Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 4 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าแล้วจะตัดไม้หรือสร้างบ้านน่ะไม่มีปัญหา
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 4 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าแล้วจะตัดไม้หรือสร้างบ้านน่ะไม่มีปัญหา
“เอ้า! เดินตามข้ามาเลยพวกเจ้าทุกคน ตามมาๆ”
ผมโบกมือไปมาเรียกให้เหล่าคนยุคโบราณให้เดินตามผมมา ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนนั้นต่างเต็มไปด้วยความกังวล
พวกผู้ชายต่างมองรอบ ๆ ด้วยความหวาดระแวงต่อโลกภายนอก ทว่านั้นถือว่ายังน้อย เพราะที่หนักกว่าคือกลุ่มพวกผู้หญิง
คงไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะตามธรรมเนียมที่ผู้ชายออกหาอาหาร ผู้หญิงอยู่บ้าน นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเธอได้เดินออกมาจากถ้ำซึ่งเป็นบ้านหลังแรกและหลังเดียวตลอดชีวิตของพวกเธอ ดังนั้นนี่นับเป็นโลกใบใหม่ที่เพิ่งรู้จักเลยก็ว่าได้
พวกเธอแต่ละคนจึงกอดกันและรอบ ๆ ตัวเองด้วยร่างกายที่สั่นเทา ดวงตามองเหล่ซ้ายขวาอย่างหวาดกลัวต่อธรรมชาติโดยรอบ
ก็เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วล่ะนะ จากบ้านมาแบบนี้คงจะทำใจให้คุ้นชินลำบาก แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะกลัวกันได้หนักหนาสาหัสขนาดนี้
“ท่านเทพแห่งแสงคะ”
“มีอะไรเช่นนั้นเหรอยูน่า”
แต่ท่ามกลางความหวาดกลัว มีเพียงคนเดียวที่ดูราวกับไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือยูน่า สาวน้อยคนแรกผู้ซึ่งผมสอนให้รู้จักการจุดไฟเป็นคนแรก โดยเธอในตอนนี้กำลังมองสิ่งรอบ ๆ ด้วยสายตาที่ตื่นเต้นและยินดี
“เหตุใดท่านจึงให้พวกเราทุกคนออกมาข้างนอกกันหมดเช่นนี้เหรอคะ หากหาอาหาร เพียงแค่พวกผู้ชายก็….”
ยูน่าถึงจะดีใจที่ออกมาเช่นนี้แต่เธอก็ถามมาอย่างสงสัย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะสำหรับพวกเขา การออกมาข้างนอกมีเพียงเหตุเดียว นั่นคือการล่าสัตว์หาอาหาร
“ไม่ใช่ยูน่า พวกเราไม่ได้ออกมาเพียงเพื่อล่าอาหาร มันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่มากกว่านั้น”
ยูน่าดวงตาลุกวาวเป็นประกายเมื่อผมพูดไปแบบนั้น เธอจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาของความใคร่อยากรู้อย่างเต็มเปี่ยม
“ส…สวรรค์สินะคะ ท่านจะพาพวกเราไปที่สวรรค์สินะคะ”
ฮ่า ๆ ฟังแล้วอยากหัวเราะดัง ๆ แต่คงทำไม่ได้เพราะมันจะเสียมาดที่ผมวางเอาไว้หมดซะก่อน…. แต่ให้ตายสิ สงสัยผมจะโม้เรื่องสวรรค์มากไปนิดเลยทำเอาพวกเขาเชื่อกันมั่วซั่วไปหมด
“ฮ่า ๆ ก็ใกล้เคียงล่ะนะ… จะว่าสวรรค์คงจะใช่แต่ไม่ใช่สวรรค์สำหรับข้า แต่เป็นสวรรค์สำหรับพวกเจ้า… เอาล่ะเหมือนเราจะมาถึงกันแล้วนะ”
ตรงหน้าของผมนั้นเป็นทุ่งหญ้ากว้างยาวออกไปจนเห็นป่าอยู่ไกลลิบ มันถูกตัดด้วยแม่น้ำขนาดใหญ่ซึ่งทอแสงอ่อน ๆ เมื่อต้องกับแสงขอพระอาทิตย์
ไม่ต้องบอกเลยว่าที่แห่งนี้สมบูรณ์มากขนาดไหน หญ้าสีเขียวซึ่งพัดโบกไปตามสายลมไหว ๆ ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของดอกไม้ซึ่งขึ้นตามจุดต่าง ๆ หากจะเรียกว่าสวรรค์ของยุคอันมิดมนก็ยากที่จะปฏิเสธ
เมื่อถึงจุดหมายที่ผมต้องการ ผมก็รีบเก้าเท้าออกไปข้างหน้า ก่อนจะค่อย ๆ หันหลังโดยทำให้พระอาทิตย์นั้นอยู่หลังของผมอย่างพอดิบพอดี ก่อนจะเริ่มมุกหากินประจำตัว….เปล่งแสง
เมื่อเห็นร่างของผมที่เปล่งแสงและทอประกายด้วยแสงอันเจิดจรัสของพระอาทิตย์ด้านหลัง ชาวบ้านทุกคนต่างรีบก้มคุกเข่าอย่างนอบน้อม
“ขอยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกคน สู่สวรรค์”
ทันทีที่พวกเขาได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยและงุนงง แต่ก็ยังมีความตื่นเต้นซ่อนอยู่ลึกภายในจิตใจ
“และภายใต้แสงและการนำทางแห่งข้า แต่นี้ไปที่แห่งนี้คือบ้านหลังใหม่ของพวกเจ้า…. จะละทิ้งซึ่งถ้ำอันมืดมิดและสร้างบ้านที่อยู่ภายใต้แสงอันอบอุ่นแห่งข้าเสียเถิด”
ยิ่งเมื่อฟังผมพูดเช่นนี้ ใบหน้าที่ตื่นตะลึงอยู่แล้วยิ่งตื่นตะลึงเข้าไปใหญ่ พวกเขาต่างมองไปมาราวกับไม่เชื่อสายตา พร้อมกันเสียงอื้ออึงก็ดังไปทั่วพื้นที่แบบทีผมคาดเอาไว้
“ท่านเทพครับ คือข้านั้นไม่สงสัยอะไรท่านแต่ว่าเอ่อ… แต่ว่าที่แห่งนี้มีเพียงผืนหญ้าโล่ง ๆ ไม่ได้มีภูเขาหรือถ้ำใดให้หลบพ้นจากลมหนาวเลยนะครับ”
เสียงของอุสบาดังขึ้นมาอย่างสงสัย แต่นั่นมันทำให้ผมยิ้มออกมา ราวกับเหมือนมีหน้าม้าชงคำถามให้ ผมค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะตีสีหน้าของตัวเองให้ดูเหมือนเทพผู้กำลังยิ้มด้วยความขมขื่น
“บ้านเช่นนั้นเหรอ… บ้านที่ผูกรัดเจ้าให้อยู่ภายใต้ความมืดอันหนาวเหน็บและบดบังไม่ให้แสงแห่งดวงอาทิตย์ของข้าสาดส่องไปถึง…… นี่ไม่ใช่บ้าน… ไม่ใช่เลย”
ผมเริ่มตีเสียงให้ดูโศกเศร้ามากขึ้น ยิ่งทำแบบนั้น พวกเขาแต่ละคนก็เริ่มที่จะหวาดหวั่นและหายใจไม่เป็นจังหวะมากขึ้นทุกที
“มันคือพันธนาการ…. สิ่งผูกมัดอันโหดร้ายของเทพผู้ชั่วร้าย…. มันคือพันธนาการของเทพแห่งความมืด”
ทำไปแล้ว!!! ผมทำไปแล้ว!!! เพื่อการสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเองและหาบทให้ตัวเองเป็นคนดี หลักการที่ง่ายที่สุดก็คือการสร้างคนร้าย และผมก็ได้สร้างมันขึ้นมาแล้ว ตัวร้ายที่ชื่อว่าเทพแห่งความมืด?!
โทษทีนะพวก
“เช่นนั้นมันคือเหตุผลที่ข้าต้องนำพวกเจ้ามาที่แห่งนี้”
ผมยังคงพูดต่อไปพลางดูอาการของพวกเขาในยามที่ได้ยินตัวละครใหม่ของผมที่มีชื่อว่าเทพแห่งความมืด…. ซึ่งมันดูจะได้ผลดีพอควรเลยล่ะ
“เทพแห่งความมืด?”
