Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 9 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าแล้วแค่ปราบมอนส์เตอร์น่ะไม่มีปัญหา
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 9 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าแล้วแค่ปราบมอนส์เตอร์น่ะไม่มีปัญหา
“ให้ตายสิ ถ้ามีน้ำจิ้มก็น่าจะดีนะ”
ผมบ่นพึมพำขณะกำลังสนุกกับการกินเนื้อย่างตรงหน้า แน่นอนว่าตอนนี้หมู่บ้านของพวกผมก็ได้ทานอาหารปรุงสุกกันอย่างแพร่หลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับพวกเขามันเป็นมื้ออาหารที่อร่อย แต่ผมที่มาจากประเทศซึ่งขึ้นชื่อว่าใส่ผงชูรสลงอาหารอันดับต้น ๆ นั้น กินแต่เนื้อย่างอย่างเดียวคงไม่ไหว
“สำรวจไปตั้งเยอะ ทำไมไม่มีพวกเครื่องเทศมาบ้างนะ”
ผมได้แต่บ่นกับตัวเองถึงชะตากรรมอาหารอันแสนจืดชืด แน่นอนว่ากินเนื้อย่างถ้ามีน้ำจิ้มคงอร่อยไม่ใช่น้อยแต่ของแบบนั้นใครมันจะทำได้ ไหนจะมะนาว ไหนจะเกลือ เป็นของที่ใช่ว่าอยากได้แล้วมันจะมาหาซะที่ไหน
“ท่านเทพครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!!!”
“หะ…หา? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ผมที่กำลังนั่งทานเนื้อห่อผักสไตล์เกาหลีอยู่ ก็สะดุ้งเฮือกจนเนื้อในมือเกือบตกพื้นเมื่อจู่ ๆ อุสบาได้กระโจนทะลุประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงอันแสนตื่นตระหนก
“นี่อุสบาเอ๋ย ก่อนเข้าบ้านข้าเจ้าช่วยเคาะประตูที มาแบบนี้ข้าตกใจไม่ใช่น้อย”
ผมพูดเตือนอุสบาไป โดยอันที่จริงผมนั้นได้เคยสอนเรื่องมารยาทหลาย ๆ อย่างไปให้พวกเขา การเคาะประตูบ้านก็เป็นหนึ่งไหนนั้น
อุสบาได้ยินแบบนั้นก็ชะงักก่อนรีบโค้งหัวขอโทษผมงก ๆ
“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับท่านเทพ แต่นี่มันเรื่องใหญ่มาก ๆ เลยน่ะครับ!!!”
“มีเรื่องอะไรล่ะ เรื่องใหญ่ที่ว่านั่น?”
ผมถามกลับไปแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะการที่ชาวบ้านมารายงานผมว่าเรื่องใหญ่นั้นแทบจะเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว
“ครับ คือพวกสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในปศุสัตว์ของพวกเรา… เอ่อ พวกวัวมัน…. คือมัน…”
อุสบาพูดเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกัน มือของเขาก็เคลื่อนไปมาอย่างลนลานทำเอาผมต้องบอกให้เขาตั้งสติก่อน
“ใจเย็น ๆ อุสบา พวกวัวมันทำไม? มันคลอดลูกเพิ่มหรือว่าใครโชคร้ายถูกมันถีบตอนไปรีดนม?”
พูดถึงนม อันนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมเพิ่งสอนการรีดนมวัวให้กับพวกเขาไปไม่นาน เหตุผลนั้นไม่ใช่อะไร เนื่องจากผมเบื่อน้ำเปล่าดังนั้นนมวัวจึงเป็นคำตอบเดียวที่จะคลายความเบื่อนี้ให้ผมได้
แน่นอนว่าผมไม่ได้รู้เรื่องนี้ดีนัก ไอ้สิ่งที่สอนพวกเขาไปก็ครูพักลักจำมาจากตอนไปทัศนศึกษาที่ฟาร์มวัว ดังนั้นไม่แปลกที่ตอนสอนมันจะดูล้มลุกคลุกคลาน ถูกวัวถีบหลายต่อหลายรอบ ซึ่งผมที่เป็นอมตะนั้นไม่เป็นไร แต่ชาวบ้านคนอื่น ๆ เนี่ยสิ เลือดตกยางออกพอสมควร แน่นอนนั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกรายงานบ่อยในช่วงนี้เหมือนกัน
“ไม่ครับ คือวัวที่พวกเราเลี้ยงมัน…. มันไม่หายก็ตายไปหลายตัวเลยครับ!!”
“หือวัวหาย.. แล้วก็ตายงั้นเหรอ”
ได้ยินแบบนี้ผมก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แน่นอนว่าในหมู่บ้านนี้ไม่น่ามีโจรขโมยวัวอย่างแน่นอน ดังนั้นคำตอบมันก็ต้องเป็นอย่างอื่น
และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่อุสบาบอก เพราะไม่ใช่แค่เอามาเป็นอาหารแต่วัวหลายตัวนั้นเป็นแรงงานช่วยพวกผมในการเกษตรอีกด้วย เพราะงั้นจะแค่ตัวเดียวหรือหลายสิบตัวก็ส่งผลอย่างใหญ่หลวง และไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านได้
“เรื่องใหญ่อย่างเจ้าว่า พาข้าไปที่เกิดเหตุเร็ว”
“ครับ!!!”
