Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ - บทที่ 3 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าเทพแล้วจะก่อไฟหรือตั้งชื่อคนนะสบายๆ
- Home
- Legend Of The God Of Light: มหากาพย์เทพแสงครองพิภพ
- บทที่ 3 ยุคหิน ขึ้นชื่อว่าเทพแล้วจะก่อไฟหรือตั้งชื่อคนนะสบายๆ
หลังผ่านความวุ่นวายหลาย ๆ อย่างของการเริ่มต้นลงมาบนโลกใลนี้ ในที่สุด ตัวผม อรุณ ก้ได้กลายมาเป็นเทพแห่งแสงผู้ปกครองเหนือเผ่ามนุษย์ได้ในที่สุด ทุกคนในเผ่าล้วนต่างก้มสักการะผมกันด้วยความเคารพยำเกรงอย่างสูงสุด….
ซึ่งไอ้ที่ว่ามามันก็ฟังดูเยี่ยมแต่ให้บอกตามตรง…. มันทำเอาผมรู้สึกเขิน ๆ อยู่เหมือนกันนนะ
“โอ้ ไฟที่เกิดขึ้นนับเป็นปัญญาอันสูงสุดจริง ๆ”
“เปลวเพลิงที่ท่านมอบให้ช่างดูยิ่งใหญ่ เหมือนจิตใจที่ยิ่งใหญ่ของท่าน….องค์เทพแห่งแสง”
คือ… มีใครมาชมผมทั้ง ๆ ที่ความจริงผมแค่จุดไฟแก้หนาวกับอยากทำตัวหล่อโชว์สาวแบบนี้…. คิดแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ จริง ๆ
ไม่นึกจริง ๆ ว่าความรู้ลูกเสือจะทำให้ผมกลายเป็นเทพแห่งแสงสว่างผู้ประทานเพลิงแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างไปซะแบบนั้น…. สุดยอดจริง ๆ
“องค์เทพแห่งแสงครับ คือว่า…”
ขณะที่ผมกำลังยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับตำแหน่งใหม่ของตัวเอง ก็มีเสียงหนึ่งร้องทักขึ้นมา เรียกสายตาให้ผมหันตามไปจนพบกับมนุษย์ถ้ำคนหนึ่ง
ลักษณะของเขานั้นต้องบอกว่าเป็นมนุษย์ถ้ำแบบพื้นฐานตามหนังสือเลย ไม่ว่าจะเป็นขนที่ขึ้นรุนรังหรือกล้ามหนาเต็มตัว
“เจ้า…เอ่อ…”
มันก็มีอีกปัญหาหนึ่ง… ที่ถึงแม้ตัวผมที่จะได้พลังในการแปลภาษาของพวกเขามาแล้วก็ยังปวดหัววิตกไม่หายนั่นคือ…..
“ข้ามีนามว่า อูกะอูอูอุมบะ ขอรับ”
ชื่อ!!! ใช่แล้ว ชื่อของพวกเขานั้นจัดอยู่ในความยากที่สุดของภาษาทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นการจำหรือการเรียก
เอาซะตอนได้ยินพวกเขามาแนะนำตัวเองเรื่อย ๆ ผมแทบหน้าคว่ำ ด้วยชื่อที่เกินกว่าจินตนาการของคนเราจะคิดไปถึง
แต่ก็ได้แต่ทำใจยอมรับเพราะพวกเขามันคนยุคหิน ความสามารถเรื่องภาษาหรือการออกเสียงหลาย ๆ อย่างนั้นคงเป็นอะไรที่ยังขาดอยู่
“โอ้ ชื่อฟังดูดีนี่นา มันแปลว่าอะไรงั้นเหรอ”
ถึงจะฟังไม่ออก แต่อย่างน้อยตัวผมก็เป็นเทพ ดังนั้นคงต้องพูดอะไรให้มันถนอมน้ำใจพวกเขาซะหน่อย
“เอ๋ ท่านเทพไม่รู้เช่นนั้นเหรอครับ?”
ดูมัน มีมาถามย้อนด้วย นี่ถ้าผมรู้ผมจะถามนายไหม….. ให้ตายเถอะ… ไม่สิอรุณ ใจเย็นก่อน ตอนนี้พวกเขายังใสซื่อดุจผ้าขาว นายจำเป็นต้องสอนพวกเขานะ จำไว้ ๆ เพื่ออาณาจักรที่รุ่งเรืองในอนาคต
“แน่นอนว่าข้าต้องรู้”
ที่จริงก็ไม่รู้อะไรหรอก แต่ขืนตอบแบบนั้นไปเสียหน้าของเทพแห่งแสงผู้มากล้นด้วยปัญญาหมด เพราะงั้นผมยังคงตีหน้านิ่งและทำเสียงนิ่ง ๆ ให้ดูมีความสุขุมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แต่การที่ให้เจ้าเป็นผู้บอกถึงความหมายแห่งนามของตนนั้นมันเป็นการให้เกียรติ… เจ้าไม่คิดเช่นนั้นเหรอ”
“เกียรติ?”