“โอ้… นั่นคือเทพผู้นำความมืดและความหนาวเหน็บมาให้พวกเราเหรอเนี่ย”
การปล่อยให้เข้าใจผิดแบบนี้ไปก่อนน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า เพราะถึงอธิบายอะไรมากไปอาจจะทำให้ซวยได้ ดังนั้นไม่รอช้าผมจึงดำเนินการต่อ
ผมเหลือบตาไปมองยูน่า พอเธอรู้สึกตัวก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนเอียงคอสงสัยอย่างน่ารักน่าชัง
“ยูน่า เจ้าถามข้าสินะว่าข้ากำลังพาเจ้ามาที่สวรรค์ใช่หรือเปล่า”
“คะ?”
“คำตอบนั้นคือใช่ ข้ากำลังพาเจ้ามาที่สวรรค์ ทว่านั้นไม่ใช่สวรรค์ที่อยู่บนฟ้า แต่เป็นสวรรค์ที่อยู่บนผืนดิน”
ผมพูดเสร็จก็ผายมือออกไปยังพื้นที่เบื้องหลังของผมที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติ
“สวรรค์บนผืนดิน สวรรค์ซึ่งจะถือกำเนิดด้วยมือของพวกเจ้า…. สวรรค์ของพวกเจ้า”
เสียงร้องตื่นเต้นทวีความดังมากขึ้นยิ่งเรียกรอยยิ้มของผมให้เผยออกมาอย่างหยุดไม่ได้
“สวรรค์? สวรรค์เช่นนั้นเหรอครับ”
“สวรรค์ด้วยมือของพวกเราเช่นนั้นเหรอครับ!”
“ท่านเทพคะ ที่ท่านพูดนั้นหมายถึงอย่างไรเหรอคะ?”
นี่มันสุดยอดไปเลยนี่นา ไม่นึกเลยว่าที่แต่งคำพูดมาระหว่างเดินทางมามันจะใช้ได้ผลขนาดนี้…. ทั้งเทพแห่งความมืด ทั้งสวรรค์บนดิน…. น้ำตาจะไหล
เอาล่ะ ดูเหมือนจะไม่มีแรงต่อต้านสินะ ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันว่าการที่หักดิบพาออกจากถ้าทันทีแบบนี้น่าจะมีใครต่อต้านบ้าง แต่นี่ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นด้วยหมด เพราะงั้นคงถึงเวลาต้องดำเนินการขั้นถัดไปแล้วสิ
“ใจเย็นก่อนยูน่า ข้ากำลังจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นเพราะฉะนั้นบอกคนร่วมเผ่าของเจ้าว่าที่ข้าจะทำต่อไปนี้นั้นสำคัญมาก อย่าให้ผิดพลาด”
“เป็นพิธีกรรมอันแสนยิ่งใหญ่สินะคะ ได้ค่ะ พวกเราจะไม่ทำมันให้ผิดพลาดอย่างแน่นอนค่ะ”
ยูน่าพยักหน้ารับก่อนหันหน้าไปบอกคนในเผ่าของเธอ ซึ่งผมก็เลือกคนไม่ผิด เพราะถึงจะอธิบายแบบแปลก ๆ ไปบ้างแต่พวกชาวบ้านก็ดูสามารถเข้าใจได้พอสมควร
ส่วนถามว่าทำไมผมถึงต้องเล่นใหญ่รัชดาลัยขนาดนี้ เหตุผลนั้นมันช่างง่ายแสนง่าย ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจาก….ความสบายส่วนตัวง
ลองคิดดูนะ โดยสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่นั่นมันบังคับให้ผมต้องนอนในถ้ำซึ่งพื้นก็แข็ง ทางก็เดินยาก แล้วไหนจะมีสิทธิน้ำท่วมถ้ำตอนฝนตกอีก ดูอย่างไร ๆ มันก็เป็นที่พักอาศัยที่ช่างไม่สบายเอาซะเลย
อีกอย่าง มาพูดถึงในแง่ของการพัฒนาอารยะธรรมแล้ว จากเกมที่ผมเล่นมากมันเป็นอะไรที่ยากต่อการพัฒนามาก ไม่ว่าจะเป็นการขยับขยายที่อยู่หรือการทำสิ่งสำคัญของมนุษย์อย่างปศุสัตว์หรือการเกษตร
เพราะฉะนั้นก้าวสำคัญที่สุดของผมในตอนนี้คือการสร้างหมู่บ้านขึ้นมาในพื้นที่ราบลุ่มซึ่งเป็นการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากการค้นพบไฟเลยก็ว่าได้
“หากพวกเจ้าเข้าใจแล้ว เหล่าผู้อยู่ใต้แสงของข้าเอ๋ยจงเริ่มเถอะ เริ่มสร้างสวรรค์ของพวกเรา”
ผมเริ่มทำการออกเดินไปข้างหน้า จากนั้นก็กวักมือประดุจพระเอกการ์ตูนตอนก่อนออกเดินทางครั้งใหญ่
“เหล่าผู้ชายจงตามข้ามา ส่วนผู้หญิงจงทำตามที่ยูน่าบอกซะ”
ผมจัดการลากเหล่าพวกผู้ชายเดินกันไปยาว ๆ จนมาถึงที่ชายป่าโดยในใจก็มีแต่ความกังวลอยู่เต็มไปหมด
เหตุผลที่ว่าเช่นนั้นเป็นเพราะถึงผมจะมีความรู้เกี่ยวกับพวกการสร้างหมู่บ้านหรือพัฒนากาเกษตรที่ได้มาจากเกมก็เถอะ แต่ขึ้นชื่อว่าเกมแล้วนั้น มันก็ยังมีข้อสงสัยว่าจะใช้ได้จริงหรือไม่
อีกอย่างรายละเอียดที่เกมให้มาก็ใช่ว่าจะเป็นแบบละเอียด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้คือสั่งการไปแล้วหาทางแก้ปัญหาเอาที่หน้างานอย่างเดียว…… ชีวิตช่างยากลำบากดีแท้
“เอาล่ะพวกเจ้าทุกคน เรามาที่ป่าแห่งนี้เพื่อสร้างสวรรค์ของพวกเรา สิ่งสำคัญที่พวกเราจะต้องนำมาเพื่อเป็นส่วนประกอบต่อการสร้างสถานที่อันงดงามนั้น…พวกเจ้าจงฟังข้าให้ดี”
“สิ่งสำคัญที่ต้องการมีอยู่สามสิ่ง ไม้ เนื้อสัตว์ และ เถาวัลย์ พวกเจ้าจงไปหามันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ครับท่านเทพ”
เมื่อได้รับคำสั่งของผม พวกเขาต่างขานรับอย่างขันแข็งก่อนจะเริ่มกระจายตัวไปหาสิ่งของต่าง ๆ ตามที่ผมได้บอกไป เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังไปทั่วป่า สัตว์ต่าง ๆ ได้แตกตื่นอันเป็นสัญญาณการเริ่มปฏิบัติการค้นหาของครั้งแรกของชนเผ่าแห่งแสงสว่าง
“เอาล่ะไปนอนรอดีกว่ามั้ง”
ไอ้ตัวผมนั่นมันก็เด็กมัธยมแรงน้อย จะให้ไปล่าสัตว์ตัดไม้ก็คงเป็นได้แค่ตัวเกะกะ….เอ่อ ตัวเพิ่มระยะเวลาการทำงาน เพราะงั้นการอยู่นิ่ง ๆ ของผมนั้นก็นับเป็นการช่วยอย่างหนึ่ง สุดยอดไปเลยเทพแห่งแสงเอ๋ย
อีกอย่าง ที่สั่งให้พวกเขาไปนั้นเป็นถึงการตัดไม้หาท่อนซุง ดังนั้นกว่าจะเสร็จคงใช้เวลาอยู่มากโข เพราะงั้นผมไปนอนรอก็ยังได้
ตึก ๆ
ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาทางผมก็เรียกเอาผมให้รีบหันไปอย่างรวดเร็ว ก็พบกับพวกชาวบ้านที่วิ่งหน้าบานวิ่งเข้ามาหาผมอย่างยินดีปรีดา
“ไหงมันเร็วขนาดนั้นฟะ”
“ได้มาแล้วครับท่านเทพ ดูสิท่าน พวกเราได้ฟืนมาเต็มเลย”
หลังพูดจบ พวกเขาก็รีบกองสิ่งที่ได้มาลงพื้นอย่างรวดเร็ว ผมรีบมองดูสิ่งที่พวกเขาหามาได้อย่างรวดเร็วประดุจเทพเจ้าสายฟ้า และสิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าการฝากฝังความเชื่อใจของตัวเองกับพวกเขานั้นเป็นความคิดที่…..
