ดีมาก ก็เท่ากับฆ่าตัวตายเปล่า ๆ ขนาดคนในยุคกลางมีหน้าไม้ยังเหนื่อย ภาษาอะไรกับยุคหินอย่างผม….
ดังนั้นมันก็เลยวนมาที่การเลี้ยงสัตว์ แน่นอนไอ้นี่มันก็ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับในการเลี้ยงสัตว์ของคนยุคโบราณก็คือ อาหาร!
ใช่แล้วล่ะ อาหาร เพราะขนาดจะผลิตให้ตัวเองพอมีพอกินยังแทบมีไม่พอ ภาษาอะไรจะแบ่งไปให้สัตว์ได้ แต่ตรงจุดนี้นั้นผมได้แก้ไปแล้วด้วยการมอบเทคโนโลยี “ปุ๋ย” ให้กับพวกเขาไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนี่ก็นับเป็นหนึ่งในการปฏิวัติการเกษตรของมนุษย์เลยก็ว่าได้ แหม ผมนี่มันอัจฉริยะเสียจริง
และด้วยความฉลาดของผมที่ส่งต่อให้พวกเขา ผลลัพธ์ก็ดูเหมือนจะออกมาได้น่าชื่นชมเลยทีเดียว
แม้ตอนนี้พวกรำข้าวต่าง ๆ ที่คิดจะเอาไปเป็นอาหารให้พวกวัวที่จับมาได้จะยังไม่โตพอ แต่อย่างน้อยด้วยที่ธรรมชาติในบริเวณนี้มันสมบูรณ์ ทำให้การทำปศุสัตว์ในเผ่าของผมมาถึงจุดชะลอตัว ทำอย่างไรได้ล่ะ ใครมันจะไปเร่งธรรมชาติได้กันเล่า!!!!
แต่ถึงแบบนั้นก็เถอะ พวกชาวบ้านที่ได้รับความรู้จากผมไปก็ทำสิ่งที่ว่ามาได้อย่างเป็นระบบระเบียบ มีการต้อนวัวไปกินหญ้าและดูแลพวกมันเป็นอย่างดี ดีกว่าที่ผมจะทำได้เสียอีก…. นี่ผมควรอิจฉาพวกเขาเหรอเปล่านะ
มีแต่ต้องรอเวลาอย่างเดียว…..
ผมมองไปที่เหล่าชาวบ้านซึ่งกำลังดูแลพืชพักในแปลงของพวกเขา สลับกับวัวที่กำลังกินหญ้าในทุ่งกว้าง
ในส่วนของการพัฒนาทั้งเรื่องการเกษตรและปศุสัตว์ เห็นทีมีแต่ต้องรออย่างเดียว ดังนั้นตอนนี้ผมจึงคิดที่จะเริ่มทำอย่างอื่นต่อ ซึ่งนั่นก็คือการสำรวจรอบ ๆ บริเวณของหมู่บ้านให้กว้างขึ้น
สาเหตุนั้นก็ไม่ยาก เพราะจากประสบการณ์การเล่นเกมพัฒนาอารยธรรมที่สุดแสนจะกินเวลานั้น สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากการพัฒนาเมืองนั้น อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการสำรวจบริเวณ รอบ ๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่าทรัพยากร!
แน่นอนว่าในโลกที่พระเจ้าบอกผมว่ามีเวทย์มนตร์ด้วยแล้ว มันคงจะมีทรัพยากรธรรมชาติอันแสนแปลกตารอผมอยู่แน่ ๆ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
แต่อันที่จริง เรื่องอุปกรณ์เวทย์มนตร์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องหลักที่ผมอยากได้ซะทีเดียว สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมอยากได้นั้นก็คือ…….โลหะ
ใช่แล้ว แร่โลหะ สิ่งที่นับเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของอุปกรณ์ที่นำพามนุษย์ไปสู่ความรุ่งเรืองในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการทำมาหากินไปจนถึงอาวุธสงคราม สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือแร่โลหะต่าง ๆ
พูดถึงเรื่องอุปกรณ์ ถึงแม้ตอนนี้พวกผมจะสามารถเก็บเกี่ยวหินสีดำจากสัตว์ประหลาดที่ตั้งชื่อมาอย่างลวก ๆ ว่า “แอ็กซ์” ได้นั้นแต่มันก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นจุดที่น่าพอใจ
แม้จะเพียงพอต่อการดำรงชีวิต แต่ข้อจำกัดต่าง ๆ ก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการนำมันมาเป็นขวานตัดไม้ ซึ่งหินจากแอ็กซ์นั้น ใช้เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็เริ่มที่จะทื่อฟันไม้ไม่ค่อยเข้า หรือจะไปเป็นพวกค้อน ซึ่งใช้ไม่ถึงเดือนก็เริ่มมีรอยร้าว ดังนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไร ในระยะยาว ผมไม่ควรที่จะพึ่งหินสีดำจากสัตว์ประหลาดนี่อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้ทำการตั้งคณะสำรวจแบบเฉพาะกิจขึ้นมา โดยมีจำนวนคนรวมผมแล้วร่วมสิบคนได้ หากเทียบอัตราส่วนกับประชากรที่มีอยู่หลักร้อย ก็นับว่าเป็นคณะสำรวจที่ใช้คนมากดโขอยู่
แต่จะบอกว่าใช้คนเปลืองก็ไม่ได้เพราะการที่เราจะไปยังเขตที่ไม่รู้จัก อันตรายก็ย่อมมีมากตามมา ดังนั้นยิ่งมีคนมาก โอกาสรอดก็ยิ่งมาก
หลัก ๆ คนที่ผมพอจะจำได้เป็นอย่างดีซึ่งไปด้วยในครั้งนี้ก็มี ยูน่า อุสบา รวมไปถึงฟายเดอร์ที่ดูจะกระตือลือล้นผิดปกติ บางทีเขาอาจจะเป็นคนชอบค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้
“ท่านเทพคะ วันนี้พวกเราจะเดินทางสำรวจไกลแค่ไหนเหรอคะ?”