เขาทวนคำผมพร้อมทำหน้าสงสัย ผมได้แต่ตบหน้าผากตัวเองด้วยความหน่ายจิต…
นี่เราลืมไปได้อย่างไร พวกนี้มันเป็นมนุษย์ยุคหิน พวกคำซับซ้อนอย่าง เกียรติ เนี่ย จะไปเข้าใจได้อย่างไร…..
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังพยายามเก็บอาการของตัวเองให้มากที่สุดก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสไหล่ของเขาแล้วทำเสียงนิ่งเฉกเช่นเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เป็นสิ่งที่เหล่าคนเบื้องบนทำกัน…มันยังคงยากเกินกว่าที่พวกเจ้าจะเข้าใจยามนี้สินะ แต่อย่าห่วงเลย สักวันเจ้าจะเข้าใจมันเองทว่าก่อนหน้านั้น ไหนลองบอกมาสิ…ว่าชื่อเจ้านั้นหมายความว่าอันใด”
เอาเถอะ สำหรับเรื่องภาษานั้นคงต้องใช้เวลานาน ตอนนี้มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการเรียกชื่อก่อนน่าจะดีกว่า เพราะขืนให้ผมมาเรียกคนที่ในชื่อมีแต่คำว่า อุมบะ อุงกะ ๆ แบบนี้ ผมคงปวดหัวตายก่อนพอดี
“เอ่อ หมายถึงเจ้านี่แล้วก็นี่ครับ”
อูกะอูอู… อะไรสักอย่างได้ชี้มือของเขาไปที่ไม้และกระบองหิน ทำเอาผมเหวอไปอีกรอบ…. คนอะไรชื่อไม้กระบองหิน…. จะเป็นลม
“เป็นความหมายที่ดี อาวุธที่ใช้ปกป้องสินะ เช่นนั้นชื่อที่เหมาะสมกับเจ้าคงจะเป็น….”
เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเอาเป็นชื่ออะไรดี ผมจึงทำการตัดคำนิด ตัดสละหน่อย ควบคำบ้างจนในที่สุดชื่อของเขาก็ออกมาได้เป็น…
“อุสบา”
“อุสบา…อุสบา เช่นนั้นเหรอครับ”
อุสบาพยายามทวนชื่อใหม่ของเขาไปมา จากน้ำเสียงที่เขาส่งออกมาดูเหมือนจะพอใจกับชื่อใหม่ที่ได้รับ ซึ่งก็ถือเป็นอะไรที่ดีอยู่เหมือนกัน
“ว่าแต่ อุสบา นั้นมันมีความหมายว่าอย่างไรครับ”
งานงอกแล้วไง…..
จู่ ๆ เจ้าอุสบาก็ถามความหมายชื่อของตัวเองขึ้นมา แน่นอนว่าคำตอบที่สมควรได้รับจากผมไปนั้นคือ….. ไม่รู้!
มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ชื่อที่เกิดจากการตัดคำไปมาแบบนั้น มันจะไปมีความหมายได้อย่างไรกัน
แต่แน่นอนว่าขืนพูดไปแบบนั้น ขายหน้าไม่พอ เจ้าอุสบาได้ร้องไห้น้ำตาแตกอย่างแน่นอน…. เพราะงั้นแล้ว อรุณเอ๋ย คิดสิ คิด ๆ คิดให้ออกสิ… อาวุธ…. นักรบ… เอาแบบนี้แล้วกัน
“มันคืออาวุธอันยิ่งใหญ่ของเทพ อาวุธที่ใช้ปกปักษ์พื้นที่เบื้องบนนั่น”
ผมพูดพร้อมชูนิ้วขึ้นไปบนฟ้า เรียกสายของอุสบาให้หันตามขึ้นไปด้านบนพร้อมทำสายตาตื่นเต้น แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นผมแต่งสด.. แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังใกล้เคียงกับความหมายเก่าอยู่ล่ะ… มั้งนะ
“อาวุธของเหล่าเทพงั้นเหรอครับท่านเทพ ช่างเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก…ทว่า”
ดวงตาของเขาเริ่มมีความไม่มั่นใจในตนเองเข้ามาปะปนกับดวงตาของความปลาบปลื้มยินดี
“ทว่าข้าจะเหมาะสมกับชื่อที่สูงส่งเช่นนั้นเหรอ?”