ผิดมหันต์
สิ่งที่พวกเขานำมานั้นเป็นไม้ก็จริง ทว่ามันกลับเป็นเพียงเศษกิ่งไม้เล็ก ๆ แทบทั้งหมด ไม่สิ ต้องเรียกว่าหาไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวของท่อนซุงที่ต้องการเลย
โว้ยยย เห็นแล้วน้ำตาจะไหล ไอ้ที่ผมต้องการนั้นมันท่อนซุงต่างหากเล่า ท่อนซุงที่ใหญ่พอเอามาสร้างบ้านได้น่ะ ขนาดแบบนี้มากสุดก็สร้างได้แค่บ้านหนูเท่านั้นล่ะเฟ้ย
“ไม่ นี่ไม่ใช่ที่ข้าต้องการ นี่มันเล็กเกินไป ข้าต้องการไม้ที่ใหญ่กว่านี้”
ได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งไปหาไม้มาให้ผม ซึ่งแน่นอนว่า…. แทบไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ โดยขนาดมันใหญ่ขึ้นก็จริง แต่มากสุดก็ปลูกได้แค่เต๊นทเท่านั้น
เฮ้อ นี่ผมคาดหวังกับพวกเขามากเกินไปใช่ไหมเนี่ย… นั่นสินะ มนุษย์ยุคหินนี่นะ จะให้ไปทำอะไรสำเร็จรูปแบบในเกมได้อย่างไรกันล่ะ อรุณเอ๋ย
คิด ๆ แล้วก็ทำเอาผมแทบกุมขมับปนน้ำตาไหล….. พลังด้อยไม่พอ สาวกยังบ้าบอกันได้ขนาดนี้….. ชีวิตความเป็นเทพของผมมันจะไปรอดไหมเนี่ย
ไม่สิ ๆ อรุณ นายต้องใจเย็นกว่านี้ พวกเขานั้นก็เป็นมนุษย์ถ้ำที่เพิ่งเจอโลกภายนอก นายต้องค่อย ๆ สอนให้พวกเขาเป็นงานแล้วเดี๋ยวชีวิตอันแสนดีงามจะมาหานายเอง
“ยังใหญ่ไม่พอ”
“เอ่อ….. พวกข้าหาไม้ที่ใหญ่ที่สุดที่พอจะเก็บได้มาแล้วนะครับ”
“ขนาดงั้นเหรอ… อย่างน้อยก็ต้องเท่านี้ล่ะนะ”
ผมค่อย ๆ เดินไปข้าง ๆ ต้นไม้ขนาดใหญ่ประมาณที่ผมพอจะโอบได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
“มะ… มันใหญ่ขนาดนั้นแล้วพวกเราจะเก็บมันได้จริง ๆ เหรอครับ”
พวกเขาที่เห็นผมเคาะที่ต้นไม้ใหญ่ก็ถึงกับหน้าซีดประดุจผมบอกให้พวกเขาไปลุยเดี่ยวกับยักษ์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเจ้าพวกนี้มัน…..
ตัดไม้ไม่เป็น
“ไม้ที่ข้าต้องการนั้นก็เหมือนกับสวรรค์ ไม่ใช่รอดวงชะตาให้นำมามอบให้ แต่ต้องสร้างมันด้วยมือของพวกเจ้า”
ผมพยายามพูดให้มันดูเป็นคำสอน แต่ความจริงความหมายมันคือ ไม้สร้างบ้านน่ะ ถ้าไม่ตัดพวกนายก็ไม่สามารถได้ไม้ที่ใหญ่พอมาหรอก
“เช่นนั้นเหรอครับ สุดยอดไปเลย แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะได้ไม้จากต้นไม้นั่นมาเหรอครับ?”
“แน่นอน… ว่าสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำเพื่อให้ได้ไม้มานั้น พวกเจ้าต้อง “ตัดไม้” และหากอยากจะตัดไม้ล่ะก็…. พวกเจ้าต้องมี….”
ต้องมี…..
และแล้วก็เหมือนมีความคิดอะไรสักอย่างพุ่งมาในหัวของผม ความคิดที่ตระหนักได้ว่าผมได้ลืมเตรียมสิ่ง ๆ หนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุด
ผมค่อยเหล่ตาไปมองที่มืออันแสนว่างเปล่าของตัวเอง เมื่อเห็นว่ามันว่างเปล่าก็แทบเหงื่อแตกไหลออกมาโชก ๆ
เราลืมไปได้อย่างไรว่าในยุคนี้ที่ขนาดไม้ยังไปเดินไล่เก็บ อาวุธยังเอาหินมาไล่ทุบ มันจะไปมีของแบบนั้นได้อย่างไร
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ขวาน” อย่างไรเล่า!!!
…..
“เอ่อ…”
เด๊ดแอร์สิงานนี้!
ตอนนี้สภาพปัจจุบันคือผมกับชาวบ้านต่างจ้องหน้ากัน โดยมีเพียงสายลมเท่านั้นที่ยังคงได้ยินให้มากระทบหู ชวนเอาให้จิตใจอ้างว้างยิ่งกว่าเดิม
ซวยแล้ว… ซวยแล้ว ๆ
ไอ้ตัวเรายิ่งพูดโม้เหม็นไว้ไปเยอะเสียด้วย งานนี้ขืนมาแก้ตัวทีหลังรับรองว่าได้หน้าแตก หมอไม่รับเย็บอย่างแน่นอน
แถมอีกอย่างหนึ่ง…….
ผมเหล่มองไปที่ข้าง ๆ ก่อนที่จะมีหน้าจอบางอย่างโผล่ขึ้นมาโดยหน้ามีตัวเลขและคำอธิบายบางอย่างได้แสดงขึ้นมา
เทพเจ้า อรุณ
สมญา เทพแห่งแสงผู้นำพาความอบอุ่นสู่มนุษย์
พลังศรัทธาที่มี 100 (+0.005/วัน)
พลังที่มี
-เปล่งแสง (ใช้พลังศรัทธา 1)
ใช้พลังได้ฟรีอีก 3 ครั้ง
หากลองสังเกตดูดี ๆ ตั้งแต่ตอนสอนจุดไฟยันออกจากถ้ำมา ค่าศรัทธาของผมนั้นเพิ่มออกมาอย่างมากมาย แถมยังได้ฉายาสุดหรูว่าเทพแห่งแสงมาด้วยต่างหาก
และตรงนั้นล่ะประเด็น! ถ้าเกิดผมหน้าแหกขึ้นมาล่ะ พลังแห่งเทพของผมได้ลดหวบจนติดลบอย่างแน่นอน
ที่แย่กว่านั้น จากฉายาสุดหรูอย่างเทพแห่งแสงได้พังทลายหงายเงิบเหลือแค่เทพตอแหลแน่นอน…
ไม่ได้แล้วล่ะ อรุณเอ๋ย นายต้องหาทางจัดการ…. คิดสิ คิด ๆ คิดหาทางใช้ความเชื่อและศรัทธาแบบที่นายใช้มาก่อนหน้านี้สิ ถ้าอะไรที่มันใช้ก่อนหน้านี้ได้ ตอนนี้มันก็ต้องใช้ได้ล่ะน่า
นายเป็นเทพ
ไม่รู้ว่าผีเข้าหรือวิญญาณหลอน ความคิดแปลก ๆ ก็ได้โผล่เข้ามาในสมองของผม
อรุณ นายคือเทพนะ เทพผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นอมตะ เพราะฉะนั้นบางทีอาจจะมีอำนาจเสริมให้กับความเป็นเทพของนายก็ได้นะ
จากนั้นผมก็มองที่มือของตัวเอง และก็นึกเกมบางเกมที่มีคำหน้าว่า Minecr**t ที่ตัวเราสามารถตัดไม้ได้ด้วยมือเปล่า…..
หากไม่ลองก็ไม่รู้ล่ะน่า!
