Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 10 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าทั้งทีจะคุยกับเผ่าอื่นน่ะสบายๆ
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 10 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าทั้งทีจะคุยกับเผ่าอื่นน่ะสบายๆ
“มั่นใจนะว่าทางนี้น่ะ ฟายเดอร์”
ผมพูดไปพลางปัดกิ่งไม้ที่อยู่ตรงหน้าให้พ้นห่างจากตัวไป ให้ตายสิครับ ถึงจะบอกว่าพวกป่านี้มันจะเดินได้สบายๆ ก็เถอะ แต่ไหงพอยิ่งเดินลึกแล้วต้นไม้ก็ชักยิ่งหนาขึ้นเหะ แต่ก็ยังดีครับที่ยังไม่มีพวกไม้หนามหรือพวกสัตว์ป่าอะไรมาก่อกวนการเดินทางของพวกผม
“ครับผมพลังในการนำทางของท่านที่ส่งต่อมาให้ข้านั้นบอกมาเช่นนี้ขอรับ”
ฟายเดอร์ตอบกลับผมมาด้วยความมั่นใจแบบสุดๆ นี่ตั้งแต่ไปเจอของสารพัดอย่างทั้งดอกไม้ ทั้งหินอ่อน ทั้งทอง เนี่ย รู้สึกว่าจะมั่นใจในฝีมือตัวเองขึ้นเยอะเลยนะฟายเดอร์เอ๋ย ว่าแต่พักหัลงๆ หมอนี้ก็ยิ่งทำอะไรที่มันดูจะแปลกตาผมขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ ล่าสุดเนี่ยก่อนออกเดินทางมาก็เอาจมูกดมซากพวกเสือลมแล้วก็วิ่งนำพวกผมแบบมั่นใจมาเลย แหม นี่หมาหรือคนหว่า
อ๋อใช่ครับ ตอนนี้พวกผมกำลังเดินทางตามล่าหาพวกเสือลมกัน เหตุก็ง่ายๆ คือพวกผมต้องการกำจัดต้นตอที่ฆ่าพวกปศุสัตว์ผมให้พ้นๆ ไป และที่สำคัญอีกอย่างก็คือผมต้องการคริสตัลบนหัวมันครับ ใช่ครับ ตั้งแต่คืนก่อนที่พวกผมปะทะกับพวกมันเมื่อวาน เมื่อเห็นมันใช้เวทใส่มาก็ทำให้ผมปิ้งไอเดียเลยครับว่าถ้าผมเก็บคริสตัลนั่นมาจากตัวมัน น่าจะทำให้ทางหมู่บ้านผมมีเวทมนตร์ใช้กัน
แต่ประเด็นปัญหาก็ดันเกิดขึ้นมาครับ คือพวกผมไม่รู้จะใช้คริสตัลพวกนั้นยังไง ถึงจะมีหลายคนที่เห็นเจ้าเสือมันใช้เวทลมเมื่อวานกันหลายคน แต่ว่าพอเอาไปให้แต่ละคนลองดูแล้วก็เหมือนจะไม่เกิดอะไรขึ้น ซึ่งคำตอบก็ออกมาคล้ายๆ กันคือพวกเขาพยายามทำหมดทุกอย่างแล้ว แต่ยังไงก็ไม่รู้สึกถึงพลังอะไรจากหินนี่เลย….อืม ถ้าใช้ภาษาตามนิยายก็คงเป็นไม่รู้สึกถึงพลังเวทสินะครับ
หลังฟังพวกเขาพูดไปมาพร้อมกับเอาคำพูดพระเจ้ามาประกอบที่ว่ามีเวทในมิติหลายชนิดให้เลือกใช้ ซึ่งนั่นก็น่าจะหมายถึงว่ารูปแบบของเวทที่นี่มีหลากหลายมาก การที่จะนำแต่ละอย่างมาใช้ได้ต้องค้นพบวิธีพื้นฐานของมันซะก่อน อย่างบางที่อาจจะต้องมีพิธีกรรมที่ถูกต้อง หรือบางที่ก็เบิกพลังออกมาให้ได้ก่อนถึงจะใข้ได้แบบ…เน็นในการ์ตูนสุดดองแห่งปี….เมื่อไหร่ตอนจบจะมาเนี่ย
ตอนแรกผมก็ว่าลองทำตามการ์ตูนอยู่หรอก นั่งนึกถึงพลังไปตามที่เรื่องมันอธิบาย แต่ไม่ว่าจะทำยังไง มันก็ไม่โผล่มาสักแอะ ไม่ว่าจะเน็น จะจักระ หรือคลื่นมนตรา ดังนั้นผมก็คงต้องใช้สูตรเดิม ไปปาขี้ให้ชาวบ้านเขาคิดให้ ซึ่งหน้าที่ก็คงไม่ใช่ของใครอื่น ยูน่านั่นล่ะครับ เธอดูจะใฝ่เรียนรู้และช่างคิด ช่างสงสัยที่สุดในบรรดาคนในหมู่บ้านแล้ว
น่าจะพอฝากผีฝากไข้ได้อยู่ล่ะมั้ง ผมคิดไปก็พลางคิดถึงหน้าเธอตอนได้รับมอบหมายให้ ซึ่งแน่นอนครับ เธอทำหน้าแบบปลื้มปีติอย่างมากเลยที่ผมมอบหมายหน้าที่สุดแสนจะสำคัญแบบนี้ให้เธอ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆ นั่นเอง เหมือนฟายเดอร์จะสงสัยอะไรบางอย่าง เขาจึงหันมาหาผม เอ่อ…ชักจะมีลางสังหรว่าจะโดนถามอะไรแปลกๆ ซะแล้วสิ