ผมกับอุสบารีบวิ่งไปที่ฟาร์มวัวซึ่งตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน และสิ่งที่รอผมอยู่ก็ทำเอาผมถึงกับตาค้างเลย
ซากวัวเกือบสิบตัวนอนล้มตายอยู่กับพื้น ตามร่างของพวกมันมีบาดแผลถูกฉีกกระชาก หรือรอยเขี้ยวฝังเอาไว้ ไม่ใช่แค่นั้น เลือดจำนวนมากได้ไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้นหญ้าส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่ว
จากรอยที่มี รอยเขี้ยวดูจะขนาดใหญ่พอสมควร ดังนั้นมันน่าจะเป็นสัตว์ใหญ่อย่างพวกเสือหรือไม่ก็สิงโตแน่นอน
“แย่แล้วไง”
“อุสบา มีวัวหายไปเท่าไหร่?”
“หลายสิบตัวครับ”
หลายสิบตัวสินะ…. ได้ยินแบบนี้ผมก็ถึงกับเครียด เพราะพวกสัตว์นักล่านั้นมันไม่ได้ล่าเอาเพื่อความสนุก แต่ล่าเพื่ออาหาร ดังนั้นวัวที่ตายไปต้องมีมากกว่าที่เห็นอย่างแน่นอน และยิ่งวัวหายไปเยอะ ก็แสดงถึงจำนวนของพวกมันที่เยอะตามไปด้วย
งั้นพวกมันน่าจะมีมากกว่าสิบตัวอีกสินะ… งานช้างละไง
หากพูดถึงระบบป้องกันของหมู่บ้าน ผมให้พวกเขาใช้คบไฟมาปักไล่สัตว์ป่า ซึ่งพวกสัตว์ทั้งหลายมักจะหนีไฟอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าผมคงจะคิดตื้นไป ดังนั้นจากนี้ผมคงต้องพัฒนาการป้องกันหมู่บ้านขึ้นไประดับซะแล้วสิ
“อุสบา เรียกระดมคนในหมู่บ้าน เราจะสร้างรั้วกำแพงกัน!!!”
“รั้วกำแพง? คืออะไรอย่างงั้นเหรอครับ?”
“ไว้อธิบายที่หลัง ให้พวกชาวบ้านมารวมตัวกันให้เรียบร้อยก่อนแล้วข้าจะบอกอีกที อ้อ บอกพวกเขาให้ขนไม้กับเชือกจากพืชน้ำมาให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้นะ”
ระหว่างที่รอช้าวบ้านมารวมตัวและรวบรวมวัตถุดิบ ผมก็เริ่มร่างภาพของกำแพงลงไปยังพื้นดินตรงหน้า แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่สร้างรั้วเพื่อล้อมพวกวัว แต่เป็นกำแพงไม้สำหรับปกป้องหมู่บ้าน
อุสบาดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว ไม่นานนักหลังจากที่ผมมอบหมายงานให้เขา พวกชาวบ้านก็เริ่มทยอยกันมา พวกเขาขนมาทั้งไม้เล็ก ๆ อย่างกิ่งไม้ หรือไม้ใหญ่อย่างไม้ซุงขนาดสองคนโอบ
“เอาล่ะพวกเจ้าทุกคน ในยามนี้ดูเหมือนจะมีสัตว์ร้ายบุกเข้ามากัดกินสัตว์ที่เราเลี้ยงดูไว้จนได้นะ แถมน่าจะมากันเป็นฝูงซะด้วย”
พวกเขาพยักหน้าตอบรับคำผมอย่างง่ายดาย ซึ่งก็ไม่แปลก หากเห็นสนามหญ้าที่เต็มไปด้วยศพและเลือกของพวกวัวแล้วไม่เข้าใจสิน่าจะแปลกกว่า
“ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้าทุกคน ข้าจะขอมอบสิ่งป้องกันให้แก่พวกเจ้าซึ่งนามของมันคือ “กำแพง” หนึ่งในภูมิปัญญาแห่งแสง”
“กะ..กำแพงงั้นเหรอครับ?”
“ถูกต้อง หน้าที่ของมันคือใช้ปกปักษ์สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังของมันไม่ให้มีสิ่งใดลุกล้ำเข้ามาบริเวณที่มันครอบคลุมอยู่ได้”
จะสร้างแค่รั้วคงไม่พอ ดังนั้นต้องเป็นระดับกำแพงไม้ที่ใหญ่พอจะกันไม่ให้ทั้งสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เข้ามาได้
จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามันก็ได้ แต่ครั้งนี้ผมว่าควรหาอะไรที่มันป้องกันหมู่บ้านได้ระยะยาว ดังนั้นกำแพงไม้สูงก็เป็นอะไรที่ตอบโจทย์
“จะเริ่มอธิบายเลยก็แล้วกัน อย่างแรกคือให้พวกเจ้าคัดไม้ที่นำมา เอาขนาดหนึ่งคนโอบ สูงประมาณเก้าถึงสิบบรานซ์ จำนวนก็เอาให้มากสุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”
“จากนั้นจงขุดหลุมแล้วตอกเสาไม้ที่ทำเข้าลงไปก่อนจะใช้เชือกจากพืชน้ำมารัดให้พวกมันติดแน่นกันมากขึ้น… เข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม?”