“อะต้า อะต้า อัดโช้ววววว”
ผมตะโกนร้องพร้อมรัวหมัดอัดใส่ต้นไม้ตรงหน้าแบบไม่ยั้งประดุจหนังของบุซลี เสียงกระแทกอัดเข้าใส่ต้นไม้รัว ๆ ดังขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ผมกำลังต่อยต้นไม้…. ความรู้สึกของตัวละครที่กำลังต่อยต้นไม้ในเกมมันเป็นแบบนี้สินะ ความรู้สึกที่ต้องต่อยต้นไม้เพื่อหาไม้มาทำขวานไปตัดต้นไม้น่ะ
หมัดของผมได้รัวอัดใส่ต้นไม้อย่างไม่มีหยุดยั้ง สิ่งที่หลุดออกมาหาใช่ท่อนซุง มีเพียงแค่เปลือกไม้ที่แตกกระจายออกมา
…..
“เอ่อท่านเทพครับ ท่านทำอะไรอยู่งั้นเหรอครับ?”
อุสบาถามมาด้วยความใสซื่อ ซึ่งคำตอบที่ผมมอบให้ได้นั้นมีเพียง….ไม่รู้โว้ย
นี่ผมทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย ถ้าลองมาคิดแบบหลักสูตรมนุษย์ทั่วไป ไปต่อยไม้มือเปล่าแบบนี้นอกจากโค่นต้นไม้ไม่ได้แล้วยังมือแหกเป็นของแถมอีก โชคดีนะมีสูตรอมตะ ไม่งั้นขายหน้ายิ่งกว่าเก่าอีก
นี่สินะที่เขาบอกว่าอย่าเชื่อสิ่งที่เกมมันแสดงเอาไว้!…. แบบนี้ก็งานงอกล่ะสิ นี่มันยิ่งหน้าแตกไปยิ่งกว่าเก่าไปเลยไม่ใช่เหรอไง เพราะงั้นต้องหาทางแก้….. สงสัยต้องใช้สูตรเก่า
“สิ่งที่ข้าทำงั้นเหรอ… หึ ๆ”
ผมเว้นจังหวะคำพูดของตัวเองเพื่อให้การกระทำของผมมันดูมีอะไรมากยิ่งขึ้น
“ข้าน่ะ แสดงให้พวกเจ้าเห็นอย่างไรเล่าว่าวิธีการใดที่เจ้าไม่ควรทำในการจะโค่นต้นไม้นี้ลง”
เหตุผลบ้าบออะไรเนี่ย…. นี่มันโคตรแถสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอไง แบบนี้ต่อให้เป็นพวกคนป่าก็คงไม่เชื่อหรอก
“สุดยอดไปเลยครับท่นเทพแห่งแสง พระองค์ช่างมีเมตตานัก”
มันเชื่อด้วย!!!
นอกจากจะไม่สงสัยอะไรแล้ว พวกเขายังมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ชื่นชมบูชา ยิ่งทำเอาผมแอบรู้สึกผิดขึ้นไปใหญ่
“แล้วสิ่งใดคือวิธีการโค่นต้นไม้นี้จริง ๆ งั้นเหรอครับ?”
แน่นอนคำตอบคงเป็นไม่รู้… แต่ขืนตอบไปแบบนั้น ความศักดิ์สิทธิและศรัทธาที่อุตส่าห์สร้างมาได้หายไปฝุ่นแน่นอน
ไหน ๆ ก็ลุยมาขนาดนี้แล้ว การแสดงมันต้องไปต่อ สงสัยคงต้องถึงเวลาจัดให้เต็มเหนี่ยวเท่านั้นแล้วสิ
“จะให้ข้าบอกหมดเลยเช่นนั้นจริง ๆ เหรอ?”
ผมทำเสียงของตัวเองให้นุ่มลึกมากขึ้นก่อนจะเก็บมือของตัวเองแล้วหันหลังให้กับพวกเขาแล้วค่อย ๆ เงยหน้าไปมองท้องฟ้าเหมือนพวกตัวละครนักปราชญ์ทำกันเวลาสอนลูกศิษย์
“มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ เพราะในยามนี้ข้ากำลังมอบพลังอย่างหนึ่งให้กับพวกเจ้า”
ไม่รอช้า ผมเริ่มทำการสวมวิญญาณเทพเจ้าดริฟสายฟ้าหนักระดับที่หากพลาดนิดเดียว คงได้หลุดโค้งยาวจนคว่ำตกเขา
“พะ…พลังเช่นนั้นเหรอครับ”
“ใช่แล้วล่ะ… พลังที่ถูกเรียกว่า…. ปัญญา อย่างไรเล่า”
สวมมันไปแล้ว นี่ผมสวมวิญญาณของเทพเจ้าดริฟสายฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยสกิลขั้นต้นของท่านเทพเจ้า…. พูดมั่วให้ดูมันมีอะไร
โดยประสงค์ของผมนั้นไม่ใช่อื่นใด คือการพูดเปิดทางแล้วให้พวกเขาไปช่วยผมคิดหาวิธีการขึ้นมานั่นเอง
หากตัวเองทำมิได้ก็จงพึ่งผู้อื่น…. สุดยอดปรัชญาในสามโลก
“ปัญญา? พลังนั่นมันคือสิ่งใดงั้นเหรอครับ?”
ผมถูมือของตัวเองรัว ๆ ก่อนที่จะทำให้มือข้างขวาของตัวเองเปล่งแสงออกมา จากนั้นก็ยื่นมือของผมไปสัมผัสเข้ากับไหล่ของอุสบา
“ข้ารู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือท่าน…. สิ่งนี้คือพลังแห่งปัญญางั้นเหรอครับ?”
“ถูกต้องแล้ว… แต่ก็แค่เริ่มต้น”
หึ ๆ สุดยอดไปเลย แค่ผมทำให้เหมือนกับการส่งพลังอะไรบางอย่างไป พวกเขาก็คิดไปเองแล้วว่าได้พลังมาจากเทพ…. ดูเหมือนว่าพลังแห่งเทพดริฟสายฟ้าของผมเนี่ย จะพัฒนาไปอีกขั้นนึงแล้วสินะ น่ายินดี ๆ
“ทว่าพลังนั้นคงมิอาจผลิบานหากไม่มีการนำทางที่ดีพอ”
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหล่าคนยุคหิน จู่ ๆ จะให้มั่วแล้วทำได้เลยคงต้องรอไปสักร้อยปีถึงได้ขวานมาสักเล่ม ดังนั้นผมคิดว่าผมคงต้องชี้นำสักเล็กน้อย
ปัญหาหลักของการสร้างขวานนั่นคือการที่เราต้องหาสิ่งที่คมพอที่จะตัดต้นไม้ซึ่งนั่นเป็นความซวยของยุคนี้ที่ไม่มีโลหะให้ใช้…..