“ว่าแต่ท่านเทพที่น่าจะรู้ทางดี ใยถึงถามข้าแบบนั้นล่ะขอรับ”
มาอีกแล้วครับ ไอ้คำถามที่ล่อให้ผมดริฟมันมาอีกแล้วครับ ให้ตายสิ ถามบ่อยๆ แบบนี้ชั้นก็เจ็บหน้าเหมือนกันนะเว้ยไอ้เจ้าฟายเดอน์
“ข้านั้นรู้แค่จุดหมาย แต่ระหว่างทางนั้นจะมีอะไรบ้างนั้นข้าหาได้รู้ไม่ เพราะด้วยหลังจากที่ข้าแบ่งปันพลังหลายๆ อย่างของข้าให้กับพวกเจ้า พลังของข้าก็อ่อนลงจนมิอาจมองเห็นได้ทั่วหล้าดั่งเช่นแสงของข้าอีกแล้ว”
“เช่นนั้นหรือขอรับ ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ขอรับที่พูดอะไรเช่นนั้นออกไป คือข้าไม่ได้สงสัยในตัวท่านนะขอรับ…คือข้าแค่ยังเป็นกังวลกับพลังค้นหาของตัวเองก็แค่นั้นขอรับ”
อืม ไม่ใช่นายหรอกที่ต้องกังวล ไอ้ตัวเทพอย่างชั้นยังกังวลแทนนายเลย ไม่สิ กังวลกว่าเจ้าตัวอีกอะ และระหว่างที่ผมกำลังพูดกับฟายเดอร์อยู่นั้นเอง อุสบามันก็เดินมาพร้อมเอากำปั้นกระแทกเข้าที่อกของตัวเอง
“หึ จะเป็นกังวลอะไรมากนักเล่าฟายเดอร์ เจ้าน่ะแค่นำทางไปก็พอ ถ้าระหว่างทางเจออันตรายอะไรละก็ ข้าอุสบา ผู้ได้รับการเบิกพลังแห่งนักรบจากท่านเทพผู้นี้จะเป็นคนจัดการเอง”
ว่าเสร็จมันก็กระแทกหอกที่ทำจากเขี้ยวเสือลมอันใหม่เอี่ยมลงกับพื้น และก็ต่อด้วยหันหน้ามาทางผมพร้อมแววตาที่แสนจะเต็มไปด้วยความซาบซึ้งในพระคุณของผม
“พูดถึงเรื่องการเบิกพลังแล้ว ไม่ว่าจะพูดขอบคุณท่านไปซักกี่ครั้งก็ไม่อาจทดแทนคุณของท่านที่มอบสิ่งล้ำค่าเหล่านี้มาให้ข้าจริงๆ ขอรับ นอกจากจะมอบชื่ออันเป็นเสมือนการแต่งตั้งข้าเป็นดั่งหอกของท่านแล้ว ท่านยังได้มีความเมตตาใช้ตัวท่านเองเข้าแลก ปลุกพลังให้ข้าผู้นี้จนสามารถโค้นล้มเจ้าเสือลมพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นยแล้วยังได้ทำหอกเขี้ยวเสืออันนี้เป็นรางวัลให้กับข้าผู้นี้อีก ด้วยเรื่องที่ท่านทำให้ข้าทั้งหมดนี้นั้น แม้ข้าจะพูดว่าขอตายแทนท่านหรือถวายชีวิตทั้งหมดนี้ให้ก็คงมิเพียงพอเลยจริงๆ”
พออุสบาพูดจบมันก็ได้คุกเข่าลงตรงหน้าผม พร้อมต่อด้วยสายตาและสีหน้าที่จริงจัง
เอ่อ…อุสบา นี่ตั้งแต่แกฆ่าล้างบางเสือลมเมื่อวานแล้วแกชักจะเมาใหญ่แล้วนะ นี่ชักจะพล้ำเพ้อยกตัวชั้นขึ้นหิ้งหนักขึ้นเรื่อยๆ พอกับยูน่าแล้วนะเฮ้ย แล้วก็อีกอย่างนะ ตั้งแต่วันที่มันคิดว่าตัวเองได้รับการปลุกพลังขึ้นมา มันชักจะทำตัวห้าวขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ เพราะเมื่อวานตอนเราคุยว่าจะทำการสำรวจและกำจัดพวกเสือในวันรุ่งขึ้น ไอ้อุสบามันก็ดันโพล่งออกมาว่าจะลุยเดี่ยววิ่งจัดการเองเลยล่ะครับ จนผมต้องห้ามมันถึงจะยอม แล้วไหนจะเมื่อกี้อีก เอ็งชักจะมั่นฝีมือตัวเองไปหน่อยแล้วมั้งเฮ้ย ต้องปรามๆ ซะหน่อยแล้วมั้ง
“อุสบาเอ๋ย เจ้าจงอย่ามั่นใจในฝีมือของตัวเองนัก ในเมื่อวานที่ข้าเห็นเจ้าบอกว่าจะลุยเดี่ยวมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ายังใช้พลังไม่เป็น ….เจ้ายังมิได้ใช้พลังที่สำคัญอีกอย่างที่ข้าปลุกขึ้นมาเลย นั่นก็คือ…ความระมัดระวังอย่างไรเล่า”
“ความระมัดระวังงั้นรึขอรับ”
“ใช่แล้ว ระมัดระวัง การที่เจ้าจู่ๆ ก็บุกลุยไปหาศัตรูดดยไม่คิดหน้าคิดหลังนั้น นั่นละที่เรียกว่าขาดความระมัดระวัง”
“เอ่อ ท่านช่วยอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจหน่อยได้ไหมขอรับ ข้าน้อยยังมิเข้าใจ”