“เข้าใจครับ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ตามที่ผมสั่ง โดยพวกเขาคัดเอากิ่งไม้เล็ก ๆ ออก เหลือแต่พวกท่อนซุงขนาดใหญ่ ก็ต้องบอกว่าโชคดีมากที่บริเวณที่พวกผมอยู่มีไม้ขนาดใหญ่เหมาะแก่การทำกำแพงพอควร
ต้องขอบคุณไม้บรรทัดที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ ทำให้การวัดและกะระยะของตัวกำแพงทำได้ง่ายมากขึ้น การคุมขนาดและความกว้างของไม้และเชือกเป็นไปได้ด้วยดี คุณภาพของกำแพงที่จะออกมาคงไม่น่ามีปัญหาอะไร
แน่นอนว่ากระบวนการนี้ไม่ใช่ว่าอยากจะได้กำแพงมันก็จะโผล่มาให้ทันทีเหมือนในเกม เนื่องจากไม้ซุงที่เก็บไว้ในหมู่บ้านมันไม่พอ ซึ่งคาดการณ์จากปริมาณที่ต้องใช้สำหรับล้อมทั่วหมู่บ้าน คงต้องกินเวลาไปหาเพิ่มอีกสองถึงสามวันจึงจะได้
ดังนั้นช่วงนี้จึงนับว่าอันตราย เพราะถ้าวัวพึ่งหายไปเมื่อคืน แสดงว่าสัตว์ร้ายที่มานั้นน่าจะไปยังไม่ไกล และบางทีมันอาจเล็งบริเวณนี้เป็นที่หาอาหารไปแล้วก็ได้ ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านในช่วงนี้ต้องรัดกุมเป็นพิเศษ
ผมได้สั่งการเพิ่มจำนวนคนเฝ้าเวรยามช่วงกลางคืนมากขึ้น รวมถึงสอนให้พวกเขาใช้คบไฟในการส่งสัญญาณเตือนด้วยการยกคบไฟโบกไปมาหากเห็นอะไรแปลก ๆ
นับว่าโชคดีที่ตลอดสองวันที่ผ่านมาพวกผมยังไม่ได้มีการใช้สัญญาณที่ว่านั่น ไร้ซึ่งสัตว์ใด ๆ บุกเข้ามาในอาณาเขตของหมู่บ้าน ดังนั้นการก่อสร้างจึงเป็นไปได้ด้วยดี
เมื่อไม้สำหรับการสร้างกำแพงพร้อม พวกชาวบ้านจึงเริ่มงานได้ทันที ขั้นแรกพวกเป็นการเตรียมขุดหลุมสำหรับวางกำแพงไม้ ซึ่งแน่นอนว่าไม้สูงเป็นเมตร ๆ คงแบกยาก ดังนั้นการใช้เชือกสำหรับทุ่นแรงจึงเข้ามามีบทบาท
หลังจากกลบดินฝัง แนวไม้ทั้งหลายได้ถูกยึดติดกันให้แน่นอีกชั้นหนึ่งด้วยการมัดเชือกจากพืชน้ำทำให้พวกมันมั่นคงมากขึ้น
พวกเราวนทำกระบวนการนี้ไปเรื่อย ๆ เวลาก็ผ่านไปได้สามวัน ซึ่งงานนั้นเป็นไปได้ด้วยดี แล้วเสร็จหากไม่มีอะไรติดขัดก็คงพรุ่งนี้
“โอ้ ท่านเทพมาหาพวกเราแบบนี้ มีเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก มาตรวจดูงานน่ะ อีกทั้งไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงรู้สึกกังวลใจแปลก ๆ จึงอยากจะเดินดูด้วยตัวเองสักหน่อย”
ตามที่ผมพูด ตั้งแต่ตื่นเช้ามา หนังตาขวาของผมมันกระตุกไม่หยุด หากอ้างอิงจากตำราสมัยก่อน เขาว่าแบบนี้เป็นรางร้าย…. ขออย่าให้มีเลยเถอะ
“ช่างเป็นบุญของพวกเรายิ่งนัก”
พวกขาพูดเสร็จก็โค้งทำความเคารพผม ผมตอบกลับไปเพียงแค่ยกมือขึ้นมาแล้วให้พวกเขาทำตัวตามสบาย
“ว่าแต่วันนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ….หือ นั่นสัญญาณไฟนี่”
ไม่ทันขาดคำ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้านได้มีสัญญาณไฟถูกจุดขึ้นมา ก่อนที่ไฟนั่นจะถูกโบกสะบัดรัว ๆ อันเป็นการบ่งบอกถึงสิ่งแปลกปลอมได้เข้ามาในอาณาเขตหมู่บ้าน
“ดูเหมือนจะมีอะไรแปลก ๆ ทางนั้นนะครับ”
“อืม รีบไปดูดีกว่า”
เมื่อพวกเรามาถึง พวกชาวบ้านที่เป็นคนส่งสัญญาณก็รีบชี้ตำแหน่งสิ่งแปลกปลอมที่พวกเขาเห็นให้ โดยสิ่งที่พวกเราเห็นนั้นมันเป็นเงาเดา ๆ กำลังวิ่งไปมา แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นคืนเดือนมืด ไร้ซึ่งแสงจันทร์ใด ๆ ทำให้ยากต่อการมองเห็น
“ดูเหมือนจะมีอะไรวิ่งมาทางนี้นะ แต่คืนนี้ไร้แสงจันทร์ เช่นนั้นก็…..”