จะเอาอะไรมาอธิบายพวกนี้ดีเนี่ย…. อ๋อ แบบนี้ก็ได้นี่หว่า
ผมรีบหยิบไม้ขึ้นมาก่อนที่จะจับมันหักจนเกิดเป็นปลายแหลมขึ้นมา โดยทุกการกระทำของผมนี้ พวกเขาทุกคนยังคงจ้องไม่วางตา
“เจ้าจงเดินมานี่เสีย”
อุสบาเดินมาตามคำของผมอย่างว่าง่ายก่อนที่ผมจะจับมือของเขาขึ้นมา จากนั้นก็เอาคมไม้กรีดที่มือของเขาจนเกิดแผลเรียกเลือดซึมออกมา ทำเอาเขาเผลอชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“ตะ..ต้องขออภัยด้วยครับท่านเทพ ทั้ง ๆ ที่กำลังทำพิธีให้ข้าอยู่แท้ ๆ”
แม้กระทั่งโดนเอาไม้กรีดสร้างบาดแผลยังไม่โกรธ แถมยังคิดว่าเป็น
“ไม่หรอก ๆ มันเรื่องปรกติที่ทุกคนจะกลัวความเจ็บปวด….. แต่หากใจเย็นสงบความกลัว พลังแห่งปัญญาจะส่องสว่างออกมา”
“นี่คือปัญญาที่ท่านว่าอย่างนั้นเหรอครับ”
“แค่จุดเริ่มต้น…. จงดูนี่”
ผมพูดจบก็จัดการเอาไม้ที่เพิ่งกรีดเนื้อของอุสบาไปฟาดเข้ากับต้นไม้ข้าง ๆ ซึ่งผลลัพธ์นั้นคงไม่ต้องถามเพราะกิ่งไม้ย่อมหักอย่างง่ายดาย
“เจ้าเห็นหรือไม่ ความคมที่สามารถกรีดหนังแห่งนักรบของพวกเจ้าได้ แต่กลับไม่สามารถสร้างรอยให้กับสิ่งนี้ได้ซ้ำยังหักอย่างง่ายดายเพราะความหนา ความแข็งและความคมของมันยังมีมิเพียงพอ”
ผมค่อย ๆ อธิบายพวกเขาประดุจคุณครูสอนเด็กประถม ซึ่งนี่คือวิธีการแก้ปัญหาสำหรับการหาอุปกรณ์สำหรับตัดไม้อย่างง่าย…มันคือ
“จงไปหาสิ่งที่คมเพียงพอและแข็งมาพอที่จะตัดต้นไม้นี้ได้โดยมันไม่พังสลายมาให้ข้าเสีย ตัวข้านั้นเชื่อว่าพวกเจ้าต้องทำได้ เพราะตัวข้านั้นได้มอบปัญญาให้กับพวกเจ้าไปแล้ว”
มันคือการปาขี้อย่างไรล่ะ หลักสูตรการโบ้ยงานให้ชาวบ้านไปจัดการปัญหาแทนเรา โคตรสุดยอดไปเลย นี่สมแล้วที่เวลาทำงานกลุ่มผมนั้นตีเนียนเป็นหัวหน้ากลุ่มก่อนจะทำหน้าที่แจกแจงงานและรับบทคนตรวจทานกับให้คำแนะนำ…ซึ่งในเมื่อเพื่อนมันเก่ง เราก็นอนตีพุงรับคะแนนไปสบาย ๆ
และครั้งนี้ ผมปรารถนาเสียเหลือเกินว่ามันจะสำเร็จเช่นกัน
“พวกข้าเข้าใจแล้วครับ… ปัญญา… ปัญญาที่ท่านให้มาพวกเราจะใช้สิ่งนั้นหาของมีคมพอที่จะตัดไม้ให้ท่านได้อย่างแน่นอน… พวกเราไปกันเถอะ”
“เฮ้”
พวกเขาพูดจบก็รีบวิ่งกันไปอย่างยินดี พร้อมกล่าวคำว่า “ปัญญา” กันรัว ๆ จนผมยังรู้สึกกลัวแทนสัตว์รอบ ๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะพอรู้แล้วว่าควรทำอะไร ดังนั้นที่ผมต้องทำในตอนนี้ก็แค่
นอนพิงต้นไม้ในร่มสบาย ๆ อย่างไรเล่า~
จะมีหาว่าผมขี้เกียจก็ไม่ได้นะ นี่ผมทำงานหนักมาตั้งหลายวัน สอนพวกเขาให้ทำอะไรเป็นก็ตั้งหลายอย่าง ขอนอนงีบพักผ่อนสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก
“แหม ๆ สุดยอดไปเลยนะ…. ให้ปัญญาคนฝ่ามือเนี่ย”
เสียงอันแสนคุ้นเคย ดังมาจากข้าง ๆ หูทำเอาผมคิ้วกระตุกก่อนรีบสะบัดหน้าหันไปหาอย่างรวดเร็ว
ตรงหน้านั้นไม่ใช่ใครอื่นใด
“พระเจ้า!!!”
ใช่ ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล คือพระเจ้าสุดแสนจะกวนประสาทที่เพิ่งกระโดดถีบผมตัวลอยล่วงลงพื้นมาประดุจดาวตกนั่นเอง…. ถึงจะแค้นเรื่องนี้ก็เถอะแต่…. หายใจเข้าลึก ๆ อรุณ ปล่อยไปเพื่อความปลอดภัยของตัวนาย
ผมไม่ลืมว่าเจ้าพระเจ้าคนนี้มันอ่านใจได้ ดังนั้นขณะที่ผมกำลังเริ่มจะบ่นมันในใจมันก็เริ่มยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ ทำให้ผมต้องรีบหยุดความคิดของตัวเองโดยวัย
“หายไปไม่กี่วัน ก็ก้าวหน้าพอสมควร… ว่าไง ความรู้สึกของการเป็นเทพเจ้าน่ะ”
ผมรีบถอยห่างจากพระเจ้าโดยเร็วเมื่อเห็นรอยยิ้มสุดแสนชวนไม่น่าไว้วางใจร่วมกับน้ำเสียงดูลึกลับนั่นด้วย
“มะ…มาที่นี่มีอะไรอย่างนั้นเหรอครับ”
แน่นอนว่าผมย่อมต้องกลัวหมอนี่เป็นธรรมดา เพราะไม่กี่วันก่อนเน้อเพิ่งโชว์แสกพายุอัดใส่ซะจนเกือบตายยกถ้ำมาแล้ว ไม่รู้ว่าหมอนี่จะนึกครึ้มทำอะไรแปลก ๆ มาอีกไหม
“ก็มาทักทายพวกนายเหล่าเทพตอนว่าง ๆ น่ะ พอดีหลาย ๆ อย่างมันเริ่มลงตัวแล้วก็เลยพักผ่อนมาสอดส่องความเป็นไปของพวกนายว่าไปกันถึงไหนแล้วน่ะ… อึก ๆ อืม โค๊กอร่อยดีนะว่าไหม”
ไม่ใช่แค่พูด เจ้าพระเจ้าอยู่ดี ๆ ก็เรียกโค๊กกระป๋องขึ้นมากระดกอย่างสบายอารมณ์ทำเอาผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาสุด ๆ
ยิ่งมากับผมที่ต้องมาตกระกำลำบากในโลกยุคโบราณด้วยแล้ว…. เห็นแบบนี้แล้วความรู้สึกรันทดชีวิตมันพุ่งขึ้นจนถึงเกือบขีดสุด…. ฮือออ อยากกินด้วยอ่ะ
“อยากได้อย่างนั้นเหรอ? งั้นก็รับให้ได้แล้วกัน”
พระเจ้าเรียกน้ำอัดลมมาอีกกระป๋องก่อนโยนส่องมาให้ผม ซึ่งผมก็รีบรับโดยไวก่อนจะบิดขวดแล้วกระดกรัว ๆ
“ถือซะว่าคำขอโทษที่โดดถีบนายเมื่อตอนนั้นแล้วกัน… พอดีนายทำตัวได้…. น่าหมั่นไส้ไปนิดนึงน่ะ”
ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร จะว่าอะไรก็ว่าได้เลย กับคนใจบุญเช่นพระเจ้าแบบนี้จะว่าอะไรผมก็ได้หมด
ประดุจพื้นดินแห้งผากได้รับหยาดฝน ทันทีที่ผมได้ลิ้มรสของรสชาติอันอร่อยของน้ำอัดลม ราวกับพลังใจและความสุขมันได้พุ่งซะจนไม่รู้สึกรู้สากับประโยคชวนหงุดหงิดของพระเจ้าแม้แต่นิดเดียว
“ว่าแต่สุดยอดไปเลยน่ะนายเนี่ย…. ทำได้แค่เปล่งแสงยังทำเอาซะพวกชาวบ้านเชื่อเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ว่าแต่…ไม่กระดากปากตัวเองเหรอ พูดประโยคซะสมัยพ่อขุนครองเมืองแบบนี้น่ะ”
ได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางมองที่มือของตัวเองด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“อยากตอกย้ำกันแบบนั้นได้ไหมครับ… ให้ตายสิ แค่คิดก็อยากร้องไห้แล้ว แถมให้พอมาย้อนคิดดูแล้วว่าตัวผมพูดแถอะไรไปบ้างก็…. น้ำตาจะไหล….. นี่ผมพูดบ้าอะไรออกไปบ้างเนี่ย”
“อารมณ์พาไปว่างั้น”
“ตรงจุดนี้ไม่ขอปฏิเสธแล้วกันครับ….”
พอมีคนมาบูชารัว ๆ แล้วมันก็รู้สึกฮึกเฮิมหนัก ยิ่งเป็นยูน่ามาส่งเสริมสาระพัดคำชมแล้วจู่ ๆ มันก็คึกยาวเลย
“เอาเถอะเรื่องเล็กน้อย ๆ พวกนั้นไว้ก่อน มาดูสนุก ๆ ก่อนดีกว่า”
พระเจ้าจู่ ๆ ก็คว้าคอของผมมาแล้วดีดนิ้วเรียกหน้าจอสามมิติขึ้นมาตรงหน้า โดยภายในกำลังฉายภาพคลื่นไหวอยู่
“นี่มัน?”