ดูเหมือนเขาจะขาดความมั่นใจในตัวเองน่าดู ถ้างั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของเทพแห่งแสงสว่างที่จะจุดประกายแสงแห่งความหวังของนายแล้วล่ะ
ถ้าจำไม่ผิด เวลาพวกตัวเอกในการ์ตูนโชเน็นทั้งหลายเวลาขาดความมั่นใจ พวกตัวละครลับหรือตัวละครแบบอาจารย์จะต้องทำประมาณนี้ล่ะมั้ง
ไม่รอช้า เมื่อความคิดมันวิ่งเข้ามาในหัว ผมได้ทำการยื่นมือของตัวเองไปหาชายหนุ่มยุคหินผู้ใสซื่อก่อนจะจัดการปั้นหน้าของตัวเองให้ดูเป็นดั่งเทพที่มีเมตตาและความปราถนาดีสูงสุดด้วยรอยยิ้มอันแสน…อบอุ่น
“ถ้าหากคิดว่าเจ้าไม่คู่ควรเช่นนั้นเจ้าก็จงทำให้มันเหมาะสมด้วยตนเองซะสิ… ด้วยความพยายามนั่นของเจ้านะ”
แค่คำพูดอาจจะยังไม่พอ ผมได้จัดการแอบใช้พลังแสงของตัวเองให้ร่างของผมมันเรืองรองออกมาราวกับนี่คือช่วงปฏิหาริย์ในชีวิตของเขา…. เยี่ยมไปเลยอรุณเอ๋ย
“นั่นสินะ… ข้าต้องพยายาม ต้องพยายามไม่ให้ท่านเทพผิดหวัง”
ดูเหมือนมันจะได้ผลจริง ๆ เจ้าอุสบาแหกปากร้องตะโกนออกมาดังลั่นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยไฟอันร้อนแรง พร้อมกับดวงตาที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ …. นี่มันได้ผลดีเกินไปหน่อยไหมเนี่ย
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เจ้าอุสบาได้วิ่งไปทั่วถ้ำพร้อมตะโกนบอกชื่อของตัวเองราวกับเด็กอวดของเล่น พอมีใครถามว่าไปได้มาจากไหน มันก็ชี้มาที่ผม แน่นอนว่า…. งานเข้า
“ท่านเทพคะ…”
เสียงใด ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม ซึ่งก็ไม่ใช่ใครนอกจากเด็กสาวน้อยผมทองน่ารักคนเดิม ไม่ว่าฟังเสียงของเธอกี่ครั้งมันก็รู้สึกทำให้หัวใจโดนเยียวยาจากความเครียดหลาย ๆ อย่างได้จริง ๆ นี่หากเธออยู่ที่โลกปัจจุบัน หากไม่เป็นนักร้องชื่อดังก็เป็นนักพากย์มืออาชีพไปแล้ว
“ข้าขอถามถึงเอ่อ…. แสงสีส้ม ๆ ที่ท่านเรียกมาได้เหรอไม่คะ”
“อ๋อ หมายถึงไฟอย่างงั้นเหรอ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของ “ไฟ” เด็กสาวตรงหน้าก็ทำหน้าตาตื่นตาตื่นใจออกมา พร้อมร้องเสียงแสดงถึงความตื่นเต้นอย่างเก็บความอยากรู้อยากเห็นไม่อยู่
“ใช่… ว่าแต่ถามมาเช่นนี้ เจ้าอยากให้ข้าสร้างมันขึ้นมาอย่างงั้นเหรอ”
ว่าเสร็จผมก็นึกถึงกองไฟที่ผมสร้างขึ้นมา โดยหลังจากที่ผมก่อกองไฟโชว์สาวน้อยไป เหล่าคนภายในถ้ำต่างเข้ามารับความอบอุ่นของมันทว่ากองไฟเพียงสามกองคงไม่เพียงพอต่อคนนับร้อย
แถมยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ เชื้อเพลิงที่เอามาใช้ก็ถูกเผาไหม้มากขึ้นเรื่อย ๆ กองไฟก็ยิ่งมอดไปเรื่อย ๆ …. สงสัยจะต้องไปตามหาเชื้อเพลิงมาเพิ่มแล้วสิเรา
“มะ… ไม่หรอกค่ะ แค่เพียงท่านมอบ “ไฟ” มาให้กับพวกเราก็มากเกินกว่าที่พวกเราจะร้องขอไปมากกว่านี้แต่ว่า….เอ่อ…”
สีหน้ากังวลของเธอเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แสดงถึงความกลัวที่กำลังต่อสู้กับความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวตรงหน้าผมได้อย่างดี
“พวกเราพอที่จะสร้างไฟได้แบบที่ท่านสร้างได้หรือไม่คะ?”