ยูน่าเอ่ยถามขึ้นมา ซึ่งอันที่จริง ผมก็ไม่อยากให้เธอมาด้วยเท่าไหร่ เพราะเธอมีสิทธิ์ที่จะได้รับอันตรายมากกว่าคนอื่น ๆ แต่แน่นอน พอเจอแรงตื้อมาก ๆ เข้า แถมยังตื้อด้วยใบหน้าสุดแสนจะน่ารักแบบนั้น ใครเล่าจะทนไหว
“น่าจะเลยจากจุดที่เราเก็บซากของพวกแอ็กซ์นั่นล่ะ แต่จะไกลแค่ไหนอันนี้คงต้องดูสถานการณ์กันอีกที”
รอบนี้ผมพยายามที่จะไปไกลเกินกว่าจุดที่เก็บซาก ซึ่งในตอนแรกผมได้สสั่งห้ามไม่ให้ใครไปไกลกว่าจุดนั้น ไม่ว่าจะมาเพื่อหาของป่าหรือล่าสัตว์ก็ตาม เพราะจากสภาพตอนแรกที่พบ ตอนนั้นมีศพของพวกมันนอนตายเกลื่อนกราดแถมยังมีร่องรอยของการต่อสู้หลงเหลือพอควร นั่นหมายความว่าจะต้องมีสัตว์ที่โหดพอควรรออยู่แน่นอน
แค่หอกกับขวานที่ทำมาจากหินสีดำ ไม่น่าเพียงพอต่อการรับมือพวกมันแน่นอน ดังนั้นคำตอบจึงไปจบที่….หาของใหม่
“ท่านเทพคะ จะดีจริง ๆ เหรอคะ? ก่อนหน้านี้ท่านบอกไว้ว่า…”
ยูน่าพูดอย่างเป็นกังวล ตรงนี้ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะตอนที่ผมสั่งห้ามคราวก่อน ผมเล่นขู่ไว้หลายอย่าง ทำเอาซะพวกเขาฟังไปหน้าซีดไปพอสมควร แต่เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ผมมีวิธีแก้
“ยูน่าเอ๋ย เจ้าอย่ากังวลไปเลย… ยามนั้นที่ข้าต้องห้ามก็เพราะพวกเจ้ายังมิมีพลังเพียงพอจะต่อกรกับความมืดอันชั่วร้ายภายนอก ทว่าครานี้ข้าไปด้วย ความมืดหรือสัตว์ร้ายใดก็มิอาจทำอันตรายพวกเจ้าได้”
ผมพูดพลางทำให้ร่างกายรอบ ๆ ตัวมีออร่าแสงสว่างอ่อน ๆ ทอออกมาเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น
“เป็นเช่นนั้นเองสินะคะ! ถ้ามีท่านเทพนำทางให้แก่พวกเราล่ะก็ พวกเราก็ไม่ต้องมีอะไรที่จะต้องกังวลจริง ๆ แล้วนั่นล่ะค่ะ”
ยินดีด้วยนะ เหล่าสาวกของผมเอ๋ย ตอนนี้พวกเธอได้รับโล่มนุษย์ขั้นเทพระดับฟันแทงไม่เข้าติดตัวไปด้วย โล่ที่มีชื่อว่าเทพแห่งแสงไงล่ะ…. ไม่รู้ทำไม รู้สึกปวดใจอยู่ลึก ๆ
แต่ถึงจะว่าแบบนั้นก็ตาม ในใจผมลึก ๆ ก็ยังแอบกลัวอยู่ เพราะถึงผมจะเป็นอมตะก็ตามที แต่นั่นมันก็แค่ฟันแทงไม่เข้า แต่ความสามารถของผมก็ยังอยู่ระดับของเด็กมัธยมปลายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง หากพวกมันมาเป็นฝูง ผมคงโดดกันให้คนกว่าสิบคนไม่ทันแน่ ๆ
“ท่านเทพไม่ต้องกลัวว่าพวกเราจะเป็นตัวถ่วงของท่านหรอกครับ!”
ดูเหมือนว่าผมจะทำหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อุสบาที่ยืนฟังอยู่รีบตะโกนพร้อมชูหอกของตัวเองขึ้นฟ้า
“ข้า อุสบา ผู้ได้รับการแต่งตั้งเห็นเป็นดั่งอาวุธของเทพแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่ตอนที่ได้นามนั้นจากท่าน ข้าก็ฝึกปรือฝีมือทั้งวันทั้งคืน! ตอนนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนข้าก็มั่นใจว่าหอกของข้าจะสังหารได้อย่างแน่นอนขอรับ!!”
ผมเห็นได้ชัดถึงไฟอันแสนร้อนแรงในดวงตาของอุสบา ทำเอาผมแอบเหงื่อตก ว่าเขาจะมั่นใจเกินไปแล้ว! ไอ้ชื่อที่เขาว่ามา นั่นน่ะ ผมตั้งมั่ว ๆ เอาทั้งนั้น แถมขึ้นชื่อว่าสัตว์เวทย์มนตร์ ถ้าเจอจริง ๆ ล่ะก็ ต่อให้นายฝึกกล้ามเนื้อจนกล้ามบึกเป็นเคนชิโร่ มันก็เขมือบนายเล่นเป็นขนมอยู่ดีนะ!!