มันเป็นภาพของชายคนหนึ่งกำลังยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ในถ้ำอันแสนมืดมิด ผมไม่สามารถเห็นอย่างอื่นรอบตัวเขาได้ ที่เห็นร่างเขาได้แบบนี้คงเป็นฝีมือของพระเจ้า
“ตั้งใจฟังดูดี ๆ แล้วกัน”
ตอนแรกผมกำลังจะถามอะไรออกไป แต่พระเจ้าก็ยกมือมาห้ามไว้เป็นสัญญาณให้ผมเงียบเพื่อฟังสิ่งที่คน ๆ นี้พูดให้ดี
“โธ่เว้ย นี่จะจุดไฟยังไงฟะ หนาวฉิบหาย นี่ยุคนี้ไม่มีที่จุดไฟรึไง จะเก่าแค่ไหนมันก็ต้องมีไอ้สิ่งโบราณในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เรียกว่าไฟแช็คหน่อยสิเว้ย”
เรียกไฟแช็ค ว่าของโบราณแบบนี้ นี่นายหลุดมาจากยุคไหนกันเนี่ย? แล้วนี่จัดไฟไม่เป็นจริงดิ? หรือว่าโลกอนาคตเขายกเลิกวิชาลูกเสือไปหมดแล้ว? ยินดีด้วยแล้วกันนะพวก
“แล้วไหนจะล่าอาหารอีก ไอ้พวกนี้มันถือหินทำไมฟะ จะเก่าแค่ไหนมันก็ต้องมีของอย่างดาบเหล็กอะไรซะหน่อยเซ่”
ความตะโกนออกมาเกรี้ยวกราดพลางโยนข้าวของไปทั่ว เรียกเสียงแตกตื่นจากรอบตัวเขาออกมาก่อนที่จะมีร่าง ๆ หนึ่งวิ่งเข้ามาหา ทว่าไม่ทันที่จะได้เห็นชนเผ่าที่เขาได้ดูแล ภาพในหน้าจอก็ปิดไปก่อน
“ให้ดูแค่นี้ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการสอดส่องมากเกินความจำเป็น… ความยุติธรรมของเกมมันจะเสียหมดน่ะนะ”
พระเจ้าพูดจบก็ดีดนิ้วอีกทีหนึ่ง หน้าจอสามมิติก็หายไป ซึ่งเอาจริง ๆ ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนอกจากประโยคที่ว่า “ความยุติธรรมของเกม” …. กับเกมที่มีคนได้แต้มหนึ่งแล้วทำได้แค่เปล่งแสงท่ามกลางเทพเจ้าสุดเวอร์เนี่ย….
คำว่ายุติธรรมนั้นช่างห่างไกลมาก ๆ เลยนะ
“ฮ่า ๆ เคยได้ยินไหมว่าดวงชะตาที่แตกต่างก็เป็นหนึ่งในความยุติธรรมของชีวิตน่ะ”
“ไม่ต้องมาปรัชญาใส่ผมเลยนะ!”
“นี่พูดจริง”
พระเจ้าพูดไปพลางหัวเราะไปก่อนที่สักพักหนึ่งจะกลับมาจ้องหน้าผมคล้ายอยากพูดอะไร นั่นทำให้ผมรีบหยุดปากของตัวเองในทันที
“ที่ให้นายดูภาพเมื่อครู่ก็เพื่อเป็นการบอกอะไรบางอย่าง… อย่างแรกคือหมอนี่มาจากยุคไกลกว่านายสักสามถึงสี่ร้อยปีเห็นจะได้”
โห มาอย่างไกล แต่แบบนี้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีของเขาก็น่าจะมากกว่าผมไปมากโข อีแบบนี้มันจะไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ ระหว่างที่ผมทำได้แค่สร้างรถถัง เขาอาจสร้างยานอวกาศไปได้เป็นที่เรียบร้อย… ไม่สิ แต่เมื่อกี้….
“อา….คิดอะไรออกแล้วสินะ”
พระเจ้าเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไร เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนตบมือเบา ๆ ให้แล้วเริ่มที่จะพูดต่ออีกครั้ง
“ยิ่งมาจากอนาคตอันแสนไกล ความเข้าใจถึงเทคโนโลยีที่เก่ากว่ายุคสมัยมาก ๆ นั้นก็ยิ่งทำได้ยากเพราะขาดซึ่งข้อมูลที่เพียงพอ ก็เหมือนจะสร้างตึกสูงแต่ไม่รู้วิธีสร้างฐาน จะพยายามต่อยอดขนาดไหนสุดท้ายก็พังทะลาย”
ก็เป็นอะไรที่พอเข้าใจได้ อย่างเจ้าหมอนั่นที่อาจรู้วิธีสร้างเครื่องจุดไฟแบบง่าย แต่กว่าจะสร้างสิ่งนั้นได้มันก็ต้องมีทั้งเหล็ก ทั้งเครื่องมือ และถ้าจะมีพวกนั้นได้ ก็ต้องมีไฟและการขุดแร่โลหะซึ่งหากไม่รู้วิธีการก็จบ ไม่สามารถไปต่อได้
“ใช่ เข้าใจง่ายดีนี่นา แต่ว่านะ ในทางตรงข้าม หากคนพวกนี้สามารถก้าวไปถึงยุคที่มีเทคโนโลยีเพียงพอที่จะสร้างเทคโนโลยีในยุคของเขาได้…. ถึงตอนนั้นล่ะ เทคโนโลยีก็จะพุ่งจนแบบหยุดไม่อยู่ ถ้าพูดตามภาษาเกมที่พวกนายเล่นก็ พวกยุคเก่าของเป็นสายต้นเกม ส่วนยุคใหม่คงเป็นสายเลทเกม…. อืม แบบนั้นก็เข้าใจง่ายดีเหมือนกัน”
สายต้นเกมกับสายเลทเกมงั้นเหรอ….
“แบบนี้ก็หมายความว่าหากอยากจะหยุดพวกนี้ได้ก็ต้องรีบจัดการพวกเขาตั้งแต่เริ่มงั้นสินะครับ?”
“ถูกต้องตามเจ้าว่า”
“มาบอกผมแบบนี้จะดีเหรอ มันจะไม่เป็นการช่วยเหลือจนหมดความยุติธรรมที่ท่านว่าเหรอ?”
พระเจ้าได้ยินผมพูดแบบนั้นก็หัวเราะออกมา ก่อนจะส่ายหน้ารัว ๆ
“ไม่เลย ๆ แค่ไกด์นิดหน่อย ไม่ทำให้เกมเสียหายขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง ดูนายแล้วก็สนุกดี ขืนหายไปเร็ว ข้าก็เบื่อแย่น่ะสิ”
ควรดีใจไหมเนี่ย?
