Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 5 ยุคหิน เป็นพระเจ้าทั้งทีจะปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 5 ยุคหิน เป็นพระเจ้าทั้งทีจะปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ
ในยามเช้าอันแสนอบอุ่น แดดเริ่มเข้ามาแยงตาผมผ่านหน้าต่าง เรียกสติของผมให้คืนมาอีกครั้งพร้อมกับอากาศอันแสนสดชื่น
“หาววว เป็นค่ำคืนที่หลับสบายกว่าทุกคืนจริง ๆ”
ผมดันตัวเองขึ้นมาจากเตียงอันแสนนุ่มนวล…. ที่จริงจะว่าแบบนั้นก็ยากอยู่เพราะเตียงที่ผมใช้ตอนนี้มันเป็นกองฟางแห้งมากอง ๆ เอาไว้ แต่หากเทียบกับพื้นหินเย็น ๆ ในถ้ำแล้วมันก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ก๊อก ๆ
“ท่านเทพคะ ตื่นหรือยังคะ?”
เสียงเคาะประตูไม้ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงหวานใสของยูน่า ทำให้ผมรีบจัดการดันตัวเองลุกขึ้นก่อนรีบเดินไปเปิดประตู
“ตื่นแล้วล่ะ ว่าแต่มาหาแต่เช้าแบบนี้มีอะไรอย่างงั้นเหรอ ยูน่า?”
“เอ่อ… รบกวนเหรอเปล่าคะ?”
ยูน่าพูดด้วยน้ำเสียงดูกล้า ๆ กลัว ๆ พร้อมก้มหน้าไม่กล้าสบตา บ่งบอกได้ถึงความเกรงใจของเธอต่อตัวผม ซึ่งผมก็โบกมือปฏิเสธรัว ๆ
“ไม่เลย หากเป็นยูน่าล่ะก็ จะเรื่องอะไรก็ไม่รบกวนทั้งนั้นล่ะ”
….
พูดไปแบบนี้ก็ขืนแหะ ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าประโยคนี้มันเสี่ยวแปลก ๆ แต่ว่านะ คนเราหากไม่ลุยมันก็ไม่คืบหน้าสิ
“สรุปว่ามีเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอ”
ผมพูดไปพลางยกมือของตัวเองลูบที่หัวของสาวน้อยตรงหน้าตัวเองเบา ๆ ในใจตอนแรกก็เต้นตึก ๆ รัว ๆ เพราะนี่ก็ครั้งแรกเหมือนกันแต่ว่านะ…..มีความสุขจังเลยนะ
“อ๊ะ ใช่ค่ะ เรื่องที่มารบกวนท่านเทพในครานี้นั้นเป็นเรื่องท่านเทพได้ฝากไว้… คือพวกผู้ชายกลับมาจากการหาของป่าแล้วล่ะค่ะ”
“อ๋อ เข้าใจแล้วล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวจะตามไปนะ”
“ค่ะถ้างั้นขอตัวก่อนนะคะ”
ผมพยักหน้าให้ พลางโบกมืออำลาให้กับเธอที่โค้งตัวก่อนเดินจากไป ซึ่งแน่นอนเรื่องที่เธอบอกนั้นผมรู้ว่าคือเรื่องอะไร
เนื่องจากพวกผมสร้างหมู่บ้านนี้เสร็จราว ๆ อาทิตย์นึงได้ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่พวกเขาปรับตัวกับชีวิตใหม่นี้ได้อย่างรวดเร็ว แถมยังชมเรื่องความอบอุ่นและความสบายอย่างไม่หยุดปากว่าเป็นสวรรค์แบบที่ผมบอกจริง ๆ
แน่นอนว่าท่ามกลางความยินดีที่พวกเขาบอกว่าคือสวรรค์ มันยังมีอีกปัญหาหนึ่ง… คืออาหารไม่พอ
ใช่แล้ว ตอนนี้หมู่บ้านผมกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ซึ่งไม่ใช่เชิงจำนวนแต่เป็นเชิงคุณภาพ
โดยปรกติพวกชาวบ้านจะออกไปล่าสัตว์และกลับมาด้วยเนื้อแบบเดิม ๆ ซึ่งก็อาจมีปลามาเสริมจากการที่ผลิตหอกไว้จับปลาที่แม่น้ำมาได้บ้างแต่ก็นะ…. มันยังน้อยเกินไป!
ลองคิดดูสิ ถ้าต้องมานั่งกินข้าวไข่เจียวตลอดหนึ่งถึงสองสัปดาห์แบบไม่มีอะไรให้เปลี่ยน ต่อให้ไข่มันจะเทพขนาดไหนมันก็ต้องเบื่อ และนี่ที่ผมได้กินก็มีแต่เนื้อกับปลา มีอยู่แค่สองอย่าง บอกได้เลยว่าตอนนี้ผมที่มาจากประเทศซึ่งขึ้นชื่อว่าอาหารหลากหลานอันดับต้น ๆ นั้นกำลัง….เบื่อสุด ๆ
แต่ ๆ แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่นั้นหรอก ผมไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งหลักอยู่แล้วน่า…. คืออีกประเด็นที่สำคัญก็คือสารอาหาร เพราะวิชาชีวะมันก็สอนอยู่แล้วว่าคนเราจะกินเนื้ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีผักและผลไม้มาเสริม ไม่งั้นสุขภาพได้พังทะลายแน่นอน
เพราะงั้นด้วยอาศัยความเป็นเทพ ผมเลยสั่งการให้พวกเขาออกไปหาของป่ามาเพิ่ม โดยตอนแรกผมก็ไปด้วย ซึ่งก้พบสารพัดพืชพรรณหลากสีที่ดูน่าอร่อยอยู่เต็มไปหมด
และนั่นก็ทำให้ผมเจอกับปัญหา… ถูกต้อง ปัญหาที่พุ่งเข้ามาในหัวของผมทันทีที่กำลังจะก้มไปหยิบพวกมัน…
เจ้านี่มันกินได้เหรอเปล่า?