มันตอบกลับผมมาด้วยสีหน้าสงสัย เอาไงดีกว่า จะอธิบายให้มันเข้าใจยังไงดี ยากไปก็ไม่เข้าใจ ถ้าง่ายไปเดี๋ยวมันก็เอาไปตีความมั่วๆ อีก อ๊ะ รู้ละ
“ก่อนอื่นเลย ข้าขอถามหน่อย หากไร้ฟายเดอร์เจ้ารู้งั้นรึว่า พวกเสือพวกนี้มันอยู่ที่ใด”
“เอ่อไม่ครับ”
“นั่นล่ะ พอเจ้าไม่รู้เจ้าก็จะหลงทางแล้วสุดท้ายก็มิอาจกลับมาหมู่บ้านได้แล้วก็อดตายไปอย่างงั้น”
“เป็นเช่นนั้นเองสินะครับ”
อุสบาเริ่มก้มหน้าสำนึกผิด แน่นอนว่าคำพูดผมยังไม่จบแค่นี้ครับ
“ต่อมาเลยก็คือ เจ้าเพิ่งจะฆ่าพวกมันไปได้สามตัวก็ดันคิดไปเองแล้วว่าพวกมันกระจอก บางทีตัวที่เจ้าฆ่าไปอาจเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุดก็ได้ ดังนั้นแล้วบางทีเมื่อเจ้าไปถึงรังของมัน อาจจะมีตัวที่แข็งแกร่งกว่านั้นรออยู่ ตัวที่แข็งแกร่งขนาดที่สามารถฆ่าเจ้าไดเพียงแค่คำรามครั้งเดียวนะ”
“เอ๋ มีพวกนั้นรอพวกเราอยู่งั้นหรือขอรับ”
พอได้ยินผมพูดแบบนั้นไป ไม่ใช่แค่อุสบา แม้แต่ฟายเดอร์หรือคนอื่นๆ ที่ตามมาก็ต่างหน้าซีดพูดจาออกมากันเสียงสั่นทุกคน เอ่อ นี่ผมแค่พูดเปรียบเปรยไปเรื่อยเองนะ ไม่ต้องรีบกลัวขนาดนั้นก็ได้
“ไม่หรอก ข้าแค่พูดให้พวกเจ้าเก็บเอาไปคิด การที่จะเจอตัวอะไรแบบนั้นมันไม่ได้เจอง่ายๆ หรอกนะ”
“เช่นนั้นหรือขอรับ”
ว่าเสร็จพวกเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะตั้งสติแล้วกลับไปเดินต่อ เพียงแค่พวกผมก้าวต่อไม่กี่ก้าวเท่านั้น เจ้าฟายเดอร์ก็ยกมือของตัวเองขึ้นมาเป็นสัญญาบอกให้ทุกคนหยุดเดินทันที ดูจากหน้าของมันที่ทำหน้าเข้มขึ้นก็ดูเหมือนจะมีอะไรอันตรายเข้ามาหาจริงๆ นั่นละ ซึ่งอุสบาที่รู้สึกเช่นเดียวกันก็ค่อยๆ เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ โดยสุดท้ายก็ไปนำหน้าสุดของแถว
ตึง ตึง
แต่ละคนต่างกลืนน้ำลายเอื้อก รวมถึงผมด้วย เพราะเสียงที่กระแทกนั้นช่างดังดุจมีใครเอาหินทุ่มทิ้งลงกับพื้น
ตึง ตึง
เสียงเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อุสบาเริ่มตั้งหอกในมือของตัวเองขึ้น ทางผมเองก็พยายามเดินมาข้างหน้าแล้วเช่นกันเพราะจะยังไงผมก็เป็นอมตะ ถ้าศัตรูที่ดูโหดเกินกว่าอุสบาจะรับมือไหวบุกเข้ามาหาะก็ผมจะได้เอาตัวเป็นกำบังถ่วงเวลาให้พวกเขาหนีกลับไปที่หมู่บ้านได้ปลอดภัย
แกร๊ก
เสียงกิ่งไม้ข้างหน้าหักออกดังขึ้นมาพร้อมกับร่างกายสีน้ำตาลที่มีผิวดุจดั่งดินปรากฏขึ้นมา ร่างกายของมันนั้นสูงใหญ่กว่าพวกผมเพียงเล็กน้อย แต่ว่าความหนาของร่างกายกลับหนากว่า รวมทั้งดูจากภายนอกแล้วร่างทั้งร่างของมันน่าจะทำมาจากดินซะด้วย ใช่แล้วครับ รู้สึกว่าพวกผมจะเจอมนุษย์ดินซะแล้ว เอ่อ เรียกว่าโกเลมจะดีไหมเนี่ย
รู้สึกเหมือนว่าเจ้าโกเลมตัวนั้นจะรู้สึกถึงพวกผมด้วยเช่นกัน มันหันทางที่พวกผมยืนอยู่แล้ว แบบนี้ก็มีสิทธ์งานงอกดิ ให้ผมเดานะ งานนี้หอกไม่น่าแทงมันเข้าแหง ๆ ทำไงดีๆ หนีดีมะ หรือจะลองเสี่ยงสู้ดี
หนักกว่านั้นดูเหมือนว่าพอมันเห็นพวกผมแล้วมันก็ได้สาวเท้าเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ แน่นอนครับ แบบนี้ก็ยิ่งกดดันพวกผมใหญ่สิครับ ไม่ว่าจะผม อุสบา หรือใครๆ ต่างก็เริ่มมีเหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลมาแล้ว
“พวกเจ้า…”
“เป็นใคร…..”