เรื่องแสงนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเทพผู้ส่องสว่างอย่างผม ด้วยพลังที่ไม่ได้ใช้มานาน ผมได้ใช้สกิลที่ถูกผนึกเอาไว้ออกมา
ร่างกายของผมเริ่มส่องสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแสงจากตัวผมได้สาดส่องไปทั่วทิศทาง สลายความมืดที่ปกคลุมบริเวณนี้ไว้จนหมด
เมื่อเงาที่ปกคลุมหายไป ภาพที่มองได้ยากก็ปรากฏ ตรงที่พวกผมกำลังจ้องอยู่นั้นเองได้ปรากฏเป็นร่างกายของสัตว์ลักษณะคล้ายเสือกำลังวิ่งทะยานไปมา
จะบอกว่าเป็นเสือเลยก็ยากที่จะว่า เพราะลำตัวของพวกมันทั้งใหญ่กว่าที่ผมเคยเห็นในสวนสัตว์ทั้งยังกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่พอจะตบคนให้หัวหลุดได้ภายในครั้งเดียว ประกอบกับฟันที่งอกยาวออกมาคล้ายกับพวกเสือเขี้ยวดาบ
แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มันต่างจากเสือทั่วไป สิ่งที่เด่นชัดที่สุดของสิ่งมีชีวิตพวกนี้นั้นคือเขาที่หัวของมัน เขาที่ว่านั่นมีลักษณะคล้ายกับคริสตัลที่มีปลายแหลมคม สีของมันเป็นสีเขียวมรกตดูสวยงาม
ด้วยกล้ามเนื้อที่มากกว่าเสือทั่วไป มันได้วิ่งทะยานเขามาประดุจรถติดไนตรัส ซึ่งแน่นอนว่ายากที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะสามารถหนีมันได้พ้น
พวกมันเหมือนจะพยายามหาอาหารที่หายไปของพวกมัน แน่นอนว่าตอนนี้พวกผมได้นำวัวเข้าไปเก็บหลังกำแพงหมดแล้ว
จะปล่อยให้พวกมันวิ่งจนเหนื่อยก็ดูเป็นแผนที่น่าสนใจ แต่ตอนนี้กำแพงของพวกผมยังมีรอยรั่ว ดังนั้นอีกแผนที่มีก็คงไม่พ้นต้องไปลุยเอง
ตัวผมที่มีพลังพรจากพระเจ้าทำให้เป็นอมตะฟันแทงไม่เข้านั้นเหมาะแก่การจะลุยกับพวกมันที่สุด เพราะนอกจากพวกชาวบ้านจะไม่ต้องเสี่ยงบาดเจ็บ ผมยังสามารถทดลองพลังของสัตว์สุดแปลกพวกนี้ได้ด้วย
ไม่รอช้า ผมสั่งให้พวกเขาไปหลบที่หลังกำแพง ก่อนที่จะเดินนำออกไป ทั้งยังเร่งแสงไฟของตัวเองให้เจิดจ้ามากขึ้น
ตอนนี้ในมือของผม ข้างหนึ่งคือคบไฟ ส่วนอีกข้างคือหอกปลายหินแหลมคมที่หยิบยืมมาจากชาวบ้าน ผมค่อย ๆ ก้าวเข้าหาพวกมันทีละเล็กทีละน้อย
จำนวนของพวกมันมีทั้งหมดสามตัวด้วยกัน ดูเหมือนน่าจะเป็นตัวหลงฝูงไม่ก็หนีมา เพราะตามตัวของพวกมันดูมีบาดแผลอยู่บ้าง
ผมชูคบไฟเข้าใส่เป็นการขู่ตามหลักการของสัตว์ป่าย่อมกลัวไฟจากบทเรียนลูกเสือสมัยมัธยมต้น
…..
กรรรร
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเสือพวกนี้จะไม่เหมือนสัตว์ทั่วไป ทั้ง ๆ ที่ปกติสัตว์มักจะกลัวไฟแต่เจ้าพวกนี้นอกจากจะไม่สนไฟจากคบไฟในมือของผมหรือแสงจากร่างของผม มันยังพุ่งวิ่งตรงเข้ามาแบบไร้ความกลัวใด ๆ อีกด้วย
เอาไง เอากัน!!!