จากประสบการณ์และความรู้สมัยเรียนวิชาชีวะ เขาได้สอนไว้ว่าพืชต่าง ๆ นั้นมีพิษแฝงไว้โดยเฉพาะพวกสีสวย ๆ หากเผลอไปกินอาจนอนชักตายคาที่ได้ง่าย ๆ
ซึ่งหากจะรู้ได้นั้น กรรมวิธีเดียวสำหรับยุคที่ไร้ซึ่งเครื่องมือในการพิสูจน์นั้นคงเป็นหนึ่งในวิชาที่มนุษย์มีมาแต่เกิด… การลองผิดลองถูก
ใช่ วิธีการเดียวที่ตอนนี้จะทำให้รู้ได้ว่ามันกินได้ไหมก็คงมีแต่ต้องลองกินมัน…ซึ่งแน่นอนว่าพวกชาวบ้านที่เชื่อใจผมไม่ว่าจะสั่งอะไรล่ะก็ย่อมไม่มีปัญหา…….ไม่มีปัญหาก็แย่แล้ว
มันเป็นความคิดที่บ้าบอมาก ๆ หากจะไปลองอะไรแบบนั้น ยิ่งกับหมู่บ้านของผมที่มีประชากรเพียงหลักร้อย หากหายไปสักคนก็ถือว่าเป็นความเสียหายใหญ่หลวง กว่าจะแทนที่ได้คงใช้เวลาหลายสิบปี
เพราะงั้นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการเอาตัวเองไปเป็นหนูลองยา…. ใช่ ผมจัดการเปิบสดกินเอง ไหน ๆ มันก็เป็นอมตะอยู่แล้วก็ขอใช้ความเป็นอมตะให้มันคุ้มที่สุดก็แล้วกัน
และนั่นมัน…โคตรจะเป็นความคิดที่ผิดที่สุดที่ผมจะคิดได้เลย
ทำไมน่ะเหรอ.. ก็เพราะหลังจากนั้นผมก็โดนไปสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะพิษระบบประสาทที่ทำเอาทั้งหายใจติดขัดบ้าง หัวเราะเป็นคนบ้าบ้าง ทำเอาซะนอนชักดิ้นชักงอตัวเป็นกุ้งไปหลายสิบรอบ
แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้เจอพืชที่กินได้มาหลายอย่างและสามารถทำให้พวกชาวบ้านสามารถหาพักหาผลไม้กินได้อย่างปลอดภัยในที่สุด
….ช่างเป็นเทพที่เสียสละอย่างสุดซึ้งเสียจริง ๆ ตัวผมเนี่ย
แต่ใช่ว่าทำแบบนี้แล้วมันจะราบรื่นเพราะบางครั้งด้วยการทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้ก็ต้องมีคนสงสัย
“เอ่อ เหตุใดท่านเทพถึงต้องทดลองกินก่อนทุกคราเหรอครับ ข้านึกว่าท่านเทพจะรู้ทุกสิ่งเสียอีก”
เจอถามแบบนั้นมาแทบทำเอาผมเกือบหงายหลัง และรู้เลยว่าตัวเองงานงอกสุด ๆ เพราะตลอดอาทิตย์หนึ่งที่ผ่านมา ผมได้สอนอะไรพวกเขาไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้พื้นฐานอย่างหลักศีลธรรมหรือหลักการเอาตัวรอด แล้วก็ความรู้ทั่วไปหลาย ๆ เรื่อง ทำให้พวกเขาคิดว่าผมนั้นรู้ทุกสิ่ง
จะตอบไปว่าเพราะไม่รู้มันก็จะเสียหน้าดังนั้นผมจึงแก้ปัญหาด้วยหลักการอันแสนชาญฉลาด…. พึ่งท่านเทพดริฟสายฟ้า
“น่าเศร้า… น่าเศร้าจริง ๆ ข้านึกว่าข้ามอบสิ่งที่เรียกว่าปัญญาให้แก่พวกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าทำไปได้อย่างง่ายดายเสียอีก”
ผมพูดเสียงจริงจังซึ่งสวนทางกับภายในหัวของผมที่ตอนนี้สติแตกวิ่งพล่านหาทางออก จากนั้นก็หันหลังหนีเพื่อไม่ให้เขาเห็นหน้าของตัวเองที่เหงื่อแตก ปากสั่นทำอะไรไม่ถูก
ทำไงดี ๆ ….