“เอาเถอะถึงนายจะกากแค่ไหน ชั้นก็ขอชื่นชมนายเลยแล้วกันนะที่มอบไฟให้กับเผ่าของตัวเองตั้งแต่วันแรกๆ แบบนี้ เพราะงั้นตอนนี้เทคโนโลยีฝ่ายนายเลยมาอยู่อันดับต้นๆ เลยทีเดียว แหมๆ นี่ก็เป็นเพราะชั้นช่วยเสกลมนะเนี่ย น่าจะขอบคุณกันมั่งนะ”
“แค่ไฟเนี่ยนะ…. แค่ผมจุดไฟได้ถึงขั้นเทคโนโลยีนำโด่งเลยเนี่ยนะ”
“เฮ้ย ๆ อย่าดูถูกไฟไป ของอย่างการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษย์ย่อมไม่ง่ายต่อการเผยแพร่ คงต้องขอบคุณสกิลปากของนายแล้วมั้ง… โอ้ ดูเหมือนสิ่งที่นายฝากให้ผู้หญิงคนนั้นสร้างก็พาเอาเทคโนโลยีของนายไปไกลเหมือนกันนี่นา… ชื่นชม ๆ”
ได้ยินพระเจ้าพูดมาแบบนี้ ผมก็พลางนึกถึงสิ่งที่ตัวเองฝากยูน่าเอาไว้ โดยหมายความว่าเธอได้สร้างสิ่งที่ผมฝากไว้เสร็จเป็นที่เรียบร้อย
“ท่านเทพครับ พวกเราเจอของที่ท่านว่าแล้วครับ”
“ก็มีอีกเรื่องนะ ….. สงสัยจะไม่ได้ คนของนายมาแล้วสิ ถ้างั้นขอตัวก่อนล่ะ”
พระเจ้าร้องทักขึ้นก่อนโบกมือลาแบบเท่ ๆ สไตล์พระเอกหนังบู้ให้กับผม ซึ่งเมื่อหันตามไปก็พบพวกชาวบ้านวิ่งมาพร้อมกับวัตถุสีดำในมือ
เพียงแค่จบประโยคนั้น เมื่อผมหันไปก็ไม่พบกับร่างของพระเจ้าอยู่ที่ตรงนั้นอีกต่อไป แต่จะบอกว่าแปลกใจก็คงยากเพราะขึ้นชื่อว่าพระเจ้าคงทำอะไรแบบนั้นได้…. ให้ตายสิ แอบหน้าหมั่นไส้นิด ๆ แหะ
แต่ผมก็ปล่อยผ่านไป เพราะตอนนี้สิ่งที่เรียกความสนใจของผมได้มากกว่าคือของที่อยู่ในมือของพวกชาวบ้าน
“นี่ครับสิ่งที่ดูน่าจะหนาพอที่จะไม่แตกและคมพอที่จะตัด… ข้าว่าหินนี้น่าจะใช้ได้นะครับ”
ผมรับหินสีดำมาก่อนพินิจมันอย่างถี่ถ้วน โดยลักษณะของมันเป็นหินสีดำวาว เป็นแผ่นกว้างประมาณสองฝ่ามือ น้ำหนักเมื่อลองถือดูแล้วไม่ถือว่าหนักมาก หากใช้สองมือก็คงถือได้สบาย ๆ และที่สำคัญคือตรงขอบของมันมีลักษณะคมกริบ หากเผลอเอามือไปลูบคงได้เรียกแผลได้อย่างง่ายดาย
ทว่าด้วยความที่มันเป็นแผ่นยาวและมีคมอยู่รอบ ๆ หากใช้เปล่า ๆ แบบนี้คงจะใช้ลำบาก ดังนั้นผมจึงหากิ่งไม้ขนาดพอดีมือและเอาเถาวัลย์ที่พวกเขาหามารัดเชื่อมติดกันสร้างเป็นขวานรุ่นทดสอบขึ้นมา
น่าจะใช้ได้อยู่ล่ะมั้ง?
“พวกเรามาลองกันเถอะ ข้าขอคนที่มั่นใจในกำลังของตน…. ใครจะเสนอตัว?”
แน่นอนว่าพวกเขาแย่งกันยกใหญ่ ทว่าสุดท้ายหลังมันนั่งงัดข้อตัดสินกันไปหลายนาทีสุดท้ายก็ได้ผู้ชนะ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เจ้าอุสบานั่นล่ะ
“ข้าภูมิใจมากเลยท่านที่จะได้รับหน้าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้”
ยอดจริง ๆ ขอแค่เป็นงานที่เทพมอบให้ ขนาดงานตัดไม้ธรรมดา ๆ มันยังกลายเป็นงานศักดิ์สิทธิ์ได้ ผมล่ะยอมใจจริง ๆ
“เอาล่ะ ถ้างั้นหากเจ้าคิดว่าพร้อมแล้วก็จงใช้แรงของเจ้า ตัดเจ้าต้นไม้นี่ให้ข้าดูหน่อยก็แล้วกัน”
“ครับ!!!”
อุสบาขานรับอย่างขันแข็ง ก่อนจะใช้มือทั้งสองของเขากำด้ามขวานแน่น กล้ามเนื้อของเขาเริ่มปูดโปนออกมาจนเห็นได้อย่างเด่นชัด จากนั้นเขาก็เริ่มตั้งวงสวิงกว้างพร้อมที่จะสับเข้าใส่ลำต้น
“ย้ากกก”
พลังมหาศาลได้ถูกปลดปล่อย เสียงขวานได้กรีดเข้ากับสายลมดังออกมาก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงกระแทกดังสนั่นไปรอบ ๆ
ตึง
ผมรีบมองสิ่งที่ตามมาอย่างตื่นเต้นปนกังวลใจว่ามันจะสำเร็จได้แบบที่คิดไหม ซึ่งพวกชาวบ้านคนอื่นเองก็ไม่ต่างกัน ทุกคนลุ้นกันเยี่ยวเหนียวสุด ๆ
แผ่นหินสีดำขลับได้ปักฝังเข้าไปในลำต้นเกินกว่าครึ่งด้าม โดยมันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่นหรือรอยร้าวใด ๆ โผล่มาให้เห็น
“สำเร็จสินะ เยี่ยมมาก”
ผมเห็นแบบนั้นก็แทบอยากกระโดดดีใจน้ำตาไหล ร้องยินดีดังลั่นป่า แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้เพื่อไม่ให้เสียมาดของเทพแห่งแสงผู้เยือกเย็น
“นี่สินะพลังแห่งปัญญา พลังของท่านเทพแห่งแสงที่พิชิตได้ทุกสิ่ง!!! ย้ากกก”
อุสบาที่เห็นว่ามันได้ผลจนไฟเริ่มติด ยิ่งได้ยินเสียงเชียร์จากเพื่อน ๆ คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาตะโกนออกมาด้วยความร้อนแรงก่อนจะรัวขวานถล่มเข้าใส่ต้นไม้ไม่ยั้งจนผมยังแอบเหงื่อตก
ผมว่านั่นไม่ใช่พลังแห่งปัญญาหรอก พลังแห่งกล้ามต่างหาก….
ตึง ตึง
เสียงสับต้นไม้ดังขึ้นมารัว ๆ ขวานหินได้ตัดเฉือนเข้าไปในเนื้อไม้ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มกินไปถึงกลางเนื้อไม้
งานงอกแล้วไง ถ้าเจ้าอุสบามันยังถล่มตัดแบบนี้ต่อไป ด้วยต้นไม้ที่ไร้ฐานที่มั่นคง มันจะต้องโค่นลงมาทับกองเชียร์ด้านหลังอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าจงรีบถอยออกมาก่อน ไม่เช่นนั้นต้นไม้นั่นจะล้มทับเจ้าตายเอา”
ผมยังจำภาพสารคดีที่เปิดผ่าน ๆ ได้ ซึ่งมันก็เคยมีอุบัติเหตุคนโดนทับต้นไม้ตายกลายเป็นปุ๋ยเพราะตัดไม้เพลินไปหน่อย
และแล้วต้นไม้นั่นมันก็ล้มลงมา ทำเอาซะวงเชียร์ที่กระจุกเมื่อครู่แตกกระจายราวผึ้งแตกรัง ก่อนที่พวกเขาจะมาขอบคุณและสรรเสริญผมกันใหญ่
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนละกัน ที่สำคัญคือเจ้าหินที่ใช้สับต้นไม้นี่ แหล่งที่มานั้นมาจากไหนมันสร้างความสงสัยให้กับผมเสียเหลือเกิน
“ผู้ใดเป็นคนเจอหินนี่กัน จงก้าวออกมาข้างหน้า”
“กระผมเองครับ”
ชายคนหนึ่งเดินนำหน้าออกมา โดยเขานั้นเป็นผู้ชายร่างกายกำยำน้อยกว่าอุสบา สูงเพียงแค่ไหล่ของยอดนักรบแห่งเผ่าเท่านั้น ส่วนผมสีทองของเขานั้นดูยุ่ง ๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อย ดวงตาสีฟ้านั่นดูเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างเก็บไว้ไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นจงนำข้าไปที่นั่นที”
“ได้เลยครับท่านเทพ”
ว่าจบ ชายคนนี้ก็เดินนำทุกคนไปจนถึงจุด ๆ หนึ่ง ผมถึงกับเกือบอ้าปากค้างเมื่อพบว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยซากศพสัตว์นอนตายจำนวนมาก ลักษณะของพวกมันคล้ายกับไดโนเสาร์ทว่าขนาดตัวใหญ่พอ ๆ กับวัวตัวใหญ่ ทว่าจุดเด่นของมันคิดแผงหินสีดำคมกริบที่กลางหลัง
นี่มันสัตว์ประหลาดหรือตัวอะไรเนี่ย! อย่าบอกนะว่าเป็นมอนสเตอร์ สรุปนี่ผมอยู่ในโลกแฟนตาซีจริง ๆ ใช่ไหม
ถูกต้อง โลกที่ข้าสร้างนั้นหาใช่โลกธรรมดาที่มีเพียงเผ่าพันธุ์แปลก ๆ แม้แต่สัตว์ที่อยู่ในโลกก็ย่อมแปลกไปด้วย ใช่! ข้ามีสัตว์แฟนตาซีให้พวกเจ้าออกไปหาล่าและพามาเลี้ยงเต็มไปหมดเลยอย่างไรล่ะ ชอบใช่ไหมล่ะ
ได้ยินมาแบบนี้จะว่าชอบมันก็ดูชอบอยู่หรอก แต่ว่าก็แอบเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน คือจะว่าดูน่าสนุกมันก็ใช่ แต่ดูน่าสยองก็ไม่เชิง เพราะขืนไปตั้งเมืองใกล้รังมังกรล่ะก็ รับรองไม่ทันที่หมู่บ้านจะได้โต ได้ถูกเผาวอดก่อนพอดี
ผมรีบสั่งให้พวกเขาทุกคนเก็บหินสีดั้งหมดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะนำมาสร้างขวานให้ได้มากที่สุด แต่ระหว่างนั้น ผมก็สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง
พวกสัตว์ที่นอนตายนั้น บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลฉีกขาดเหวอะหวะ เนื้อถูกคว้านหายไปหลายส่วน บ่งบอกถึงสาเหตุการตายของพวกมันได้เป็นอย่างดี
ดูท่า พวกผมจะอยู่ใดล้พวกตัวปัญหาพอสมควรสินะเนี่ย
เมื่อเก็บหินได้พอประมาณแล้ว ผมรีบสั่งให้พวกเขาถอยห่างจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคน
เมื่อคิดว่าออกห่างมามากพอแล้ว ผมก็ได้สั่งให้พวกเขายืนรอกันโดยผมกระโดดขึ้นไปบนหินและมองลงมาโดยจ้องไปที่ชายที่พบหินและทำร่างกายของตัวเองให้ส่องสว่างเจิดจ้า
“ด้วยความดีความชอบของเจ้าในครั้งนี้ พวกเราได้พบกับหินอันล้ำค่าที่นำมาซึ่งแสงสว่างในอนาคตของสรวงสวรรค์บนดินแห่งนี้ จึงสมควรที่ข้าจะมอบรางวัลให้แก่เจ้า”
ดวงตาสีฟ้าของเขามองมาที่ผมอย่างตื่นเต้น เสียงชื่นชม ตื่นเต้นและแสดงความยินดีดังขึ้นมาให้แก่เขาอย่างไม่หยุดหย่อน
“สิ่งนั้นคือนามที่เหมาะสม… นามศักดิ์สิทธิ์..”