“เข้ามาเลย เจ้าเสือหน้าโง่”
ผมชูหอกหินในมือขึ้นขู่พวกมัน นี่หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าร่างกายของตัวเองเป็นอมตะอยู่ผมคงไม่กล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ แต่ถึงรู้อย่างงั้นผมเองก็ยังรู้สึกได้ถึงมืออันสั่นเทาของตัวเองที่กำลังกำหอกนี้อยู่
ใจเย็นอรุณ นายเป็นอมตะ นายไม่ต้องกลัวบาดเจ็บอยู่แล้วล่ะน่า!!!
ผมข่มตาของตัวเองแน่น รวบรวมความกล้าเพื่อเอาชนะความกลัวของตัวเอง จากนั้นมือข้างหนึ่งได้ยื่นไปข้างหน้า
กึก
เขี้ยวของสัตว์ร้ายขบเข้าที่แขนของผม ด้วยพลังอมตะของเทพทำให้เขี้ยวที่ว่าแหลมคมของเสือตัวนี้ก็ยังไม่อาจผ่านหนังของผมไปได้
จังหวะนี่ล่ะ!!!
เจ้าเสือพยายามกัดผ่านหนังของผมให้ได้ นั่นช่างเปล่าประโยชน์และมันได้เปิดช่องสร้างจังหวะให้ผม ไม่รอช้าผมรีบพุ่งหอกหินในมือของตัวเองออกไปข้างหน้าใส่หน้าหัวของมัน
กึก
ติดมาติดกลับไม่โกง… หอกหินของผมไม่สามารถแทงเข้าไปที่หัวของมันได้ มากสุดคมหอกได้สร้างเพียงแค่บาดแผลถลอกเท่านั้นทำเอาผมต้องสบถบทออกมาอย่างอดไม่ได้
“บ้าบอน่า ผิวหนาเกินไปแล้ว!!”
นั่นสินะ จะหวังอะไรกับคนที่ตั้งแต่เกิดมาฝึกใช้อาวุธแค่การรำกระบี่กระบองกันล่ะ
ผมได้แต่คิดแล้วแล้วกัดฟันแน่น พลางพยายามองหาจุดอื่น ๆ ที่เปราะบางของมัน แต่นั่นอาจจะยากเกินไป เพราะทันทีที่มันถูกหอกในมือของผมแทง ดวงตาของมันหรี่ลงอย่างโกรธเกี้ยว ฟันของมันพยายามกัดแน่นยิ่งกว่าเดิม
ร่างใหญ่ของสัตว์ร้ายพยายามสะบัดไปมาเพื่อทำให้ตัวของผมเสียศูนย์ ร่างกายของผมที่แม้จะเป็นอมตะแต่เรี่ยวแรงยังคงเป็นของเด็กมัธยมปลาย ทำให้ผมเริ่มจะทรงตัวไม่ค่อยอยู่
วูบบบ
ในจังหวะนั้นเองที่ดวงตาของผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง นั่นคือคริสตัลสีเขียวบนหัวของมันเริ่มส่องแสงเรือง ๆ ออกมา พร้อมกันผมก็เริ่มสัมผัสได้ถึงสายลมที่เริ่มคลื่นไหวผ่านร่างกาย
สายลมเหล่านั้นเริ่มกำลังรวบรวมกันไปที่คริสตัลสีเขียว มันร่วมกันก่อนจะเริ่มหมุนบิดไปมาเป็นเกลียว ความเร็วของสายลมเริ่มหมุนเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่สุดท้ายสายลมนั่นจะถูกปลดปล่อยอัดเข้าใส่ร่างของผม
ตูม
สายลมรุนแรงพุ่งอัดกระแทกเข้าใส่ร่างของผม ด้วยแรงของมันแม้จะทำให้เกิดบาดแผลใด ๆ กับร่างกายของผมไม่ได้ แต่ด้วยร่างที่เริ่มจะทรงตัวไม่อยู่ ยิ่งถูกสายลมอันเกรี้ยวกราดอัดเข้าไปมันทำเอาตัวของผมกระเด็นไปติดกำแพง
นี่มัน… เวทย์มนตร์อย่างงั้นเหรอ?
เวทย์มนตร์? นี่สัตว์เวทย์งั้นเหรอ แล้วมั้นใช้อย่างไรกันล่ะ? แล้วผมจะรับมือกับมันอย่างไร?
ผมพยายามตั้งสติของตัวเอง และรวบรวมความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้สึกและความคิดอันสับสนได้เกิดขึ้นในหัวของผมเต็มไปหมด
เมื่อทบทวนเหตุการณ์ชั่ววินาทีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ทำให้ผมนึกออก สิ่งที่เป็นสื่อกลางในการร่ายเวทย์ของมัน ไม่น่าจะมีอย่างอื่นนอกจากคริสตัลบนหัวที่ตอนนี้ยังคงส่องแสงเรือง ๆ ออกมา
“ใช้นั่นเป็นสื่อเวทย์สินะ”
ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากพื้น ก่อนที่มองหาหอกซึ่งหลุดมือออกไปหลังการปะทะเมื่อครู่เพื่อเตรียมการปะทะอีกครั้ง
ตอนนี้ในหัวของผม มันไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ถึงแม้จะต้องพบกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ หรือพลังอันแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนตั้งแต่เกิดมา
เพราะตอนนี้ในหัวของผม มันเต็มไปด้วย….ความโลภ
ใช่ นี่มันการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ หากผมได้มันมาล่ะก็ ผมจะได้เรียนรู้เวทย์มนต์ที่ชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และนั่นจะกลายเป็นจุดก่อกัดอันยิ่งใหญ่และก้าวแรกอันสำคัญของวิทยาการเวทย์มนต์ของอารยธรรมแห่งอรุณ!!!!