เอาล่ะ ปล่อยยอดนักรบของพวกเราไปก่อน ตอนนี้ผมขอย้ายความสนใจของพวกเรามาที่คนที่น่าพูดด้วยที่สุดในการสำรวจของครั้งนี้ดีกว่า ซึ่งนั่นไม่ใช่ใครอื่น….. ฟายเดอร์ ยอดนักหาของที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์!!!
“ว่าอย่างไรล่ะฟายเดอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้สำรวจของข้า เจ้าคิดว่าพวกเราควรไปทางใดดีเล่า?”
จากหลาย ๆ รอบที่ตามหาสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องเป็นฟายเดอร์ที่เป็นคนเจอตลอด ดังนั้นบางทีผมอาจจะลองฝากฝังความหวังของพวกเราให้เจ้าหมอนี่ก็ได้
ใช่ เจ้านี่อาจจะต้องมีของหรือวิชาดี ๆ ที่ค้นพบมาแน่นอน!!
“พระองค์ให้ข้าตัดสินใจเช่นนั้นเหรอครับ? นี่นับเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก…”
ฟายเดอร์พยักหน้ายิ้มอย่างยินดีออกมา ก่อนที่จะเริ่มมองซ้ายขวาแล้วทำหน้าครุ่นคิด ยิ่งเป็นแบบนั้นทำให้ผมยิ่งรู้สึกคาดหวัง
มันต้องมีของจริง ๆ ด้วย
“หากตามความคิดของข้า พวกเราควรไปทางนั้นครับ”
ฟายเดอร์ชี้นิ้วไปทางด้านหน้าและเฉียงซ้ายไปอีกหน่อย ตอนแรกเหมือนเขาจะชี้ตรงทว่าใบหน้าส่งความลังเลและครุ่นคิดก่อนจะเลื่อนซ้ายไปอีกเล็กน้อย
ยิ่งทำดูเหมือนมีหลักการ ยิ่งทำให้ความคาดหวังของผมพุ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ทางนั้นเหรอ? เห… ช่วยบอกได้ไหมว่าเจ้าตัดสินใจด้วยเหตุผลกลใด?”
ในขณะที่ผมมองตามนิ้วเขาไป พลางสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นซากศพของพวกแอ็กซ์จำนวนมากนอนตายอยู่ เป็นสัญญาณส่งเสริมความเป็นสิริมงคลของการเริ่มต้นการเดินทางเสียจริง
เมื่อได้ยินผมถามไปแบบนั้น ฟายเดอร์ก็ทำหน้าอันแสนมั่นใจ รอยยิ้มของเขาฉีกออก ดวงตาแห่งนักสำรวจลุกโชนพร้อมกับคำตอบที่ลั่นมากด้วยอารมณ์สุดแสนจะมั่นใจจนนำพาให้ใจของผมคล้อยตาม
ความสำเร็จ… ความสำเร็จของผม กำลังจะมาอย่างแน่…
“ข้าใช้ความรู้สึกครับ”
แน่นอน….
“ในทิศทางนั้นเอง ข้ารู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่รอข้าอยู่ มันทั้งเข้มข้นและสว่างไสว จะต้องเป็นพลังของท่านเทพที่กำลังชี้นำข้าไปอย่างแน่นอนใช่ไหมครับ!!!”
สำเร็จกับผีน่ะสิ!!!
ได้ยินแบบนั้นออกมาจากนักสำรวจคนเก่งของตัวเองก็ทำเอาผมที่จิตใจกำลังยินดีพุ่งทะยานขึ้นประดุจขี่จรวด รู้สึกเหมือนโดนอาวุธต่อต้านอากาศยานยินสอยแล้วร่วงดิ่งไปอยู่ที่ร่องบาดาลอันแสนจะสิ้นหวัง
เอามันคืนมาเลยนะ เอาความดีใจของผมเมื่อครู่คืนมาเลย!!!
ให้ตายสิ ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงดันไปคาดหวังอะไรกับเจ้าพวกนี้ด้วยนะ ไอ้ผมคิดไปได้อย่างไรกันว่าพวกนี้มันจะมีของหรือวิชาลับ ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดมันก็ผมสอนเอง น้ำตาจะไหล
แบบนี้ถามจริงเถอะ นักสำรวจไม่ใช่แค่บอกไปตามความรู้สึก แต่ไอ้ความรู้สึกที่ว่าดันเป็นความรู้สึกถึงพลังของเทพแห่งแสงที่กำลังชี้นำ
ซึ่งเทพที่ว่านั่นก็คือผม!!!
และไอ้ผมที่ว่าก็ไม่รู้แม้แต่ทาง แถมพลังแสงที่มีอย่าว่าแต่แสงนำทางเลย แสงแห่งการรักษาที่พบได้ตามนิยายทั่วไปผมยังทำไม่ได้
แล้วอันที่จริง ถ้าทำได้ ผมคงไม่ต้องมาหาทางพึ่งพวกเขาแล้ว!!! แต่ไม่ได้หรอก เพื่อรักษาหน้าของเทพผู้รอบรู้ต่อไป มันต้องทำตัวเหนือ ๆ เอาไว้ก่อน
“เจ้าช่างฉลาดล้ำ และเก่งกาจมากพอที่จะรู้สึกถึงพลังแห่งข้าได้…. ไม่สิเจ้ารับพลังที่ข้ามอบให้ไปได้ ยอดเยี่ยม ๆ”
ผมกล่าวชมออกไปทำเอาเจ้าฟายเดอร์ที่ได้ยิน ยิ้มหน้าบานออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ไม่พอ คนอื่น ๆ ที่มาด้วยต่างพูดชื่นชมเยินยอมันกันใหญ่
“จากนี้ไปจงใช้พลังนั่นที่ข้ามอบให้เจ้าให้ดีเสีย จะไม่มีการชี้นำใดอีก ข้าขอทดสอบว่าเจ้านั้นมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่จากการสำรวจในครั้งนี้”
ตีเนียนเป็นการทดสอบก็ไม่เลว แบบนี้รักษาหน้าผมได้แน่นอน เพราะถ้าไม่สำเร็จก็บอกว่าสอบไม่ผ่าน แค่นี้ล่ะ ง่าย ๆ สบาย ๆ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ!!!”