มันยกมืออันแข็งกระด้างของพวกมันขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วชี้มาที่พวกผม ซึ่งพวกอุสบาต่างก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมขมวดคิ้วงงไปเลย
“มันพูดอะไรของมันฟะ”
“หรือว่ามันจะบอกให้พวกเรามายอมเป็นเหยือของมัน”
ไม่ถูกเลยสักนิดเลยเว้ย มันแค่ถามว่าพวกเอ็งเป็นใครแค่นั้นเองเว้ย นี่คำง่ายๆ แบบนี้พวกเอ็งงงได้ยังไงเนี่ย เอ่อ…พอนึกไปนึกมาก็ทำให้ผมรู้สึกตัว ผมได้รับพลังแปลภาษามาจากพระเจ้านิหว่า ไม่แปลกเลยที่ผมจะฟังที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ที่พูดกันคนละภาษาออกได้ ว่าแต่นะ อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าผมไม่มีพลังแปลภาษาแล้วจะได้ยินพวกนี้มันพูดกันออกมาเป็นยังไง
“ไม่ใช่หรอก พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว มันแค่ถามว่าเจ้าเป็นใครเท่านั้น”
“เอ๋ ท่านเทพฟังมันออกด้วยหรือครับ…สุดยอดสมเป็นท่านเทพเลยครับ”
พวกเขาพูดมาแบบอึ้งๆ ปนชื่นชม หึๆ ขึ้นชื่อว่าเทพอรุณคนนี้ซะอย่าง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ด้หรอกน่า เพราะฉะนั้น เรื่องการคุยกับเจ้าคนเผ่านแปลกหน้าเนี่ย ชั้นจัดการเอง คิดเสร็จผมก็เดินออกไปข้างหน้าเพื่อแสดงตัวตน
“นามแห่งข้าคือเทพแห่งแสงผู้ปกครองมวลมนุษย์ ส่วนพวกเขาก็คือมนุษย์ผู้เป็นสาวกที่ติดตามข้ามา”
“พระเจ้า…มนุษย์…”
หึๆ อึ้งเลยละเซ่ ได้ยินนามของเทพแสงไป ว่าแต่..เดี๋ยวนะ ไอ้เจ้านี่มันเป็นเผ่ามีสติปัญญาชัด ๆ เลย ถ้าขึ้นชื่อว่าเผ่ามีสติปัญญามันก็ต้องมีเทพมาปกครอง แล้วถ้าขึ้นชื่อว่ามีเทพปกครองก็เท่ากับว่าผมมาเจอเผ่าของศัตรูเข้าแล้ว ทำไงดีๆ ไอ้ผมมันก็มีพลังแค่เปร่งแสงด้วยดิ จะให้เอาอะไรไปสู้ฟะ ขอร้องละ ขอให้เทพที่เจอมันพลังไม่เถื่อนเวอร์ด้วยเหอะ
ผมคิดไปก็สวดอ้อนวอนพระเจ้าสุดกวนโอ้ยในใจครับ พระเจ้าเอ้ย ตูดวงซวยทอยได้หนึ่งขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยก็บันดาลให้ตูไม่เจอศัตรูเถื่อนๆ หน่อยเถอะ สาธุๆๆๆ
“คือสิ่งใด ข้าไม่รู้จัก”
อ้าวเฮ้ย ……พลิกโผครับท่าน ด้วยคำพูดที่มันพูดมา ก็เอาทำผมงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้จักพระเจ้าเนี่ยนะ เฮ้ยๆ มันจะแปลกไปแล้วนะ ถ้าพวกแกเป็นพวกเผ่าที่มีสติปัญญาละก็มันต้องมีเทพสักองค์ดูแลอะดิ
“พวกเจ้าไม่มีใครมาชี้นำเลยรึ อย่างผู้ที่ร่วงหล่นมาจากฝากฟ้าอะไรแบบนั้น”
ครับ ผมพูดย้อนกลับไปถึงอดีต ตอนที่ผมลงมาที่โลกนี้นั้นตัวผมได้ร่วงมาจากบนฟ้าโดยโดนพระเจ้าถีบตกลงมา ซึ่งถึงคนอื่นจะไม่โดนถีบ แต่การปรากฏตัวก็น่าจะเหมือนๆ กันนะ
“ไม่มี….ไม่มีใครที่ปรากฏตัวแบบนั้นไม่ แต่ไหนแต่ไร ก็ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตนอกจากนกจะลงมาจากบนฟ้าได้หรอก”
โกเลมตรงหน้าผมพูดด้วยเสียงช้าๆ เนือยๆ ชวนหลับคล้ายกับครูสอนสังคมแก่ๆ หลายๆ ท่าน เมื่อผมได้ยินแบบนี้ก็แปลกใจสิครับ แต่ว่าพอคิดไปมาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก
“อืม ช่างเรื่องนั้นเถอะ พวกเราน่ะมาดี ที่พวกเราเข้าป่านี้มาก็เพื่อล่าเจ้าเสือปล่อยลมได้เท่านั้น พวกเราแยกกันแค่นี้เถอะ”
สำหรับผมแล้วการจะไปยุ่งอะไรกับเผ่าพวกนี้มันก็ไม่มีประโยชน์นักหรอก เพราะถ้าปะทะกันจริงๆ ก็มีแต่เสียกับเสีย ขอแค่อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ถ้าแยกจากกันไปโดยไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นแค่นั้นผมก็พอใจละครับ
“เสือ…ปล่อยลมได้….อย่าบอกนะว่า”
โกเลมตรงหน้าผมทำหน้าตาตื่นอยู่พักหนึ่งก่อนที่มันจะยกมือของตัวเองขึ้นมาลูบคางทำท่าครุ่นคิดบางอย่าง..เอ่อเหมือนผมจะลืมอธิบายหน้าตาของมันไป คือว่าหน้าตามันก็ดูมีปากมีตาเหมือนพวกเรนั่นละครับแค่ผิวเป็นหิน ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คงขอให้นึกถึงไอ้มนุษย์หินในสี่ยอดมนุษย์ก็แล้วกันครับ
“อา ถ้าพวกที่เจ้าตามหาอยู่คือเสือพวกนั้นข้าก็ขอให้ท่านตามข้ามาหน่อยจะได้ไหม”
“ตาม? …ตามไปไหน”
“ที่อยู่ของพวกข้าน่ะ”
เมื่อได้ยินคำขอมาแบบนี้ผมก็เกิดความลังเลขึ้นมาว่าจะทำตามที่อีกฝ่ายขอดีไหม ถึงดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีอะไรบางอย่างจะขอร้องเกี่ยวกับการจัดการพวกเสือก็เถอะแต่ว่าผมก็ยังไม่ชัวร์อยู่ดีว่านี่เป็นกับดักอะไรรึเปล่า ครับ ผมกำลังกังวลเรื่องว่านี่อาจเป็นกับดักที่เทพองค์อื่นดักลากพวกผมไปฆ่าเล่นน่ะครับ