“ตะ…ต้องขออภัยด้วยครับ ทั้งที่ท่านมอบปัญญามาให้แล้วแต่ข้ายัง…”
เขารีบก้มหัวขอโทษผมอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมสอนพวกเขา เพราะบางครั้งเวลามีปัญหากัน พวกเขาชอบเพลอใช้กำลังกันทุกที ดังนั้นผมจึงสอนหลักการให้อภัยและวิธีการขอโทษเข้าไปด้วย ซึ่งก็แก้ปัญหาได้เยอะมาก
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ผมต้องมาจัดการเรื่องตรงหน้าให้จบ……
และในตอนที่ผมกำลังเคร่งเครียดนั้นเอง จู่ ๆ เทพพระเจ้าดริฟสายฟ้าก็มอบพลังให้ผมอีกคครั้ง
“หึ ๆ ข้าคงต้องเฉลยเล็กน้อยแล้วกระมั้ง… สิ่งที่ข้าทำไปนั้นมันคือหนึ่งในพลังของสิ่งที่เรียกว่าปัญญาอย่างไรเล่า”
“หนึ่งในพลังของปัญญา….งั้นเหรอครับ”
สุดยอดอรุณ นายทำได้ นายใช้พลังของท่านเทพดริฟสายฟ้าได้
“ใช่… มันคือพลังแห่งการทดลองอย่างไรเล่า พลังที่จัดการกับสิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน”
ผมตีเสียงให้จริงจังมากขึ้นก่อนจะทำตัวเองให้เรืองแสงวาบเพื่อส่งเสริมเอฟเฟคในการพูด
“หากเจ้าไม่ลองทำ เจ้าก็จะไม่มีวันที่จะรู้ถึงความจริง…. นั่นคือหลักของการทดลอง”
“เป็นเช่นนั้นสินะครับ”
“อืม..แต่ว่าพลังอันยิ่งใหญ่นั่นก็มีอันตราย ที่ข้าต้องกินของมีพิษให้พวกเจ้าเห็นนั้นก็มีอีกเหตุผล นั่นคือข้าต้องการแสดงให้เห็นถึงความอันตรายของมัน เพราะกับสิ่งที่ตนไม่รู้ บางครั้งมันก็อันตรายเกินกว่าจะจับต้อง เฉกเช่นกับผลไม้พิษที่พวกเจ้าเห็นกันก่อนหน้านี้”
“ท่านเทพ… ท่านเทพช่างเมตตาพวกเรายิ่งนัก”
เขาก้มโคกหัวให้ผมรัว ๆ ส่วนผมยังคงนิ่งสงบและหันหลังให้กับเขาเพื่อซ่อนใบหน้าที่ยิ้มยินดีจนปากเกือบฉีก
รอดแล้วเรา… ขอบคุณเทพเจ้าดริฟสายฟ้าที่มอบสกิลขั้นถัดไปมาให้ผม
และเรื่องราวมันก็เป็นแบบนั้น ดังนั้นด้วยการทดลองหลาย ๆ อย่าง ทำให้พวกผมมีอาหารการกินที่พัฒนามากขึ้นจนตอนนี้ก็รวมได้ห้าสิบกว่าชนิดแล้ว ซึ่งหากจำหมดคงได้ตายก่อน ผมเลยสอนพวกเขาอีกเรื่อง
การวาดภาพ
แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีกระดาษเพราะฉะนั้นหากต้องการบันทึกก้ต้องสลักลองในแผ่นหิน ถึงภาพจะดูยากไปบ้างแต่ก็มากพอที่จะใช้ประโยชน์ได้
ซึ่งหากให้พูดแล้ว การวาดรูปพวกนั้นก็กลายเป็นการถือกำเนิดศิลปะกรรมอย่างแรกของหมู่บ้านแห่งเทพแสง นับว่าผมได้กลายเป็นผู้นำในการสร้างอักษรแรกของมนุษย์คืออักษรภาพ… ช่างน่ายินดีเสียจริง
และอีกอย่าง สิ่งที่ขาดเลยไม่ได้สำหรับมื้ออาหาร…. ข้าว!
ใช่แล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นคนมาจากประเทศที่ทานข้าวเป็นมื้ออาหารหลัก จะให้ทานแต่กับอย่างเดียวมันก็ใช่ที และนับเป็นความโชคดีที่ผมดันไปเจอพืชที่มันคล้าย ๆ กันแถมไม่ใช่เจอแค่ต้นสองต้น ผมเจอเป็นทุ่งเลย…. แต่จะเป็นข้าวประเทศไหนนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการทดลอง
“เอาล่ะพวกเจ้า ข้ามีอีกสิ่งหนึ่งนับเป็นอาหารชั้นยอดเลยล่ะ”
ว่าเสร็จผมก็จัดการเด็ดต้นขาวแล้วโยนมันไปให้พวกเขา แน่นอนว่าผลตอบลับก็คือ… งงเป็นไก่ตาแตก
“เอ่อท่านคะ เจ้าสิ่งนี้มันกินได้จริง ๆ งั้นเหรอคะ ข้านึกว่าท่านจะให้เอามาเปลี่ยนสีหลังคาเสียอีก”
“ไม่ได้หมายถึงลำต้นของมัน แต่เป็นเมล็ดต่างหาก”
ผมแกะเมล็ดข้าวเล็ก ๆ ออกมาก่อนยื่นให้กับพวกเขา ทว่ามันมีความรู้สึกหนึ่งที่แวบเข้ามา ความรู้สึกที่คล้าย ๆ กับตอนที่ผมลืมขวาน…. อืมมม… เหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง
“เข้าใจแล้วค่ะ จะลองดุนะคะ”
ยูน่าและคนอื่น ๆ รับเมล็ดข้าวมาก่อนจะเอาเข้าไปในปากและกัดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทันทีที่เริ่มการเขี้ยว พวกเธอก็ตัวกระตุกและรีบเอามันออกจากปาก
“เอ่อ… ท่านเทพคะ เจ้าสิ่งนี้มันแข็งมากเลยค่ะ มันกินได้จริง ๆ งั้นเหรอคะ”
ว่าแล้วว่าลืมอะไร… ลืมสอนหุงข้าว!!!