ให้ตายสิ นี่ตัวผม สำเร็จเคล็ดวิชาดริฟสายฟ้าเลเวลสามแล้วสินะ สามารถดริฟคำพูดได้อย่างแนบเนียนแถมยังดูยิ่งใหญ่อีก
หลังจากพูดคุยกันจบ พวกผมก็เริ่มออกเดินทางโดยมีฟายเดอร์เป็นผู้เดินนำทุกคน อารมณ์ของพวกเราในตอนนี้นั้นช่างหลากหลาย หลายคน ต่างหน้าชื่นบานเหมือนลูกเสือมาเข้าค่าย ด้วยความเชื่อที่ว่ามีพลังแห่งเทพชี้นำและปกป้อง
และนั่น….. มันช่างสวนทางกับเทพของพวกเขาโดยสิ้นเชิง!!! ไอ้เทพที่ว่าเทพของพวกเขานั้น ตอนนี้ได้กลอกตามองรอบ ๆ ไปมาอย่างเป็นกังวล มือก็รู้สึกเหมือนเปียก ๆ ตลอดเวลา ไหนจะยังใจที่เต้นสั่นรัว ๆ ประดุจตัวละครหนังสยองขวัญในช่วงก่อนผีโผล่
จะรอดไหมนะ จะรอดไหม พวกเราจะรอดกันไหมเนี่ย
การเดินทางตามความรู้สึก หากดูในอนิเมะหรืออ่านนิยายนั้นมันช่างดูเท่ แต่พอมาเจอสถานการณ์จริง บอกเลยว่าดิ่งสุด ๆ
กึก
หลังเดินไปได้สักพัก ฟายเดอร์ได้หยุดเท้าของเขาก่อนหันมาหาทุกคนที่มองกันอย่างสงสัย
“ท่านเทพครับ ข้ารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง”
รู้สึก…. รู้สึกสินะ
คิดบ่นได้ไม่ทันไร ผมก็หยุดความคิดของตัวเองเอาไว้เมื่อมีกลิ่นบางอย่างได้ลอยมาแตะที่จมูกของผม กลิ่นของมันช่างหอมหวาน นุ่มนวล ดมแล้วรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“ว้าว สวยจังเลย!”
จู่ ๆ ยูน่าที่เห็นอะไรบางอย่างก็ออกตัววิ่งแยกจากกลุ่มไปด้วยท่าทีรื่นเริง ทำเอาให้พวกผมหลายคนวิ่งตามไปด้วยอย่างเป็นห่วง
ให้ตายสิ ยูน่า ขืนมีอันตรายขึ้นมาแบบนี้ผมปกป้องไม่ทันนะ…. กลับไปน่าจะต้องอบรมบ้างซะแล้วล่ะมั้ง
ทันทีที่วิ่งตามยูน่าทัน ภาพตรงหน้าก็ทำเอาพวกผมทุกคนแทบฉะงัก ดวงตาทุกคนเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงและเป็นประกาย
ป่าไม้สีเขียวชอุ่ม ที่เคยเห็นอยู่ทุกวันคืนที่พวกผมสำรวจ ตอนนี้มันถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสีฟ้าแห่งท้องฟ้าที่มองแล้วทำให้ใจสงบหรือสีเหลืองแห่งแสงตะวันที่มองแล้วทำเอาใจเบิกบาน
และแหล่งที่มาของสีที่แต่งแต้มป่านั้นก็คือพืชชนิดหนึ่งที่ลำต้นมีสีเขียวแต่ยอดของมันเป็นกลีบใบหลากสีอันงดงาม
ใช่แล้วล่ะ พวกผมเจอดอกไม้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไรด้วยความรู้ของเด็กสายวิทย์หลังห้อง ทว่าถึงจะไม่รู้ว่าดอกเหล่านั้นมันเป็นดอกอะไรแต่สิ่งที่ยืนยันได้คือกลิ่นของมันช่างหอมมาก ๆ เพียงแค่ดมก็ทำเอาให้รู้สึกอารมณ์ต่าง ๆ ที่ยุ่งเหยิงนั้นผ่อนคลายลงมาก
“ดอกไม้สินะ… พวกเจ้าตัดที่กิ่งมันออกมานะ พวกเราจะทำการเพาะพันธ์มันกัน”
เมื่อได้พบก็สิ่งใหม่ ผมก็ไม่รีรอที่จะสั่งให้พวกยูน่าทำการตัดกิ่งของมันออกเพื่อสำหรับแผนการทำฟาร์มดอกไม้
เอาไปทำมงกุฎดอกไม้ให้ยูน่าดีไหมนะ…
จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของผมพร้อมกับภาพของหญิงสาวผมสีทองที่ยิ้มแย้มวิ่งกระโดดไปมาพร้อมกับมีมงกุฎดอกไม้หลากสีประดับศีรษะของเธอ มันช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง ๆ
ไม่ ๆ นี่ผมทำไปเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านต่างหาก ไม่ใช่จีบสาว… ตั้งสติไว้อรุณ!