“เอ่อท่านเทพครับ”
ผมที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจก็โดนพวกฟายเดอร์เรียกเข้าก็เลยหันไป ซึ่งดูเหมือนว่าเพราะการคุยของผมกับเจ้าโกเลมนั่นเหมือนจะทำให้ผมลืมพวกเขาไปซะสนิท
“มีอะไรงั้นรึ”
“คือ….สรุปว่ามันต้องการอะไรรึขจอรับ ข้าเห็นท่านเทพพุดภาษาชองเรากับมันไปก็เห็นมันตอบกลับมาเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ครับ เพราะงั้นตอนนี้พวกข้าก็เลยจับต้นชนปลายอะไรม่ถูกแล้วครับ”
เอ่อ นั่นสินะ ผมก็ลืมไปซะสนิทเลยว่าพวกเขาไม่มีพลังแปลภาษา แต่..อืม รูปแบบของพลังนี้ออกมาเป็นแบบแปลอัตโนมัติงั้นสินะ คำพูดผมจะแปลให้กับผู้ที่ฟังให้เป็นภาษาเดียวกับที่คนๆ นั้นใช้ ในทางเดียวกันถ้าพวกเขาพูดอะไรมาผมก็ได้ยินภาษานั้นมาเป็นภาษาไทยแทน ง่ายดีเหะ
“คือพวกมันต้องการให้เราไปที่อยู่ของพวกมันน่ะ เหมือนพอได้ยินว่าเราจะไปจัดการเจ้าเสือแล้วก็เลยขอให้เราตามมันไปที่อยู่ของมันคล้ายจะมีอะไรอยากให้ช่วย”
“ช่วยงั้นรึขอรับ…”
“ใช่ เหมือนว่าจะขอให้ข้าช่วยอะไรซักอย่าง ตอนนี้ข้าก็เลยกำลังคิดว่า…”
“จะไปช่วยพวกเขาสินะครับ แหมช่างสมเป็นท่านเทพจริงๆ เลยนะครับ แม้แต่กับพวกสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบนี้ยังมีจิตใจเมจจาด้วย
จู่ๆ อุสบามันก็พูดแทรกผมขึ้นมาพร้อมทั้งทำแววตาซาบซึ้ง
“นั่นสินะขอรับ สมแล้วที่เป็นท่าน ทางพวกเรา ข้าก็ว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับที่จะตามมันไป เพราะข้าไม่รู้สึกถึงอันตรายจากทิศทางนั้นได้เลย”
เฮ้ยฟายเดอร์ แกเป็นฟายเดอร์จิตสัมผัสรึยังไงถึงรู้ว่าทางไหนอันตรายไม่อันตราย แล้วอีกอย่างนะ ไอ้เจ้าโกเลมนี่มันยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไปไหนหรือทิศไหน แล้วทำไมเอ็งถึงบอกได้ว่าไปได้ละเว้ย อยู่มาขี้ตั๋วนะเว้ยยยย
แล้วอีกอย่างนะครับ ผมน่ะยังไม่คิดอะไรเลยนะ ยังไม่ได้คิดว่าจะไปหรือไม่เลยนะครับ แล้วทำไมไอ้พวกนี้มันถึงคิดว่าผมจะไปละเฮ้ย ไม่คิดสงสัยอะไรบ้างเรอะ ไม่สงสัยอะไรเจ้าโกเลมที่จู่ๆ ก็โผล่มาได้ตรงจังหวะบ้างเรอะ เพิ่งสอนเรื่องการระมัดระวังไปเองนะเฮ้ย ว่าแต่นี่พวกเอ็งเห็นชั้นกลายเป็นเทพผู้ใจบุญช่วยไปหมดแล้วเรอะ….ถึงจะดริฟซะจนเขาเชื่อกันอย่างงั้นก็เถอะ
“งั้นก็ไปกันเถอะขอรับ”
“เอ่อเดี๋ยว….”
“ขอบคุณที่…ฟังคำขอของข้า”
เหมือนทุกคนจะคิดไปแล้วว่าผมตกลงที่จะไป เจ้าพวกอุสบามันเดินไปทางเจ้าโกเลมด้วยหน้าละลื่นทั้งๆ ที่เมื่อกี้จะกลัวกันแทบเยี่ยวแตกแท้ๆ ส่วนเจ้าโกเลมเมื่อเห็นว่าพวกอุสบาเดินไปทางมันแล้วก็เข้าใจไปเองทันทีเลยครับว่าผมตอบตกลง
เฮ้ยๆ นี่ สรุปนอกจากผมแล้วไม่มีใครู้สึกแปลกๆ เลยสินะ มีแค่ผมคนเดียวสินะครับที่รู้สึกแปลกน่ะ
ผมก็ได้แค่บ่นไปมาอยู่ในใจ เมื่อทุกคนเล่นซธเดินกันไปแบบเฮอาราวกับไปปิคนิคกลางป่าแบบนี้ ผมก็ทำได้แค่เนตามแบบไม่พูดอะไร เพราะถ้าพูดไป งานนี้ผมคงได้อัญเชิญเทพเจ้าดริฟสายฟ้ามาเข้าร่างแหงมๆ
เห้อ ช่างเถอะครับ ยังไงช่วงนี้ก็อมตะ จะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่เป็นปัญหาหรอก…มั้ง
—————————————————————————————————————
พวกผมใช้เวลาเดินกว่าครึ่งค่อนวันในการเดินตามเจ้าโกเลมตัวนี้กว่าจะถึงที่อยู่ของพวกเขา ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ได้ไกลอะไรมากหรอกครับ แต่ที่มันนานก็เพราะว่าเจ้าโกเลมตัวนี้ดันเล่นเดินช้าด้วยความเร็วระดับคนกำลังเดินจงกลม ดังนั้นถึงจะระยะทางสั้นแค่ไหนมันก็ช้าได้ ซึ่งพวกผมก็บ่นอะไรไม่ได้เพราะมันเป็คนนำทาง เกิดไปเองไม่วายหลงกันแน่ เพราะยังไงผมก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจเจ้าฟายเดอร์จิตสัมผัสสักเท่าไหร่ ถึงมันจะพาผมไปถูกที่ทุกรอบก็ตามที
ที่อยู่ของพวกเขานั้นผมก็ถือว่าแปลกตาไปซะเล็กน้อย คือพวกเขาไม่ได้อยู่ในถ้ำครับ แต่พวกเขาอยู่กันกลางป่าเลย โดยที่ๆ พวกเขาบอกว่าเป็นที่พักแล้วลากพวกผมไปนั่งคุยด้วยก็ดันเป็นแค่พื้นหินสี่เหลี่ยมที่ปูยาวๆ ที่ไร้สิ่งที่เรียกว่ารังคามาบังแดดบังฝน ว่าแต่เนื้อหินนี่มันคุ้นๆ นา….