นี่ลืมไปได้อย่างไร วิชาลูกเสือที่เรียนมาก็มีสอนวิธีการหุงข้าวอยู่นี่นา… บางทีอาจเป็นเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำกันประจำจนลืมพูดมันไปได้อย่างไรกันนะ….
และพอพูดถึงเรื่องหุงข้าว ปัญหาอีกเรื่องก็โผล่มาทันที… แล้วจะเอาภาชนะอะไรมาใช้เพื่อหุงกันล่ะ ถ้าพูดถึงยุคโบราณคงต้องเป็นพวกเครื่องปั้นแต่ประเด็นคือตอนนี้ไม่มีแม้แต่ดินเหนียวจึงไม่สามารถสร้างเครื่องไห จาน ชามได้
ดังนั้นโครรงการทานข้าวของผมก็เลยโดนพับเก็บไปโดยปริยาย มันน่าเศร้ายิ่งนัก
ทว่าความเศร้ายังไม่ทันหาย ความซวยรอบถัดไปก็มาเยือนเมื่อเจ้าฟายเดอร์มันทักขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ว่าแต่ในเมื่อมันกินไม่ได้ เหตุใดท่านถึงได้เอามาให้เรากินกันนะ”
“นั่นสินะคะ”
ขอโทษด้วยนะทุกคน ผมลืมไปเลยว่าต้องสอนการหุงให้ก่อนแต่มันยังติดปัญหาใหญ่บางอย่างอยู่ แต่ขืนบอกไปได้หน้าแตกตายชัก
“การทดลอง…. สิ่งที่ข้าได้สอนไปในครานั้น ข้ากำลังให้โอกาสพวกเจ้าในการใช้มัน”
เนื่องจากสกิลส่วนนี้ได้ถูกอัพเลเวลมาเป็นที่เรียบร้อยดังนั้นผมจึงพูดไปได้ไหลลื่นไม่มีติดขัด
“เป็นเช่นสินะคะ ท่านเทพแห่งแสงช่างวิเศษจริง ๆ ค่ะ นอกจากมอบพลังแล้วยังมอบโอกาสให้พวกเราได้ใช้มันนับเป็นความเมตตาอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ค่ะ”
แค่นั้นล่ะ แทบหมู่บ้านแตก ทุก ๆ คนต่างพากันพูดถึงวิธีการทำอย่างไรให้สามารถทานข้าวได้ประดุจเป็นวาระระดับชาติ…… ความจริงจังแบบนี้ นับว่าเป็นลางดีได้ล่ะมั้ง?
เอาเถอะ ในเมื่อแผนการแจกข้าวพังตั้งแต่ก่อนเริ่ม ผมคงต้องย้ายไปใช้แผนสอง นั่นคือผัก ซึ่งในระหว่างทางผมก็ไปเจอพวกผักหน้าตาคุ้น ๆ เช่นผักชีหรือผักกาดเลยคว้าติดมือมาด้วย และพอเอาให้พวกเขากินก็ได้รับเสียงตอนรับเป็นอย่างดี
“อร่อย…. ความหวานและชุ่มฉ่ำนี่มัน…. อร่อยมากค่ะท่านเทพ”
“ชอบก็ดีแล้วล่ะ”
ผมมองภาพของพวกชาวบ้านที่กินผักกันด้วยรอยยิ้มอย่างดีอกดีใจ พร้อมกันพวกเขาก็ยกมันขึ้นชูหาพระอาทิตย์
“ของขวัญจากท่านเทพแห่งแสง”
ความศรัทธานี่มันสุดยอดจริง ๆ หรือเพราะเป็นคนยุคหินกันนะ ไม่ว่าอะไรก็เลยเชื่อไปหมด
“อย่าเพิ่งดีใจไปเลยพวกเจ้าทั้งหลาย นี่มันแค่ของขวัญแรกรับก่อนจะถึงของจริง…. ตามข้ามาเถอะ”
ผมเดินออกไปที่บริเวรทุ่งกว้างข้างหมู่บ้าน โดยในใจก็วางแผนที่จะเริ่มแผนการขั้นถัดไปด้วยการล้วงไปในกระเป๋ากางเกง
บนฝ่ามือของผมมีเมล็ดพืชกลม ๆ หนึ่งเมล็ด ผมมองมันพร้อมกับแสยะยิ้มออกมา
“มันถึงเวลาที่ข้าจะมอบอีกพลังของแสงแห่งชีวิตของข้าให้กับพวกเจ้าแล้ว”
“อีกพลังของแสงแห่งชีวิตงั้นเหรอคะ?”