หลายคนเริ่มตัดกิ่งดอกไม้แล้วนำมันยัดเข้าใส่ถุงกระเป๋าหนังสัตว์ กระเป๋านี้ผมเพิ่งสอนพวกเขาในการสร้างมาไม่นาน โดยวัตถุดิบเดียวกันกับหนังที่พวกเขาเอามาทำเสื้อ
เสื้อสินะ…. ผมมองเสื้อหนังสัตว์ที่พวกเขาสวมใส่กัน พลางในใจก็เริ่มอยากจะสรรหาวัตถุดิบอื่นมาทำเสื้อผ้า เพราะดูแล้วที่ใส่อยู่ปัจจุบันมันนอกจากจะไม่สบายตัวแล้ว ยังป้องกันความหนาวได้ไม่ค่อยดีอีกด้วย
ที่สำคัญ… ยูน่าในชุดผ้าสวย ๆ …
ไม่ ๆ ตื่น ๆ อรุณ ตื่น เพื่อเผ่าของนายท่องไว้ ๆ !!!
“ท่านเทพครับ เราได้พืชแปลกหน้าที่ท่านเรียกว่า “ดอกไม้” มาแล้ว เรากลับไปเพาะปลูกพวกมันเลยดีไหมครับ?”
“ยังดีกว่า ข้าว่าเราควรสำรวจต่ออีกหน่อย เวลาเรายังเหลืออีกมาก”
ผมมองดวงตะวันที่ยังขึ้นเหนือหัว บ่งบอกถึงเวลาอีกหลายชั่วโมงของพวกผม ดังนั้นผมควรจะใช้เวลาให้คุ้มค่าความเสี่ยงของพวกเราในการเดินทางครั้งนี้ให้คุ้มที่สุด
“แล้วเราจะไปไหนต่อดีล่ะ ฟายเดอร์”
บางทีพลังของเจ้าหมอนี่อาจจะเป็นของจริงก็ได้ ไหน ๆ มันก็เจอดอกไม้ให้ผมแล้ว ดังนั้นผมจึงถามเขาต่อถึงในใจจะยังแอบสงสัยหลาย ๆ อย่างอยู่ก็เถอะ
“ทางนี้ครับพระองค์”
ฟายเดอร์ชี้ไปทางซ้าย ซึ่งพวกผมไม่ทำอะไรมากนอกจากเดินตามต้อย ๆ ต่อไป เดินไปก็ต้องถือว่าพื้นที่แถบนี้ไม่โหดร้ายมากนัก เพราะป่าแห่งนี้ไม่ได้เป็นป่ารกทึบ ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ง่าย แถวยังไม่เจอสัตว์ร้ายอะไรเข้าหาอีก
ให้พูดนะ จากประสบการณ์เดินป่า ป่าในประเทศที่ผมเดินมา ทากเนี่ย ประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในการเดินป่าเลย…. คิดแล้วยังสยอง
“ท่านเทพครับ ดูนั่น!!!”
ผมมองไปตามทางที่ฟายเดอร์ชี้ไป ตรงหน้านั้นคือภูเขาขนาดใหญ่ ความสูงใหญ่ของมันนั้นมากยิ่งกว่าภูเขาที่พวกเผ่าของผมหลายเท่าตัว แต่ที่น่าสนใจนั้นไม่ใช่ความใหญ่ของมัน แต่เป็นพื้นผิว
ภูเขาที่พวกผมเคยใช้อาศัยมันเป็นพื้นผิวสีเทา ๆ หรือน้ำตาลของดิน แต่ภูเขาตรงหน้านั้นกลับเป็นสีเขาหม่น ๆ แต่เมื่อต้องกับแสงของพระอาทิตย์มันก็สะท้อนแสงสีขาวอ่อน ๆ ออกมาอย่างแปลกตา
นี่มัน….หินอ่อน
หนึ่งในสุดยอดของหินที่อยู่คู่กับอารยธรรมของมนุษย์มาอย่างนาวนาน ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปัตยกรรมหรือศิลปกรรม ทุกสิ่งที่สร้างมาจากมันนั้นสวยงามและยิ่งใหญ่ นับเป็นหินแห่งความหรูหราของทุกอารยธรรมเลยก็ว่าได้
แถมดูจากคุพื้นผิวและสีของมัน นี่น่าจะมีคุณภาพมากกว่าหินอ่อนที่ผมเคยเห็นตอนไปเที่ยวต่างประเทศหลายเท่าตัว
“สวยงามมาก”
“ช่างเจิดจ้ายิ่งนัก”
“เทียบกับถ้ำที่พวกเราเคยอยู่ มันช่างแตกต่างยิ่งนัก”
“หินแห่งแสงสว่าง… นี่จะต้องเป็นหินที่ได้รับพลังแห่งท่านเทพแสงแน่ ๆ เลย”
“นามของมันคือหินอ่อน”
ก่อนที่มันจะไปกันใหญ่ ผมได้พูดขัดเรียกสติพวกเขาคืนมา ตอนแรกเหมือนพวกเขาจะถามอะไร แต่แน่นอนว่าเพื่อความง่ายของการอธิบาย ผมไม่รอให้พวกเขาอ้าปากก็จัดการอธิบายด้วยเหตุผลที่นึกได้สด ๆ มาอย่างทันทีทันใด