เฮ้ย นี่มันอิฐนิหว่า อิฐล่ะครับทุกท่าน ถึงแม้จะไม่ใช่อิฐคุณภาพดีแบบที่โลกปัจจุบันเราใช้กันแต่แค่จับก็รู้ละครับว่านี่มันอิฐชัดๆ เลย ว่าแต่ ถึงผมจะพูดว่าคุณภาพมันไม่ได้ดีไปกว่าของปัจจุบัน แต่ผมว่ามันก็ดูดีกว่าอิฐที่เอาโคลนมาตากแห้งเฉยๆ อยู่หรอก
“เจ้า…สนใจพื้นบ้านของพวกเรา…อย่างงั้นหรือ”
เหมือนว่าเจ้าโกเลมหินบางตัวมันจะเห็นว่าผมมองจ้องเขม็งที่พื้นบ้านของมันไม่พอยังเอามือลูบไปมาคล้ายคนขูดหาหวยหาเลข มันเลยด้ถามผมพร้อมด้วยการเอียงคอสงสัย
“อืม…พวกนายสร้างนี่ขึ้นมาได้ยังไงหรอ”
“หือ……พวกข้าก็แค่…เอาดินเปียกๆ จากข้างทะเลสาบ..มาปั้นเป็นก้อนเหลี่ยมๆ ..แล้วตากแดดก็แค่นั้น…”
เฮ้ย ผมลืมไปได้ไงครับเนี่ยเรื่องการสร้างอิฐ นี่โครตจะของพื้นฐานเลยนะครับ แถมพวกเขายังแค่เอามาตากแดด แต่ทางผมเนี่ยสิมีไฟแล้วดันไม่เอาดินเหนียวที่เจอมาเผาฟะ ดันห่วงแต่เรื่องสร้างภาชนะ ให้ตายดิ ความตะกละมันไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ นะครับท่านผู้ชม….
“ว่าแต่ไม่มีหลังคามากันฝนกันแดดหน่อยรึ”
“หลังคา….คือสิ่งใด….ถ้าฝนละก็แค่กางพื้นบ้านใต้ต้นไม้ก็พอหลบได้แล้ว”
คุณพี่ไม่กลัวโดนฟ้าผ่าเรอะครับ โคตรจะนำไฟฟ้าเลยนะครับพวกต้นไม้สูงๆ ใหญ่ๆ เนี่ย …เอ่อว่าแต่คนสมัยก่อนยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้นี่หว่า ขนาดสมัยปัจจุบันยังมีคเชื่อเลยว่าฝนตกให้หลบใต้ต้นไม้ใหญ่
“แล้วพื้นหินนี่…”
“ก็เป็นพื้นที่พวกข้านอนพักผ่อน…….ยามที่พวกเรานอนทับมันแล้วพลังก็ฟื้นฟูขึ้น…บาดแผลต่างๆ ก็สมานเร็วขึ้นทีละเล็กทีละน้อย….แปลกอย่างงั้นรึ ….ไม่ใช่ว่า….พวกเจ้าก็มีไม่ใช่รึ”
มีก็แปลกแล้วครับบบบ รู้สึกเผ่านี้มันจะแฟนตาซีไปหน่อยละมั้งครับ เล่นฟื้นพัลงได้จากพื้นหินพื้นอิฐเนี่ยนะ จะอลังการงานโกงไปไหนครับบบบ ไอ้เผ่ามนุษย์อย่างผมโดนฟันทีก็นอนหามแปลไปเป็นเดือน จะไปนอนไหนก็ไม่มีวงันฟื้นเร็วขึ้นหรอกครับ…
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ว่าแต่ที่ขอให้พวกเรามาเนี่ยต้องการอะไรงั้นรึ”
พูดกับพวกนี้ไปผมก็คงได้เจอเรื่องตื่นเต้นเพิ่มอีกแหงมๆ งั้นผมว่าตัดเข้าเรื่องแล้วรีบจัดการให้ทุกอย่างมันจบๆ ไปแล้วจะได้กลับบ้านไปนอนไปกินซะที
“อ่า…ใช่แล้ว….พวกข้า…ได้ยินมาว่าพวกเจ้าจะไปจัดการเจ้าเสือนั่นสินะ”
“อ๋อใช่ พอดีมันฆ่าวัวเรานะ ก็เลยต้องไปจัดการนิดหน่อย”
“วัว….คือสิ่งใดกัน”
เจ้าโกเลมมันเอียงคอสงสัยพักหนึ่งก่อน ซึ่งผมที่ขี้เกียจอธิบายก็ได้แค่ทำหน้ายิ้มๆ สิ่งพวกเขาก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงให้พวกเขาพูดต่อ
“อ่า……ใช่แล้ว..พวกข้าอยากจะขอ…ให้พวกเจ้าช่วยฆ่าล้างบาง…เจ้าเสือนั่นให้หน่อย….”
“หือ..ทำไมละ”
“พวกมัน ชอบมาขัดขวาง…..พิธีการถือกำเนิดของเผ่าพันธ์พวกเรา เอริทธา”
เหยยย พวกคุณครับ ได้ยินแบบนี้ผมก็ช็อคดีครับ พวกเสือพวกนั้นมันบ้าอะไรกันครับ เป็นเสือดีๆ ไม่ชอบไม่ขัดความสุขของชาวบ้านชาวช่องตอนจะมีอะไรกัน บาปนะเฮ้ย
“พิ…พิธีอะไรนะ”
คือผมได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกตะงิดๆ สิครับ แค่..เอ่อ…จะผสมพันธ์กันเนี่ยถึงขั้นเป็นพิธีเลยเรอะ
“พิธีการเกิดใหม่….พวกเราจะนำส่วนที่หลุดลอกของตัวเองไปรวมกัน…แล้วโอบกอดมันไปตลอดสามวันสามคืน….ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็จะประกอบกันกลายเป็นเหล่าเด็กของเผ่าเรา”
มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้วงครับบบบ ขยายพันธ์กันได้โครตดูอลังอะครับ ไม่ต้องมีท้องมีอะไร แค่เอาชิ้นส่วนที่หลุดออกมาประกอบใหม่ก็ได้ลูกแล้ว นี่มันจะเถื่อนไปไหนนนน
“พวกเจ้า..ไม่ได้ทำเช่นนั้นเรอะ….”