ผมพยักหน้าก่อนที่จะหันมาหาพวกชาวบ้านที่ยืนมองมาที่ผมอย่างสงสัย พร้อมกันก็ชูเมล็ดมาข้างหน้า เรียกความสนใจเป็นสายตาเดียวกัน
“พลังแห่งการเพาะปลูก”
“พลังแห่งการเพาะปลูก?”
“ถูกต้อง… เห็นสิ่งที่พวกเจ้ากินไปเมื่อครู่หรือไม่ สิ่งนั้นถือกำเนิดมาจากสิ่งนี้นั่นล่ะ”
ผมพูดพลางชูเมล็ดให้พวกเขาเห็นชัดเจนมากขึ้น ทำให้พวกเขาเขยิบเข้ามาใกล้เพื่อจ้องมองให้ชัดเจน ซึ่งทุกสายตาตั่งเต็มไปด้วยเครื่องหมายสงสัยเต็มไปหมด
“เอ่อ ของเล็ก ๆ แบบนี้จะให้เกิดเนิดสิ่งที่เรากินไปเมื่อครู่จริง ๆ งั้นเหรอครับ… เอ่อ พวกเราไม่ได้สงสัยในคำพูดของท่านนะครับ ทว่า….”
“อย่ากังวลไป นั่นเป็นความถามที่ดี… แล้วเจ้าคิดว่าผักที่เจ้ากินไปเมื่อครู่นั้นเกิดมาได้อย่างไรกันเล่า”
พวกเขานิ่งเงียบกันไปสักพัก พยายามที่จะคิดหาคำตอบของคำถามของผม แต่ก็อย่างที่คิด คำตอบของพวกเขาก็ไม่พ้น…
“ไม่ใช่ว่ามันถือกำเนิดอยู่บนผืนดินอยู่แล้วเหรอคะ เป็นสิ่งที่เกิดจากพลังของท่านเทพสร้างให้พวกเราเก็บกิน”
ยูน่าพูดด้วยเหตุผลที่ยกยอผมอย่างสุด ๆ ซึ่งก็ไม่เกินกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ทำให้ผมส่ายหัวให้เธอเบา ๆ
“เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าไม่สงสัยเลยเหรอว่า เหตุใดเจ้าเก็บแล้วพวกมันถึงไม่มีวันหมดกันเล่า”
ผมเริ่มพยายามรวบรวมพลังแห่งเทพเจ้าดริฟสายฟ้าให้ไต่ระดับขึ้นทีล่ะนิด ๆ เพื่อโยงเข้าหาการเพาะปลูก
“เพราะท่านเสกให้กับพวกเราขึ้นมาใหม่ใช่ไหมครับท่านเทพ”
กึก
คำตอบของพวกเขาทำเอาผมแทบสะดุด….. เย็นไว้ก่อนอรุณ นั่นแค่ความคิดของคนยุคหิน จะถามมาบอกเทพทำหมดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก
“งะ… งั้นข้าจะแสดงให้ดู”
ผมพูดเสร็จก็นำเมล็ดผักฝังเข้าลงไปที่พื้นดินตรงหน้าก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตะโกนออกมาจนสุดเสียง
“พวกเจ้าทุกคนจงหลับตา ข้ากำลังจะเริ่มใช้พลังให้เจ้าสิ่งนี้เติบโต”
แม้พวกเขาดูจะไม่เข้าใจว่าผมจะทำอะไร แต่ก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพวกชาวบ้านหลับตาลงตามแผนการของผม ผมก็ยิ้มราวกับผู้มีชัยก่อนจะเร่งเสียงของตัวเองให้ดังยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มความขลัง
“ชีวิตซึ่งข้าปลูกลงบนผืนดิน จงถือกำเนิดและงอกงามด้วยแสงแห่งชีวิตของข้า!!!”
ประโยคนี้มันช่างแสนจะจูนิเบียวเอามาก ๆ ซะจนหากมีคนรู้จักมาได้ยินผมคงได้เอาปี๊ปคลุมหัว
ไม่รอช้า ผมรีบคว้าผักที่แอบซุกไว้ข้างในเสื้ออกมาก่อนจะเอาดินมากลบผักกาดนั่นให้เหมือนราวกับมันเติบโตขึ้นมาด้วยพลังของผมจริง ๆ
เป็นไงล่ะ แผนอย่างล้ำ
“เสร็จแล้วล่ะ พวกเจ้าลืมตาได้”
ก่อนที่จะบอกให้พวกเขาลืมตา ผมใช้พลังให้ตัวเองส่องแสงออกมาก่อนจะให้มันค่อย ๆ หรี่ลงมาในจังหวะที่พวกเขาลืมตา
เมื่อพบกับสิ่งที่เหนือเกินกว่าจินตนาการ ผักที่ไม่เคยอยู่มาก่อนกลับโผล่ขึ้นมาจากอากาศธาตุ พวกเขาก็มองมันตาโตพลางชี้ผักที่อยู่ตรงหน้าด้วยมือที่สั่นเทา แสดงถึงแผนการของผมที่สำเร็จด้วยดี
พลังของเทพดริฟสายฟ้าของผมขึ้นระดับเป็นเวลสามแล้วสินะ
“นี่มัน….. ไม่น่าเชื่อ”
“ดั่งที่ท่านเทพได้บอกเอาไว้”
“พระองค์ท่านช่างยิ่งใหญ่นัก”
“พลัง…พลังแห่งการเพาะปลูก… พลังอันยิ่งใหญ่ ท่านเทพได้ประทานพลังอันยิ่งใหญ่มาให้แก่พวกเราแล้ว”
“ข้ารู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงพลังอันอบอุ่นของท่านเทพแห่งแสงที่แผ่ให้กับพวกเรา”
สารพัดคำสรรเสริญได้ร้องออกมาทำเอาผมรู้สึกมีความสุขซะจนตัวลอยได้ ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต่างยกว่าพลังอำนาจในการเพาะปลูกเป็นอำนาจของผม เท่ากับผมได้เทคโอเวอร์หนึ่งในอำนาจเทพแต่เพียงในนามเป็นที่เรียบร้อย
เสียใจด้วยนะเทพเพาะปลูก ผมยึดตำแหน่งนี้แล้ว หากคนของนายมาเจอผมล่ะก็ รีบรองได้คิดว่านายเป็นเพียงลูกกะเบ๊ของผมอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าแผนนี้ผมเตรียมมาอย่างดี ด้วยที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองได้อาบแสงแห่งความอบอุ่นนั้นมันง่ายมาก