ดังนั้นเจ้าเสือเอ๋ย… เอาเขาของแกมา!!!!
คิดได้แบบนั้นผมก็มองหาอาวุธที่หายไปของตัวเอง…. หือ หอกของผม?
ผมพยายามกวาดสายตาไปทั่วเพื่อหาอาวุธ และก็พบกับหอกหินที่ตอนนี้กำลังหมุนควงอยู่กลางอากาศพุ่งไปทางจุดที่ชาวบ้านกำลังยืนมุง
ฟุบ
ในจังหวะที่ผมกำลังเอ่ยปากขออาวุธจากพวกเขา ในช่วงจังหวะนั้นเองได้มีร่างเงาหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากกลุ่มคนด้วยความรวดเร็ว เขาทะยานตัวขึ้นฟ้าก่อนหมุนตัวคว้าหอกกลางอากาศประดุจพวกฮีโร่ในทีวี
“ขอองค์เทพอย่างกังวล ข้าอุสบา ผู้เป็นดั่งศาสตราของเทพแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่ จะช่วยท่านสังหารเดรัจฉานพวกนี้เอง”
สิ้นคำของเขา อุสบาได้ควงหอกในมือของตัวเองไปมาอย่างเชี่ยวชาญประดุจพระเอกหนังกำลังภายในก่อนจะทะยานตัวออกเข้าไปหากลุ่มของสัตว์ร้ายด้วยความเร็วเหนือกว่าคนทั่วไป
รู้สึกตัวอีกที เสือที่ร่ายเวทย์ลมก็พุ่งเข้าใส่ตัวของผม ครั้งนี้มันอยากจะปิดศึกอย่างเต็มทน แสงบนคริสตัลสว่างเจิดจ้าพร้อมกัน สายลมบนหัวของมันก็เริ่มหมุนวนอย่างเกรี้ยวกราด
“คิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกแกแตะต้องท่านเทพงั้นเหรอ!!”
อุสบาทำการย่อตัวเองลงก่อนที่จะส่งถ่ายน้ำหนักและแรงทั่วร่างกายเข้าสู่วงแขน เขาง้างแขนด้วยท่าเตรียมเขวี้ยงหอกออกจนสุดวงแขน ก่อนจะปลดปล่อยพุ่งหอกในมือออกไปสุดแรง
ปลายหอกสีดำทมิฬพุ่งผ่านหัวของผมไปอย่างฉิวเฉียด มันพุ่งแหวกอากาศเข้าหาเสือร้ายที่กำลังอ้าปากกว้าง ความแรงมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อมันสัมผัสเข้ากับปากของศัตรู
คมหอกสีดำพุ่งทะลุผ่านจุดเปราะบางของสัตว์ร้ายแห่งสายลม จากผนังปากผ่านไปยังศีรษะ เรียกเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณพร้อมกับร่างของเสือที่นอนแน่นิ่งกับพื้น
“ขอองค์เทพอย่างกังวล ข้าอุสบาจะสังหารพวกมันทั้งหมดเองครับ ดังนั้นท่านเทพได้โปรดปล่อยให้ข้าอุสบาได้ทำหน้าที่ดั่งชื่อที่ท่านได้มอบด้วยครับ”
อุสบาหันมามองผมที่นั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นด้วยประโยคสุดเท่ก่อนที่จะเดินไปดึงหอกออกจากหัวของเจ้าเสือแล้วควงไปมาเพื่อสะบัดเลือดที่เปรอะเปื้อนออกมา จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปปะทะกับเสืออีกสองตัวที่เหลือ
นี่มันจะเท่เกินไปแล้ว!!!
อุสบา คนที่ทำหน้าที่เป็นตัวประกอบตบมุกคนนั้นหายไปไหน แล้วนักรบสุดอหังกาตรงหน้าของผมคนนี้คือใคร
ไม่สิ ถ้าเจ้าอุสบามันมาเล่นบทพระเอกบู้กระจายแบบนี้ แล้วตัวผมล่ะ…. กลายเป็นตัวประกอบอย่างงั้นเหรอ!!!