“ไม่อะครับ”
ทำได้แบบนั้นก็แปลกแล้วครับ ให้เอาเศษเนื้อเศษหนังมารวมกันแล้วมาประกอบกันเป็นคนเนี่ยนะ นี่คืนทำงั้นไปผมต้องจ่ายแขนจ่ายขาไปเป็นค่าแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมด้วยไหมละนั่น
“แล้ว..ทำอย่างไรละ”
“…..”
ถามมาแบบนี้ผมก็เงียบสิครับ ครับ ใครมันจะไปกล้าบอกกับชาวบ้านชาวช่องได้ไงว่าตอนชายกับหญิงเขาหื่นจัดขึ้นมาทำอะไรกัน ถึงผมจะชอบแถ แต่หน้าผมก็ไม่ด้านพอจะตอบเรื่องแบบนี้ได้นะครับ
“ช่างเรื่องพวกนั้นเถอะ แล้วยังไงละ พวกเสือนั่นมันขัดขวางตอนพวกนายกำลังจะสร้างลูกก็เลยอยากให้กำจัดหมดสินะ”
“ถูกต้องแล้ว ……..”
“ก็ไม่มีปัญหาอยู่หรอก บังไงก็จะจัดการพวกมันอยู่แล้ว แล้วรังของพวกมันอยู่ทางไหนละ”
ที่จริงคิดไปคิดมาก็ไม่อยากล้างบางมันเหะ เพราะคริสตัลบนหัวมันถ้าเกิดพวกผมใช้ได้ขึ้นมาก็จะเป็นการดีมากที่จะเก็บพวกมันไว้แล้วเอามาขยายพันธุ์ทำฟาร์มคริสตัล แต่ตอนนี้ก็คงทำงั้นไม่ได้ เพราะอาหารพวกมันก็คือเนื้อซึ่งพวกผมที่เลี้ยงวัวนั้นคงไม่สละอาหารตัวเองให้พวกมันแน่ ยิ่งกำลังผลิตทางปศุสัตว์พวกผมยิ่งน้อยๆ อยู่
“ทางนั้น…”
ส่วนเจ้าพวกที่เรียกตัวเองว่าเผ่าเอริทธาพอได้ยินผมถามทาง มันก็ชูนิ้วขึ้นแล้วชี้ไปทางด้านหนึ่ง…เดี๋ยวนะ..ทางนั้นมัน….
ครับ ทางที่เจ้าหินนั่นชี้ไป มันทางเดียวกับที่ไอ้ฟายเดอร์มันนำไปเลยนิหว่า นี่สรุปแกเป็นฟายเดอร์จิตสัมผัสจริงๆ ใช่ไหม คนอะไรจะเม่นเกินไปแล้วววว
“โอเค งั้นพวกเราขอตัวไปจัดการมันเลยก็แล้วกันนะ”
ผมพูดเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วเรียกให้บรรดาเหล่าผู้นับถือผมนั้นตามผมมา ซึ่งก่อนที่พวกผมจะได้เดินจากไป เอริทฐาก็ได้ทิ้งท้ายส่งด้วยคำๆ นึง
“ขอบคุณ…”
ผมได้ยินงั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะบกมือโบกให้เขาไป
“ไม่เป็นไร”
ครับ ฉากนี้ละครับโครตเท่เลยครับ ฉากแบบพวกพระเอกที่มาจัดการปัญหาให้ชาวบ้านด้วยท่าทางแบบชิวๆ เห็นปัญหาพวกนี้เป็นเรื่องจิ๊บจ้อยเนี่ย
ระหว่างที่ผมกำลังยิ้มย่องดีใจที่ได้ทำเท่หลังจากโดนอุสบามันแย่งซีนไปเมื่อวาน จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงทักขึ้นมาจากในความมืด…เอ่อ ในหัวผมน่ะ
ไหงสหาย มาทางนี้หน่อยดิ พอดีมีอะไรจะพูดด้วย
เสียงแสนสุดจะคุ้นเคยดังขึ้นกลางคัน ครับ เสียงกวนโอ้ยของเจ้าพระเจ้าที่หายไปซะเนิ่นนานนั่นเอง มาทักเอาตอนนี้มีอะไรหว่า ว่าแต่จะให้ไปทางไหนละครับ เล่นไม่บอกอะไรเลยแบบนี้
เหมือนจะเข้าใจคำพูดของผม จู่ๆ ผมก็มองเห็นเส้นแสงหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าผมก่อนมันจะลากยาวไปทางในป่าที่ดูลับตาคน ซึ่งผมก็บอกให้พวกอุสบายืนรอก่อน พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับ ดังนั้นผมก็เลยเดินไปตามเส้นแสงนั่น
พอเดินตามไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็ได้พบกับคนๆ หนึ่งครับ พระเจ้าคนเดิมที่ตอนนี้มาซะแปลก เปลี่ยนชุดเปลี่ยนสีผมเอาซะดูจำหน้าไม่ได้ได้เลยถ้าเกิดผมไม่ได้เห็นสีหน้าสุดกวนของมันอะนะ
ครับ พระเจ้าตรงหน้าผมเล่นซธย้อมผมแดงแถมต่อด้วยใส่ชุดที่ไม่รู้ว่าหลุดมาจากการ์ตูนเรื่องไหน เล่นเอาซะคล้ายๆ กับชุดพวกนักเรียนในการ์ตูนฮาเร็มบางเรื่องเลยละ แล้วตอนนี้พระเจ้าที่ว่านั่นก็กำลังยืพิงต้นไม้แบบพวกตัวละครลับที่โผล่ออกมากลางเรื่องพร้อมๆ กับโบกมือให้ผมแบบมาดพระเอก
“ไง ไม่เจอกันนานนะ”
“ครับ…นานพอตัวเลย..ถ้านานกว่านี้ก็คงดี”