ใช่ ที่ผมต้องทำแบบนี้ก็เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุก ๆ คนว่าหากพวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดี พวกเขาย่อมสมควรได้รางวัล มันเป็นแรงกระตุ้นได้ดีใช่ไหมล่ะ
แต่ประเด็นของรางวัลคือผมไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งของเลยแม้แต่นิดเดียว ที่มีตอนนี้คงเป็นความศรัทธาของพวกเขาที่มีให้กับผม ใช่ ดังนั้นหากใช้แรงศรัทธาของพวกเขามาช่วย ผมก็จะได้รางวัลใหม่มา….. ชื่อไงล่ะ
ขอแค่ตั้งชื่อ ถ้าหากเอาคำว่าศักดิสิทธิ์มาต่อท้ายบวกกับคนมอบให้เป็นเทพเจ้าแล้ว แค่การตั้งชื่อก็สามารถเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ได้
แต่ประเด็นคือ…. มันจะชื่ออะไรดี….
จุดนั้นล่ะคือปัญหา เพราะไอ้การให้ชื่อเป็นรางวัลเนี่ย มันเพิ่งขึ้นมาในหัวผมไม่กี่ชั่วครู่นี้เอง ดังนั้นไอ้ว่าชื่อเขาจะเป็นอะไรผมยังไม่ได้คิดไว้เลย แล้วไอ้ฝีมือการตั้งชื่อของผมมันก็ยิ่งห่วย ๆ ซะด้วย
จุดเด่น ใช่ ต้องเอาจุดเด่นมาตั้ง…. เจ้าหมอนี่เป็นคนที่หาของมาให้ผม ดังนั้น….
“ชื่อของเจ้า คือฟายเดอร์… ชายผู้หาในสิ่งที่พระเจ้าประสงค์”
ไงล่ะ สุดยอดใช่ไหมล่ะ ไฟน์ด ฟายเดอร์…..
ขอโทษด้วยนะ ที่มักง่าย แต่เอาน่า ถ้าคนรับมันดีใจ มันก็โอคแล้วล่ะ
ว่าเสร็จผมก็มองเจ้าฟายเดอร์ที่รับนามนั้นมาอย่างยินดีปรีดาพร้อมกับตะโกนอวดคนอื่นไปทั่วท่ามกลางสายตายินดีปนอิจฉาจากคนอื่น
หลังเหตุการณ์เริ่มสงบ พวกผมเริ่มทำการประกอบสร้างขวานหินขึ้นมาก่อนเริ่มร่วมกันตัดต้นไม้ ซึ่งใช้เวลานานอยู่พอสมควร แต่สุดท้ายก็ได้ท่อนซุงมามากพอสมควร
ทว่าความซวยอีกอย่างหนึ่งของตอนนี้คือ…. ไม่มีที่ขน ล้อก็ไม่มี รถขนก็เลยใช้ไม่ได้เพราะงั้นตอนนี้เลยแก้ปัญหาด้วยการ….
กลิ้ง ใช่ พวกผมทำการกลิ้งท่อนซุงกันยาวจากป่าจนไปถึงพื้นที่ติดแม่น้ำที่ผมกะเอามาตั้งเป็นหมู่บ้าน ซึ่งก็พบว่าพวกผู้หญิงนั้นรอต้อนรับพวกเราอยู่แล้วด้วยอาหารมื้อเย็นมื้อใหญ่ซึ่งมีอาหารชนิดใหม่ประกอบอยู่ด้วย นั่นคือปลา….
ผมพยักหน้าและยิ้มให้กับยูน่า เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ใกล้ ๆ พวกเธอ มันมีลักษณะเป็นแท่งไม้ยาว ๆ พร้อมกับหินอยู่ตรงปลาย
มันไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจาก….หอก
ถูกต้อง ก่อนออกเดินทาง ผมได้อธิบายถึงยูน่าในเรื่องวิธีการและการใช้ของสิ่งที่เรียกว่าหอกและให้เธอทำการสอนให้กับพวกผู้หญิงที่เก่งเรื่องงานฝีมือ จากนั้นก็ให้ทำการจับปลา
ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้เพราะการจับปลามันใช้แรงพอควร แต่ดูเหมือนผมจะประเมิณต่ำไป พวกเธอทำได้ดีเลยล่ะ
“เอาล่ะ ในเมื่อกินอาหารเสร็จแล้วคงถึงเวลาที่เราจะสร้างสวรรค์บนผืนดินกันแล้วล่ะนะ”
“โอ้… พวกข้าพร้อมมากพระองค์ท่าน แล้วมันต้องทำอย่างไรเหรอครับ”
“ก่อนอื่น พวกเจ้าจะต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า….บ้าน”
และตอนนั้นเอง การก่อสร้างหมู่บ้านก็เริ่มต้นขึ้น มีการลองผิดลองถูกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตัดท่อนซุงให้เป็นทรงหรือการประกอบสร้างกำแพงบ้าน
นอกจากไม้แล้วพวกเขายังนำหินมาเรียงกันเป็นกำแพง ซึ่งก็ล้มและถล่มกันไปพอสมควรเพราะความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมที่ต่ำเกินไป แถมฟิสิกส์ผมก็ใช่ว่าจะตั้งใจเรียน…..
นอกจากไม้แล้วพวกผมยังทำการเก็บหญ้าที่ริมไม้น้ำ นำมันมาตากให้แห้งก่อนจะนำมามุงเป็นหลังคา ซึ่งเท่าที่ดูก็น่าจะใช้กันแดดกันฝนให้ได้อยู่
เสียเวลาไปกว่าอาทิตย์ในที่สุดความพยายามก็เริ่มออกผล ในที่สุดพวกผมก็สามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่าบ้านออกมาได้ ถึงแม้ขนาดของมันจะเล็กจนสมควรเรียกว่ากระต๊อบ แต่ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับตอนนี้
และในที่สุดเผ่ามนุษย์ก็ได้มีที่อยู่อาศัย หมู่บ้านซึ่งนับเป็นก้าวแรกของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาเสร็จสมบูรณ์