อุสบาเมื่อวิ่งเข้าใกล้เสือที่เหลืออีกสองตัว เขาได้แสดงความสามารถที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา ปฏิกิริยาเหนือล้ำเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะทำได้นั้นได้ถูกใช้ ร่างของเขาสามารถหลบการโจมตีของพวกเสืออย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะคุ้มเขี้ยว กงเล็บ หรือสายลม มันไม่สามารถที่จะสัมผัสตัวของอุสบาที่ตอนนี้คลื่นไหวพริ้วไปมาดุจสายน้ำได้
เมื่อพวกมันใช้กงเล็บตะวัด เขาก็เอี้ยวตัวหลบก่อนหมุนหอกเพื่อแทงพวกมัน หากพวกมันใช้เขี้ยว เขาก็ถอยตัวแล้วใช้ทั้งขาเตะหรืออาวุธแทง แม้แต่สายลมที่เป็นอาวุธอันร้ายแรงของพวกมัน เขาก็หาจุดบอดที่ลมไปไม่ถึงแล้วสวนพวกมันด้วยการกระหน่ำแทงหอก
ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่มีจังหวะอันสูญเปล่า พวกเสือพวกนั้นไม่สามารถที่จะเป็นคู่มือของอุสบาได้เลย
“ช้าไปนะ สัตว์ชั้นต่ำ”
อุสบาพูดขึ้นพลางมองร่างของเจ้าเสือทั้งสองที่นอนหมดสภาพตรงพื้น แน่นอนว่าแววตาของพวกมันมองนักรบของผมด้วยเพลิงแห่งความแค้นอย่างเปี่ยมล้น
เสือตัวหนึ่งรวบรวมพลังที่น่าจะเหลืออยู่น้อยนิด ถีบส่งตัวเองออกมาอย่างแรงหวังจะใช้เคี้ยวของมันขย้ำคอของอุสบา
“ก็บอกว่าช้าไป”
เสียงอันเย็นเยียบแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนของอุสบาทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ เขาย่อขาของตัวเองลงจากนั้นหอกในมือก็ถูกปลดปล่อยพุ่งเข้าใส่เจ้าเสือที่กำลังอ้าปากอย่างเต็มแรง
ด้วยแรงอันมหาศาลและความคมของหิน ช่องปากอันไร้สิ่งใดปกคลุมย่อมไม่สามารถต้านทานได้อยู่ ดังนั้นหอกสีดำจึงทะลวงผ่านหัวเข้าทำลายซึ่งสมองของเจ้าเสือเขี้ยวดาวแห่งสายลมได้อย่างง่ายดาย
พลั๊ก
ดูเหมือนเจ้าหอกจะทนแรงของยอดนักรบไม่ไหว ด้ามไม้ของมันได้ปริแตกเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหักคามือของอุสบา
“พวกเจ้า ส่งอาวุธไปให้อุสบาเร็ว”
ผมที่เห็นว่าอุสบาไร้ซึ่งอาวุธ รวมไปถึงเสืออีกตัวที่ล้มลงกำลังจะลุกขึ้นมาจู่โจม จึงรีบสั่งให้ชาวบ้านที่กำลังยืนตะลึงงันหาอาวุธใหม่ให้เขา
แต่ดูเหมือนมันจะช้าไป เจ้าเสือนั่นมันเร็วกว่าที่ชาวบ้านคนอื่น ๆ จะตั้งสติได้ มันพุ่งเข้าหาอุสบาแบบไม่คิดชีวิต
“คิดหรือว่าของแค่นี้จะหยุดอุสบาผู้เป็นอาวุธของเทพแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่ได้น่ะ!!!”
อุสบาคว้าเขี้ยวทั้งสองของเสือตรงหน้า เขาอาศัยแรงของมันที่พุ่งมาประกอบกับกล้ามเนื้อของตัวเอง เหวี่ยงทุ่มเจ้าเสือลงกับพื้นโดยใช้ร่างของตนเป็นจุดหมุนจนเกิดเสียงดั่งสนั่น
ไม่รอช้า อุสบาได้ทำการกระชากเขี้ยวทั้งสองของเจ้าเสือนั่นออกมา เมื่อเขี้ยวถูกถอนออกไปมันก็ร้องโหยหวนออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมกับเลือดที่พุ่งทะลุอาบฉะโลมไปทั่วร่างของอุสบา
“จบแล้วล่ะนะ”
อุสบาใช้เขี้ยวในมือของเขา พุ่งปักแทงลงที่กลางหัวใจของเจ้าเสือที่นอนร้องโอดครวญ ทันใดนั้นร่างกายของมันก็เริ่มสั่นกระตุกไม่หยุดก่อนที่จะเริ่มแน่นิ่งไปในที่สุด
การต่อสู้ทั้งหมดตั้งแต่อุสบาเข้ามา หากให้นับเวลาแล้วมันแทบยังไม่ถึงห้านาที อุสบามนุษย์ธรรมดาที่ไร้ซึ่งพรใด ๆ แบบผมกลับสามารถจัดการกับเสือแห่งสายลมได้อย่างหมดจด โดยร่างของเขานั้นไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างได้จบลงไป อุสบาที่บัดนี้ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดของเสือที่เขาจัดการไป ได้ชูมือของตัวเองขึ้นฟ้า
“นี่ล่ะ โทษของพวกแกที่บังอาจเอาร่างกายชั้นต่ำนั่นมาจับต้ององค์เทพ…. โทษนั่นคือการถูกสังหารด้วยอาวุธแห่งองค์เทพ อุสบาผู้นี้!!!”