ผมพูดไปพลางหันหน้าเหล่ตามองไปทางอื่น ใช่ครับ ผมเจอพระเจ้านี่ทีไรผมก็รู้สึกไม่ดีทุกทีเลยนเหอะ ทำไมน่ะหรอ เพราะเจ้าพระเจ้าตรงหน้านี้ชอบก่อกวนผมตลอดเวลาน่ะดิ
“เฮ้ยๆ อย่าว่างั้นดิ รอบนี้มาดีนะเฮ้ย”
“เรื่องดี….ไหนว่ามาสิครับ ว่าแต่นี่ไปเที่ยวงานแฟนซีที่ไหนมาเนี่ย”
“ไปเยี่ยมเพื่อนที่มิติอื่นมาน่ะ ว่าแต่มาฟังเรื่องดีๆ เถอะน่า”
ร้อยวันพันปีผมก็เพิ่งเคยได้ยินคนตรงหน้าบอกมีเรื่องดีๆ มาบอกเนี่ยละ ว่าแต่เรื่องอะไรหว่า
ผมยังคิดไม่ทันไร พระเจ้าก็ตบมือก่อนจะแผ่มืออกสร้างจอสามมิติขนาดเท่ากับที่ให้ผมดูเมื่อคราวเลือกพลังเทพก่อนตบส่งมา ให้ตายสิ จะเปลี่ยนท่าทำไม ท่าซูมไอแพดก็ดูดีอยู่แล้วน่า
“ทำท่าซ้ำๆ เดี๋ยวชาวบ้านชาวช่องก็เบื่อก่อนพอดี เอ้า เข้าเรื่องๆ มองดูนี่สิ”
พระเจ้าพูดไปพลางตบๆ หน้าจอสามมิติของเขาเอาซะจนมันสั่นสะเทือนไปมา แถมหน้าจอยังเกิดลายชั่วครั่วตามแรงตบด้วย เฮ้ยๆ ของดูแพงแบบนี้มาทำงี้เดี๋ยวก็พังหรอก
เมื่อพระเจ้ายกมือที่ตบลงบนจอออก มันก็เผยข้อมูลบางอย่างให้ผมเห็น เป็นข้อมูลที่…ชวนทำเอาซะผมตกใจเลยละครับ
EVENT QUEST
TYPE : Request From No God People
Civilized : Eartha
Quest : Eliminate monster -> wind crystal tiger
คำอธิบาย เหล่าเทพได้เลือกสรรเหล่าเผ่าที่ตนจะดูแล ทว่าก็มีบางเผ่าที่โชคร้ายไม่ได้รับเลือกจากเทพเหล่านั้น พวกเขานั้นไร้ซึ่งการชี้นำ ได้แต่ใช้ชีวิตไปแบบไร้แสงสว่างแห่งปัญญาที่เหล่าเทพจะนำมา และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่เหล่าเทพได้มาพบกับพวกเขา เทพทั้งหลายก็ต่างต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เปิดใจของพวกเขาให้เข้ามารับใช้ตน หรือ จะกำจัดทิ้งด้วยเพราะเป็นเผ่าที่น่ารังเกียจ ทางเลือกของเทพช่างมีมากมายยิ่งนัก
“เฮ้ย…นี่มัน”
ผมชี้ไปที่หน้าจอแบบอึ้งๆ ครับไอ้ระบบแบบนี้ผมรู้จักครับ ระบบที่เราสามารถลากพวกเผ่าไร้อารยธรรมมาเข้าพวกกับเราได้
“ใช่แล้ว นี่ระบบที่ยังไม่มีใครเคยใช้เลยนะเนี่ย พอเห็นนายมาใช้เป็นคนแรกชั้นก็เลยต้องมาแนะนำซะหน่อย”
พระเจ้าพูดยิ้มขำๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผมก่อนจะพับเก็บหน้าจอของเขาลง
“ถ้างั้น ที่พวกเขาขอร้องให้กำจัดเสือพวกนั้น….มันก็เป็นคล้ายๆ เควส..เพราะงั้น..ถ้าผมทำสำเร็จก็หมายความว่า..”
“ใช่ ตามที่นายคิดเลย ถ้านายทำเสร็จ ฆ่าล้างบางพวกเสือนั้นได้ พวกเขาก็จะมาเป็นเผ่าใต้อาณัตินายทันที”
ครับ ผมว่าแล้ว นี่ระบบจากเกม Endless legend นิหว่า ระบบที่ลากเอาพวกไร้คนปกครองเข้ามาเป็นพวกเนี่ย ให้ตายสิ งั้นงานนี้คงต้องได้ล้างบางพวกเสือนั้นแล้วสินะ ถึงจะเสียดายอยู่ก็เถอะ แต่ได้เผ่าใต้อาณัติมาเพิ่มแบบนี้ก็คงดีกว่าเป็นไหนๆ
และด้วยที่ผมรู้แบบนี้เอง ก็ทำให้ผมตัดสินใจได้แบบไม่ลังเลเลยครับ ว่าจะหยิบยื่นชะตากรรมไหนให้กับพวกเสือลมที่กำลังรอคอยผมอยู่
—————————————————————————————————————————
จบไปอีกตอนกับระบบใหม่ที่เพิ่มขึ้นมานะจ้ะ ครับระบบเผ่าที่ไม่ได้ดดนเทพเลือกนั่นเองครับผม ที่จริงๆ ก็เอาไม่มั่นใจอยู่นะเนี่ยว่าจะหยิบเผ่าไหนมาใช้ ก็เลยสุ่มๆ มา…เอ่อไม่ใช่งั้นหรอกครับ
ปล1.มีอะไรผิดพลาด หรือบรรยายไม่ดีกันไงก็บอกได้นะครับจะพยายามปรับปรุง
ปล2.เช่นเดิม คอมเมนของทุกท่านคือกำลังใจของเราจ้า
ปล3.พูดถึงเกม Endless legend จะมีใครู้จักไหมเนี่ย หรือไรท์จะแคสเกมโชว์ดีหว่า 55+ (ที่จริงไรท์ก็เคยแคสเล่นๆ นะขึ้นมหาลัยก็เลิกแล้วละ)