ทำไมน่ะเหรอ? ผมลงทุนลากพวกเขาออกมาข้างนึกหมู่บ้านขนาดนี้ก็เพื่อพาพวกเขามาตากแดด ซึ่งหากยืนตากแดดมาพักหนึ่งมันย่อมเจอไอร้อนเผาระดับหนึ่ง ประกอบกับศรัทธาและทฤษฎีสมคบคิดนิดหน่อย พวกเขาย่อมคิดว่าผมมอบอำนาจบางอย่างให้อย่างแน่นอน
ผมหัวเราะอย่างสะใจในใจ ก่อนเหลือบมองไปเห็นยูน่ากำลังเอาเมล็ดพืชหยอดลงไปที่ผืนดินพร้อมทั้งเอามือตบ ๆ ลงไปที่พื้น ทว่าแน่นอนว่าขนาดเทพของเธอยังเป็นแค่ปาหี่ ความพยายามของเธอย่อมเปล่าประโยชน์
ยูน่าทำหน้าครุ่นคิดสักพักหนึ่ง หน้าของเธอดูเต็มไปด้วยความกังวลเห็นมาอย่างเด่นชัด
“ท่านเทพคะ ชั้นลองทำตามที่ท่านเทพดูแล้ว ไม่เกิดผลแบบท่านเลยค่ะ”
แน่นอนว่าผมที่อัพระดับพลังเทพดริฟสายฟ้ามามากพอแล้ว ย่อมสามารถตอบคำถามแบบนี้ได้อย่างสบาย ๆ อยู่แล้ว
“พลังที่ข้าใช้ให้เห็นนั้น มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะใช้ได้ ข้าจึงมอบพลังแห่งการเพาะปลูกในระดับที่เหมาะสมซึ่งต้องใช้เวลาและพิธีกรรมมันถึงจะเห็นผล”
“เช่นนั้นเองสินะคะ…. ดีจังเลยค่ะ”
ยูน่ากล่าวออกมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก หากให้ผมเดา ตอนแรกเธอคงคิดว่าตัวเองไม่ได้รับพลัง…. คิดมากจังเลยนะ เด็กคนนี้
“อีกอย่าง อย่าลืมทำพิธีกรรมสำคัญอย่างการลดน้ำด้วยล่ะ”
“รดน้ำเหรอคะ มันเกี่ยวอะไรกับพลังแห่งการเพาะปลูกอย่างงั้น”
“อย่างที่ข้าบอกพวกเจ้าเมื่อครู่ พลังที่มอบให้นั้นไม่มากเพียงพอ ข้าจึงจำเป็นต้องใส่พลังแห่งชีวิตลงในผืนน้ำร่วมด้วย”
“พระองค์ช่างเมตตาจริง ๆ ค่ะ”
และด้วยเหตุนั้นเอง ผมจึงสามารถสอนวิธีการเพาะปลูกให้กับพวกเขาได้สำเร็จ โดยไม่ลืมที่จะสอนวิธีการรดน้ำอย่างละเอียดอย่างเวลาที่ควรรด ปริมาณที่ควรใช้
“ทุกชีวิตนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่เช่นที่ข้าเป็น หากรับพลังชีวิตมากเกินไป ร่างย่อมรับไม่ไหวและตายได้ พวกต้นไม้นี้ก็เช่นกัน หากเจ้ารดน้ำมากเกินและบ่อยเกินมันย่อมตายก่อนที่จะได้เจริญงอกงาม”
“เข้าใจแล้วครับ”
และก็จบลงได้อย่างงดงาม
เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ ซึ่งการเพาะปลูกและการหาของป่าก็เป็นไปได้ด้วยดี แน่นอนว่าผักบางชนิดก็เริ่มออกดอกออกผล ตรงข้ามกับผลไม้ที่ยังคงเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ คงต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผล
ซึ่งถามว่าผมได้เมล็ดพรรณนา ๆ ชนิดพวกนี้มาจากไหน คงต้องไปขอบคุณเจ้าฟายเดอร์ที่มันหาของมาได้เก่งขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมฝากชาวบ้านไปหาอะไร จะเป็นเจ้าหมอนี่ที่นำมาให้ผมได้ทุกครั้ง ช่างเป็นคนหาของที่น่าชื่นชมเสียจริง ๆ
“ท่านเทพดูนี่สิคะ ผักกาดนี่มันโตแล้วล่ะค่ะ”
ยูน่าพูดไปพลางยกผักกาดชูมาหาผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส ทำเอาผมที่เห็นก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
น่ารักไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ยูน่าเนี่ย
“อือ ที่มันงอกงามได้ขนาดนี้ก็เพราะฝีมือของพวกเจ้าทุกคนเลยนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ/ครับ”
เพียงแค่พูดชม ชาวบ้านรอบ ๆ ที่กำลังเก็บเกี่ยวผักกาดอยู่ก็หันมารับคำชมของผมด้วยรอยยิ้มยินดี
“ดูเหมือนผลผลิตเราจะเป็นไปด้วยดีนะ ถ้าแบบนั้น….ข้าจะพาไปดูอะไรบางอย่าง ตามข้ามาสิ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หลังเก็บเกี่ยวเสร็จผมก็พาพวกเขาเดินไปสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งผมเจอมาระหว่างการเดินสำรวจ มันเป็นสถานที่ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกมีความสุขมาก ถามว่าทำไม? นั่นเพราะที่แห่งนั้นมีสิ่งชีวิตอย่างหนึ่งอาศัยอยู่ตรงนั้น
“ท่านเทพ สิ่งนนั้นคือ?”