“ยามแสงสว่างแรกแห่งข้าได้สาดส่องทั่วโลก มีศิลาบางส่วนได้รับมันมากกว่าสิ่งใด เนื้อผิวและสีสรรของมันจึงแปรเปลี่ยนไปดั่งแสงที่มันได้รับ แม้กาลเวลาที่ผันผ่านจะทำให้พลังของมันเจือจาง แต่ความงดงามของมันยังไม่หายไปสินะ”
ผมเสริมความสมจริงขึ้นด้วยการใช้ท่าทางประกอบ มือข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า ขณะที่ขาก้าวเข้าหาภูเขาหินอ่อนช้า ๆ น้ำเสียงที่ส่งออกมาก็พยายามทำให้ดูเหมือนคนแก่กำลังลำลึกความหลัง
“เป็นพลังของพระองค์จริง ๆ ด้วย”
ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาเช่นนี้ ผมจึงแอบเหลือบไปดูค่าความศรัทธาต่อวันก็ดูเหมือนว่ามันจะเด้งเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ถึงจะขึ้นแบบทศนิยมแต่อย่างน้อยมันก็เพิ่ม แสดงว่าวิธีการที่ผมทำมานั้นมีได้ผลจริง ๆ
เอาจริง ๆ ถึงแม้ด้วยพลังที่ผมมีอยู่นั้นแทบจะไม่ต้องกังวลว่าจะหมดหรือเปล่า เพราะปริมาณค่าศรัทธาที่มันต้องการ ต่อให้ใช้กี่สิบชาติมันก็ยังไม่หมด แต่ขึ้นชื่อว่าพลัง มีเกินก็ดีกว่าขาด แบบนี้สิเขาเรียกว่าวางแผนสำหรับอนาคต
“สมแล้วครับที่เป็นพลังของพระองค์ งดงามกว่าเขาใด ๆ ที่ข้าเคยเห็นจริง ๆ”
“หึ เจ้ารู้จักภูเขาอยู่ลูกเดียวไม่ใช่เหรอไง”
“แหะ ๆ นั่นสินะครับ”
“ถ้าภูเขาที่พวกเราอาศัยสวยงามเช่นนี้คงจะดีไม่ใช่น้อยนะครับ”
อุสบาร้องทักขึ้นมาขณะที่ดวงตาของเขายังคงจดจ้องที่ภูเขาหินอ่อน แน่นอนว่าผมก็แอบเห็นด้วย แต่ที่เห็นด้วยนั้นไม่ใช่อยากได้ตัวภูเขา แต่ผมรู้สึกว่า หากบ้านของผมถูกสร้างมาจากหินอ่อนล่ะก็ มันคงจะดูดีไม่ใช่น้อย
ใคร ๆ ก็อยากมีบ้านแพง ๆ อาศัย แค่คิดสภาพที่ตื่นเช้าขึ้นมาได้มองพื้นที่เงางามส่องสว่าง ประดับด้วยงานแกะสลักหินอ่อนสวยงามจำนวนมาก ก็รู้สึกว่ามีความเป็นเทพเพิ่มขึ้นมาไม่รู้กี่สิบเท่า
แต่ทันใดนั้นเอง ความฝันอันแสนหวานนั้นก็ต้องหยุดลง เมื่อผมตระหนักได้บางสิ่ง…. เทคโนโลยีผมมันยังไม่พอ!!!
สิ่งเดียวที่พวกผมมีตอนนี้คืออุปกรณ์ที่ทำจากหิน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการขุดเจาะหินอ่อนอย่างแน่นอน พอรู้แบบนั้นผมก็ได้แต่คอตกแล้วตั้งเป้าหาโลหะต่อไป
“ยามนี้พวกเราคงนำมันกลับไปไม่ได้ หากพวกเจ้าชอบ ตอนนี้ก็ดูให้เต็มที่ไปก่อนแล้วกันนะ”
“พวกเรานำภูเขากลับไปหมู่บ้านได้ด้วยเหรอคะ… การยกภูเขาทั้งลูกเนี่ย? สมเป็นท่านเทพจริง ๆ ค่ะ!”
ใจเย็น ๆ นะยูน่า ถ้าผมทำแบบนั้นได้จริงผมคงทำไปนานแล้ว น่าเศร้านะที่ผมมันทำได้แค่ทำตัวเรืองแสง!
“ข้าไม่ได้หมายถึงตัวของภูเขา แต่หมายถึงหินอ่อนต่างหาก”
“หินอ่อนงั้นเหรอคะ?”
ยูน่าเอียงคออย่างสงสัย ใบหน้านั้นช่างดูน่ารักน่าหยอกอย่างบอกไม่ถูก ผมที่เห็นแบบนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนพูดต่อ
“มีอีกหนึ่งในพลังที่ข้าจะมอบให้พวกเจ้าในสักวันหนึ่ง… พลังแห่งการ “ขุดเจาะ” ”
ผมเว้นจังหวะพร้อมทำเสียงเข้มย้ำคำสุดท้ายว่าขุดเจาะขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้คำพูดของตัวเองดูยิ่งใหญ่มากขึ้น
“พลังอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถจะแยกหินอ่อนออกมาจากภูเขาลูกนี้ได้”
“พลัง…แห่งการขุดเจาะงั้นเหรอคะ?”