สิ้นเสียงของเขา ผู้คนในหมู่บ้านต่างร้องเฮลั่นพร้อมกับวิ่งกรูกันเข้าไปหาอุสบากันอย่างล้นหลาม ทุกคนต่างออกปากชื่นชมและสรรเสริญอุสบาไม่หยุด
อุสบาทำเพียงแค่ส่ายหน้า
“แค่นี้น่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก”
จบแล้ว… ตอนนี้อุสบได้ทำการแย่งบทหลักของผมจนไปหมดสิ้น ตามบทที่ผมวางไว้ ฉากเมื่อครู่ ผมควรจะปลดปล่อยแสงสว่างแล้วสังหารพวกเสืออย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าอุสบาปลดพลังออกมาสังหารศัตรูจนหมดสิ้น แถมเคลมชื่ออาวุธแห่งเทพไปอีก…
ถ้าปล่อยแบบนี้ไป รับรอบว่าบทผมจะกลายเป็นตัวประกอบอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผมจะไม่ยอมให้มันจบแบบนี้ ดังนั้นผมจะต้องอัพระดับตัวเองออกจากตัวประกอบ
คิดได้แบบนั้นผมก็เดินออกมาข้างอุสบา ปั้นหน้าของตัวเองให้ดูเลื่อมใสก่อนที่จะทำให้ตัวเองมีแสงเรืองรอง
“พลังเจ้าตื่นขึ้นแล้วสินะ…อุสบา ไม่เสียแรงที่ข้าไว้ใจในตัวเจ้า”
“ครับ ว่าแต่เมื่อครู่ที่ข้าเห็นว่าท่านเทพถูกสายลมของพวกมันอัดกระเด็น…อย่าบอกนะครับว่า….”
“ใช่ เพราะข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมา และสัมผัสได้ถึงพลังที่หลับใหลอยู่กำลังตื่นขึ้น ทว่าการที่มันจะตื่นขึ้นอย่างแท้จริงนั้น มันจำเป็นจที่จะต้องมีบางอย่างกระตุ้น เช่นนั้นข้าจึงได้สร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอย่างไรล่ะ”
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง ไม่น่าล่ะ ข้าจึงรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล เช่นนั้นข้าขอขอบคุณในความเมตตาของท่านเทพอันสูงส่งจริง ๆ ครับ”
อุสบาก้มลงขอบคุณผมด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความตื้นตันใจ ส่วนผมก็ยิ้มรับ และกางแขนออกประดุจคนกำลังให้พร
และแล้ว ผมก็สามารถรักษาภาพลักษณ์ของเทพแห่งแสงผู้เก่งกาจต่อไป ดูเหมือนว่าระดับของพลังดริฟสายฟ้าผมจะเพิ่มไปได้อีกระดับหนึ่ง
———————————————-
“ฮะๆ เจ้าหมอนี่เนี่ยนะ จะดูกี่ครั้งก็ขำไม่หาย นี่อุตส่าห์มีโอกาสโชว์เท่แต่กลับโดนลูกน้องแย่งซีนไปซะงั้นเนี่ยนะ ฮ่า ๆ ไม่ไหว มันจะฮาเกินไปแล้วนะ”
พระเจ้าที่นั่งชมการต่อสู้ของอรุณอยู่ตลอดเวลากำลังหัวเราะออกมาดังลั่น แน่นอนว่าตอนแรกเขาคิดว่าจะเห็นการต่อสู้แบบที่คนทั่วไปจะทำกัน ทว่าสิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายอย่างการถูกลูกน้องแย่งซีนไปเสียหมด
“แต่อย่าเสียใจไปเลย รู้ไหมว่าคนที่แย่งซีนนายไปน่ะ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป….”
พระเจ้ามองไปที่อุสบาซึ่งกำลังชูมืออย่างองอาจ พร้อมกันก็ขยับมือไปมาเรียกหน้าจอแบบเดียวกับตอนฟายเดอร์ขึ้นมา ข้อมูลมหาศาลเริ่มไหลผ่านออกมาก่อนจะควบรวมกันเรื่อย ๆ ในหน้าต่างตรงหน้าเขา
“บางทีนายก็ดวงดีเกินไปนะ ถ้าไม่มีสถานการณ์นี้ชั้นคงไม่รู้ว่าในมือของนายน่ะ…”
“จะมี Great Warrior มาแบบนี้”
NAME : USBA
CHARACTER TYPE: GREAT WARRIOR
คำอธิบาย เป็นบุคคลที่นับว่ามีทักษะการสู้รบเหนือชั้นกว่าคนในเผ่าของตัวเองเป็นอย่างมาก ถ้าเทียบในระดับที่ถืออาวุธเดียวกันแล้วนั้น คนประเภทนี้สามารถลุยกับคนของเผ่าตัวเองในรูปแบบหนึ่งต่อร้อยได้อย่างสบายๆ ถ้าหากจะกำจัดได้มีเพียงแค่ชั้น Legendary เท่านั้นที่จะเหนือกว่า หรือไม่ก็ต้องนำคนนับพันมารุมเลยทีเดียว