ชาวบ้านคนหนึ่งชี้ฝูงสัตว์ตรงหน้าเขาด้วยความสงสัย โดยฝูงสัตว์ตรงหน้าเขานั้นมีลักษณะเป็นสัตว์สี่ขาวขนาดใหญ่กว่าคนครึ่งหนึ่ง สีของมันเป็นสีขาวสลับดำพร้อมกับร้องเสียงออกมา
มอ~ มอ~
ใช่ มันคือวัว
และนับว่าผมโชคดีเอามาก ๆ เพราะตอนนี้วัวบางตัวกำลังคลอดลูกอยู่ ซึ่งนับว่าช่วยผมได้มากเลยทีเดียว
“พวกเจ้าเห็นหรือไม่ ว่าสัตว์เหล่านั้นมันถือกำเนิดเฉกเช่นเดียวกับพวกเจ้า”
“ครับ… ข้าไม่แคยนึกมาก่อนเลยว่าสัตว์พวกนี้จะกำเนิดมาด้วยพลังเช่นเดียวกับพวกเรา”
“ว่าแต่ท่านเทพพาพวกเรามาดูสิ่งวิเศษเช่นนี้เพื่ออะไรอย่างนั้นเหรอคะ”
ช่างสงสัยสมกับเป็นยูน่า ซึ่งแน่นอนว่าผมอาจต้องขอบคุณเธอเพราะคำถามนี้เองช่วยให้ผมสามารถโยงไปสู่สิ่งที่ผมอยากจะสอนพวกเขา นั่นคือ… ปศุสัตว์
ใช่ ในช่วงเวลาที่การเพาะปลูกมาอยู่จุดที่เพียงพอและมากพอที่จะมีเหลือเก็บ มันก็ถึงเวลาที่จะนำผลผลิตเหล่านั้นไปลงทุนเพิ่มเพื่อสร้างผลผลิตชนิดที่หลากหลายขึ้นและจำนวนอาหารที่ได้ในระยะยาวก็จะมากยิ่งขึ้น
อีกอย่าง หน้าหนาวกำลังจะมาถึง ของป่าก็จะเก็บไม่ได้ อาหารในช่วงหน้าหนาวก็จะขาดแคลนเพราะฉะนั้น การเลี้ยงสัตว์จึงตอบโจทย์มากเพราะสามารถนำไปแปรรูปเพื่อถนอมอาหารได้ง่ายมาก
“สิ่งที่ข้าจะให้พวกเจ้าทำน่ะเหรอ… คือการเลี้ยงพวกมันอย่างไรเล่า”
“เลี้ยงอย่างนั้นเหรอคะ”
“ถูกต้อง เจ้าเห็นการกำเนิดของพวกมันใช่หรือไม่ ซึ่งหมายถึงว่า หากพวกเจ้าล่ามันมากเกินกว่าที่มันจะถือกำเนิดและเติบโตได้ทัน มันก็จะสูญพันธ์ และหากเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าก็จะไร้ซึ่งเนื้อหาล่า…. ความอดอยากก็จะมาถึง”
ใบหน้าของพวกเขาที่คิดตามสิ่งที่ผมพูดเริ่มดูกังวลและเคร่งเครียดมากขึ้น ผมจึงพูดต่อเพื่อย้ำสิ่งที่ตัวเองจะให้หนักแน่นขึ้น
“เพราะฉะนั้นที่ข้าต้องการคือให้พวกเจ้าเพิ่มจำนวนพวกมันอย่างไรล่ะ”
“สมเป็นองค์เทพแห่งแสงผู้มอบปัญญาและความเมตตาให้พวกเราจริง ๆ ค่ะ”
ยูน่าพูดพลางกุมมือไว้ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมล้นความสุข เมื่อเจอคนที่ศรัทธาในตัวผมในทุก ๆ อย่างแบบนี้ ทำเอาผมดีใจจนตัวแทบลอย
“ส่วนวิธีการเลี้ยงนั้น ข้าจะบอกอีกทีแล้วกัน ตอนนี้เราต้องต้อนมันไปใกล้ ๆ กับหมู่บ้านของพวกเราก่อนล่ะนะ”
“ครับ/ค่ะ”
พวกเขาขานรับคำผมอย่างแม่นมั่น ก่อนที่พวกเราจะทำการต้อนวัวไปอยู่บริเวณทุ่งหญ้าข้างหมู่บ้าน ซึ่งกว่าจะไปถึงก็เหนื่อยพอควร มีบางคนซวยโดนวัวดีดหน้าซะกระเด็น แน่นอนผมก็โดนไปด้วย
หึ ถ้าไม่ติดว่าพวกนายต้องเป็นอาหารที่หมู่บ้านล่ะก็ ได้กลายเป็นสเต๊กมื้อเที่ยงของผมแน่ ๆ!!!