“ใช่ เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าพร้อม ข้าจะมอบมันให้กับพวกเจ้าเอง”
ใช่ เวลาที่พวกเราได้เจอแร่โลหะแล้วน่ะนะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ขอให้พวกเธอทุกคนทนอยู่กับกระต๊อบเล็ก ๆ กันไปก่อนก็แล้วกันนะ
และเมื่อวันนั้นมาถึง เทพแห่งแสงผู้นี้จะพาพวกนายทุกคนไปพบกับความเจริญในบ้านสุดหรูที่สร้างจากหินอ่อนเอง
“ฟายเดอร์ การค้นพบของเจ้ายิ่งใหญ่มาก ทว่าตอนนี้เราคงทำอะไรกับมันไม่ได้ ช่วยนำไปต่อที”
แบบที่ผมพูดไป ฟายเดอร์ได้ค้นพบทรัพยากรใหม่อย่างหินอ่อน ทำให้ผมเริ่มชักจะเริ่มเชื่อในความสามารถหรือเซนส์ของเขาขึ้นไปทุกที
“ได้ครับพระองค์ เช่นนั้น….ไม่สิ แบบนี้น่าจะดีกว่า”
ตอนแรกฟายเดอร์ดูเหมือนกำลังชี้ทางไป ทว่าเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความลังเล ทำเอาผมเริ่มงงกว่าเดิมเพราะวิธีการของเขามันแค่เดาทาง ไหงถึงต้องทำหน้าซีเรียสอะไรขนาดนั้น
ฟายเดอร์นั่งลงกับพื้น เขาคว้ากิ่งไม้ตรงพื้นขึ้นมาก่อนที่จะนำมันวางตั้งฉากกับพื้น ตอนนี้ไม่ว่าจะผมหรือคนอื่น ๆ เริ่มลุ้นถึงสิ่งที่เขาจะทำต่อไป
อ่านสายลม? อ่านทิศทางจากเงา? เขาจะใช้วิธีการแบบไหนกันนะ อ่านไม่ออกเลย… ไม่สิ ไม่น่าใช่…. แบบนี้มัน!
ไม่นะ! ฟายเดอร์…. นี่แก อย่าบอกผมนะว่า!
ผลั๊ก!!!
ฟายเดอร์ปล่อยมือของตัวเองออกจากกิ่งไม้ที่ตั้งฉากกับพื้น ในจังหวะที่มือของเขาถูกยกขึ้น ไม้ที่ไร้สิ่งใดยึดเหนี่ยวก็ล้มลงไปกับพื้น ในตอนนั้นเองที่ฟายเดอร์ได้ยกมือของตน ชี้ไปทางเดียวกับปลายไม้
“ทางนั้นครับ”
ไอ้ฟายเดอร์!!!!
นี่นาย…. นี่นายใช้ไม้สุ่มทางเนี่ยนะ!!!
โอ้ น้ำตาจะไหล ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ผมอุตส่าห์แอบมีความหวังกับมันขึ้นมาเล็กน้อย แต่นี่สรุปมันก็ไม่ได้มีวิธีอะไรพิเศษทั้งนั้น แค่ใช้ลูกมั่วแล้วฟลุ๊คเจอของนี่หว่า…. อะ…ไอ้คนดวงดี แบ่งดวงของแกมาให้ชั้นเดี๋ยวนี้!!!
“ฟายเดอร์…นี่เจ้า…”
“ใช่แล้วครับ ข้าทำพิธีในการนำพลังแสงแห่งการนำทางขององค์ท่านมาเสริมพลังให้ได้ผลมากขึ้น”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะฟายเดอร์ ว่าเจ้าจะสามารถพบวิธีในการขอพลังแสงของท่านเทพมาใช้ได้”
ใจเย็นนะยูน่า
“ใช่แล้วล่ะยูน่า ข้าน่ะใช้ไม้ตั้งกับพื้นเพื่อให้ปลายของไม้ชี้ขึ้นหาดวงตะวันที่สาดส่อง เพื่อให้มันสัมผัสมหาพลังที่ยิ่งใหญ่ของท่านเทพให้มากขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยพลังของมันออกมาไงละ!!”
ฟายเดอร์พูดอย่างภูมิใจ เหล่าคนในเผ่าคนอื่นต่างตื่นตะลึงชื่นชมเขากันอย่างไม่หยุดหย่อน แน่นอนว่าจากสายตาของมัน เจ้าฟายเดอร์ไม่ได้โกหก มันเชื่อแบบนั้นอย่างจริงจัง
แต่ว่านะฟายเดอร์… นั่นน่ะไม่ใช่พิธีอะไรทั้งนั้น ที่นายทำมันก็แค่เอาไม้ตั้งแล้วปล่อยล้มสุ่มทางเท่านั้นเองนะ!!! พลังแสงแห่งการนำทางอะไร ถ้ามีจริงป่านนี้ผมไม่ต้องพึ่งคนนำทางแล้ว!!!
ในระหว่างที่ผมยังยื่นทึ่งกับสิ่งที่ฟายเดอร์ทำ มันก็รีบเดินฉับ ๆ ไปทางที่ไม้ชี้ทันที โดยไม่พูดอะไรต่อ
เดินกันอยู่พักหนึ่ง พวกผมก็เดินมาหยุดกันอยู่ที่ภูเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากภูเขาหินอ่อนก่อนหน้านี้
“ท่านเทพครับ ตรงนั้นมีทางเข้าครับ”
ฟายเดอร์ที่เดินนำพวกผมไปช่วงหนึ่งได้ตะโกนกลับมา เรียกให้พวกผมวิ่งตามกันไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพบกับฟายเดอร์ที่กำลังโบกมือไปมาเรียกพวกผมให้ไปหา
พวกผมเดินตามฟายเดอร์เข้าไปในถ้ำ โดยตัวผมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสิ้นศรัทธาหลังจากวิถีแห่งไม้สุ่มไปก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอีก ทำเพียงแค่ไหลตามน้ำคนอื่นไปเท่านั้น
ให้ตายสิ… แสงแห่งการนำทางอะไรกัน แสงหลงทางสิไม่ว่า……
แสงแห่งการนำทาง ไม่มีอยู่จริง!!!! นั่นคือข้อสรุปที่ผมได้มาหลังเจอวิธีไม้ล้มไป
ปลายทางของถ้ำที่พวกผมเข้าไป สิ่งที่รออยู่ได้ปรากฏออกมาเมื่อผมได้ใช้พลังแห่งแสงของตัวเองทำลายความมืดเพื่อให้พวกเขาเดินได้สะดวกมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ไฟ
แสงสว่างสีขาวได้สาดส่องไปถั่วถ้ำก่อนที่แสงบางอย่างจะสะท้อนกลับมา แสงของมันไม่ได้ขาวนวลสบายตาแบบแสงของผม ทว่ากับเรืองรองส่องออกมาเป็นสีเหลืองจาง ๆ
นั่นมัน….. นั่นมัน!!!!
ตรงหน้าของผม คือแร่โลหะสีเหลืองแวววาว มันแทรกตัวเข้าไปตามจุดต่าง ๆ ของถ้ำหินขนาดใหญ่ แสงของพวกมัน ยิ่งมองยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และสวยงาม
นั่นมันทอง!!!!!!
ทอง!!! สุดยอดแร่โลหะที่มนุษยชาติได้ค้นพบ สมบัติล้ำค่าที่ผู้คนต่างสละชีวิต ฆ่าฟันกันและกันเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง และเกรียงไกรของอาณาจักร สิ่งที่เป็นตัวแปรการแลกเปลี่ยนให้กับผู้คนในทุกยุคทุกสมัยไม่เคยแปรเปลี่ยน…..ทอง!!!!
มือของผมสั่นสะท้าน ร่างกายของผมขนลุกซู่ไปหมดทั่วทั้งร่าง ผมค่อย ๆ เหลือบมองไปที่ฟายเดอร์ซึ่งมองมาที่ผมอย่างสงสัยถึงอาการเทพของเขา
แสงแห่งการนำทาง….มีอยู่จริง!!!
แค่มีสิ่งนี้ แค่ผมมีทอง ผมก็จะเป็นคนรวย!!!
ในจังหวะที่มือของผมเผลอเคลื่อนเข้าไปหาแร่สีเหลืองทองแบบไม่รู้ตัว จู่ ๆ ผมก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้นั่นทำให้มือของผมกระตุก
เทคโนโลยีของนายไม่เพียงพอ……
ใช่ ปัญหาเดียวกับหินอ่อนเมื่อครู่ มีวัตถุดิบแต่ไร้ซึ่งสิ่งที่จะมาเก็บเกี่ยวมัน ประดุจมีอาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้าแต่ไร้ซึ่งช้อนส้อมที่จะตักตวงมันขึ้นมากิน
น้ำตาจะไหล….. ผมเกลียดนาย เจ้าเทคโนโลยีไม่เพียงพอ!!!
อารมณ์ความสุขที่พุ่งประดุจจรวดกำลังไปดวงจันทร์ได้หยุดชะงัก ก่อนจะดิ่งหวบเหมือนคนตกร่องเหว บาดแผลจิตใจครั้งนี้ช่างหนักหนาสาหัสนัก
และด้วยผลลัพธ์แบบนั้น ผมจึงหมดอารมณ์ที่จะหาอะไรต่อด้วยกลัวที่จะเจ็บช้ำอีก จึงได้ยุติการค้นหาแล้วเดินทางกลับหมู่บ้านแบบคอตก
ให้ตายสิ อยากได้จังเลยนะ อุปกรณ์โลหะน่ะ….
—————————–
“ฮ่า ๆ ขำจริง ๆ เจอของล้ำค่าแต่ขุดออกมาไม่ได้ซะงั้น”
พระเจ้าที่มองภาพทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา กำลั่งก้มตัวหัวเราะท้องแข็งให้ชะตาชีวิตของเทพมือใหม่อย่างอดไม่ได้
“แต่ก็นะ ไอ้ของพวกนี้ นายไม่ควรที่จะได้เจอมันด้วยซ้ำ ถ้าจะต้องโทษก็ต้องไปโทษคนนำทางของนายเองแล้วล่ะ”
พระเจ้าพูดขึ้นก่อนที่จะเคลื่อนภาพของตัวเองไปทางฟายเดอร์ เขาเลื่อนมือไปสัมผัสหน้าจอสองสามทีก่อนจะดีดนิ้วทีหนึ่งเรียกหน้าจอย่อยสีฟ้าให้ปรากฏขึ้นมา
“ตอนแรกก็สงสัยเหมือนกับนายล่ะนะ แต่ดูเหมือนจะใช่จริง ๆ ด้วยสินะ”
พระเจ้าคลี่ยิ้มออกมา ดวงตาของเขาก็กวาดมองข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
“โชคดีจังเลยนะ เจ้าน่ะ”
พระเจ้าสะบัดมือหนึ่งที ข้อมูลทั้งหลายได้เคลื่อนไปมาก่อนที่จะค่อย ๆ หายไปและปรากฏเป็นหน้าต่างซึ่งมีอักษรแสดงออกมาให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุด
NAME : FINDER
CHARACTER TYPE : Legendary scout
คำอธิบาย เป็นหนึ่งในประชากรที่มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง หลายพันปีมีเพียงหนึ่งคนจะโผล่มาเท่านั้น บุคคลที่มีความสามารถนี้อยู่จะทำให้สามารถตามหาสิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเองและผู้ที่ตนรับใช้ โดยสิ่งที่หามาได้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นของที่เหนือกว่าที่ต้องการทุกๆ ครั้ง
———————————————————————-
เป็นตอนแนะนำระบบหลายๆ อย่างเข้ามาครับ