และในที่สุด หมู่บ้านของผมก็ได้มีทั้งการเกษตรและปศุสัตว์ ที่เหลือก็คงเป็นอาหารที่จะใช้เลี้ยงพวกมัน แน่นอนว่าผมมีอย่างหนึ่งที่เก็บเอาไว้ สิ่งที่ผมปลูกและเก็บไว้จำนวนมากแต่ยังไม่สามารถเอามากินได้พวกปัญหาทางเทคโนโลยี….
ข้าวไง ข้าวที่ผมอยากกิน แต่พวกที่ได้กินก่อนกลับเป็นพวกวัว มันช่างน่าเศร้าเสียจริง ๆ …
แน่นอนว่าผมจัดการส่งฟายเดอร์ไปเอาหาทุ่งนาธรรมชาติมาเพื่อเกี่ยวเก็บไว้เป็นอาหารพวกวัวและนำมาปลูกเพิ่มเติมที่หมู่บ้าน
แน่นอนว่าปัญหาที่มีก็หายไปแต่กลับได้อีกปัญหามาแทน… คือการที่ข้าวตอนนี้กลายเป็นอาหารสำหรับสัตว์แล้ว ดังนั้นถึงจะมีเทคโนโลยี แต่จะชวนพวกเขามากินข้าวด้วยนั้นคงยากน่าดูเพราะคงไม่มีใครอยากกินอาหารสัตว์หรอก
เอาเถอะ อย่างน้อยพวกของพื้นฐานสำหรับหมู่บ้านก็ครบแล้ว น่าจะได้เริ่มขั้นตอนถัดไปแล้วสิ
“หืม… มีทั้งการเกศตรและปศุสัตว์ในเวลาสั้นแบบนี้ พัฒนาเร็วจังเลยนะเทพแหงแสง”
เสียงพูดของชายผู้เรียกตนเองว่าพระเจ้าดังขึ้นมา เรียกความสนใจของข้าให้หันตามไปก็พบกับพระเจ้ากำลังดูหน้าจอบางอย่าง
“จากสิ่งที่หมอนั่นทำได้ สงสัยค่าการเติบโตของประชากรคงแซงหน้าหลายคนไปมากโขล่ะนะ… อืม รวมกับการวาดภาพแล้ว ความเร็วในการพัฒนาทางเทคโนโลยีคงเพิ่มมากขึ้นโข…. ว่าไงมั่งล่ะ ชายผู้อยู่อันดับสูงสุดในกระดาน”
พระเจ้าหันมาทางข้า พร้อมกับปิดหน้าจอของเขาลง ซึ่งแน่นอนว่าควรเป็นแบบนั้นเพราะหากให้ข้าเห็นล่ะก็ มันคงจะไม่ดีต่อเทพองค์อื่นเท่าไหร่
“เป็นเทพแบบไหนล่ะ”
แต่ดูจากสีหน้าของพระเจ้าแล้ว ท่าทางคงเป็นคนที่น่าสนใจน่าดู
“ทำได้แค่ปล่อยแสงแล้วก็ไม่ได้มาจากโลกแบบนาย..ว่าไงล่ะ?”
ไร้ซึ่งพลัง ไร้ซึ่งความเป็นเทพ…. ท่าทางจะมีเทพที่น่าสนใจโผล่มาแล้วสินะ แต่จากที่พระเจ้าพูดเมื่อครู่… การเกษตร และปศุสัตว์
“ถ้าหากคนแบบนั้นสามารถพัฒนาได้เร็วขนาดนี้ คงต้องชมเชยล่ะนะ ว่าแต่มาพูดถึงความก้าวหน้าคนอื่นแบบนี้… มันจะไม่ผิดกฎไปหน่อยเหรอ”
พระเจ้าได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหัวแล้วหัวเราะออกมา เขาหันมามองข้าด้วยสายตาลึกล้ำยากที่จะอ่านออก
“ไม่หรอก ๆ นายกับหมอนั่นอยู่ห่างไกลกันมากนัก และอีกอย่าง….”
พระเจ้ามองข้ามผ่านร่างของข้า ปลายสายตาของเขาคงเป็นหมู่บ้านของข้า ไม่รู้ว่าเขากำลังมองมันด้วยความคิดแบบไหนกัน
“สิ่งที่หมอนั่นมี นายก็มีมันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ….”
พระเจ้าเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง
“ชายผู้ค้นพบเวทมนต์คนแรกของมิตินี้”