“เรื่องนั้นนี่เอง”
ราวกับรวบรวมพลังใจทั้งหมดก่อนที่จะกล่าวออกมา หลังถามคำถามนี้ต่อผม เธอก็รีบกุมหน้าอกของตัวเองราวกับอยากข่มจิตใจของตัวเอง ผมที่เห็นก็ได้แต่ยิ้ม ๆ กับความน่ารักของเด็กคนนี้
อืม… สอนก่อไฟสินะ เอาจริง ๆ มันก็ได้อยู่หรอก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอำนาจที่เทพมอบให้ทั้งที่ จะบอกให้ไปเลยง่าย ๆ ก็คงดูไม่อลังเท่าไหร่…. ขอเล่นตัวสักหน่อยจะดีกว่า
“การจะมอบการจุดเปลวเพลิงให้มนุษย์สินะ….อืม”
ผมเริ่มปั้นหน้าทำเป็นคิดหนัก คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่น พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาราวกับคนที่กำลังลำบากใจ
“เอ่อ…. ไม่ได้เช่นนั้นเหรอคะ? นะ…นั่นสินะคะ ก็เป็นพลังของเหล่าเทพนี่นา มนุษยือย่างพวกเราคง…”
เมื่อเจอผมปั้นสีหน้าลำบากไป สีหน้าของเธอก็ดูกังวลและหม่นหมองมากขึ้น ในใจคงคิดไปแล้วล่ะมั้งว่าพวกเธอคงไม่สามารถที่จะสามารถจุดไฟได้
ถึงจะไม่ดีก็เถอะแต่ใบหน้าของเด็กคนนี้ตอนกังวลนี่ช่าง…. น่ารักจังเลยนะ ให้ตายสิ คนอะไร ไม่ว่าจะสีหน้าแบบไหนก็น่ารัก น่ารักจนอยากดึงแก้มนิ่ม ๆ นั่นเล่นจัง
“ไม่หรอก….อำนาจแห่งการจุดไฟนั้นน่ะ….”
ผมเริ่มปั้นน้ำเสียงของตัวเองให้ดูยิ่งใหญ่มากขึ้นให้สมกับผู้ที่เป็นเทพมาจากเบื้องบน
“พวกเจ้าสามารถทำได้”
“เช่นนั้นเหรอคะ!!!”
เด็กสาวร้องออกมาอย่างดีใจพร้อมกับตบมืออย่างเก็บอาการไม่อยู่ และตอนนั้นเองที่ใบหน้าที่งดงามนั้นได้ฉายออกมาซึ่งรอยยิ้มที่ราวกับรุ่งอรุณยามเช้าจนอดไม่ได้ที่จะเผลอจ้องมองเสียซะลืมตัว
“อะ….เอ่อ ชะ…ใช่ ดังนั้นข้าจะสอนสิ่งนี้ให้กับพวกเจ้าเอง”
ผมพูดแบบตะกุกตะกักพร้อม ๆ กับข่มใจของตัวเองที่เต้นถี่รัว ๆ พลันมือก็เผลอขยับมั่วไปมั่วมา ยิ่งพอมาเจอเด็กคนนี้จ้องมาแบบสนใจเกินร้อย ใบหน้าที่น่ารักนั่นก็ทำเอาเด็กหนุ่มผู้โสดสนิทอย่างผมสติแตกจับของมากองมั่วนั่นมั่วนี่เต็มไปหมด
กว่าจะรวบรวมสติมาได้ก็พบว่าตรงหน้าของตัวเองมีกองไฟที่สร้างมาด้วยรูปร่างแปลก ๆ วางกันมั่วจนไม่รู้ว่าจะเรียกทรงอะไร
“ยากจัง… สมแล้วที่เป็นวิธีการของเหล่าเทพ”
ได้ยินแบบนี้ก็ทำเอาผมเขินซะอยากหาปี๊ปมาคลุมหัวของตัวเอง มาทำอะไรเปิ่น ๆ บ้าบอ ๆ หน้าสาวสวยแบบนี้ น่าเศร้าไปแล้วตัวผม!!!
“มะ…มันไม่ยากนักหรอก ข้าจะสอนตั้งแต่พื้นฐานให้เอง”
เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมรีบจัดแจงเรียกสติของตัวเองมาอย่างรวดเร็วก่อนจะพยายามเรียบเรียงเนื้อหาและคำพูดเพื่อจะอธิบายพวกเขาให้สมกับการเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่
“ระ..เริ่มต้นที่ไม้พวกนี้ซึ่งเรียกว่าฟืน ซึ่งเป็นไม้ที่พวกเจ้าเก็บ ๆ มานั่นล่ะ สำคัญสุดเลยคือต้องเอาอันที่แห้ง ๆ มาใช้นะไม่งั้นต่อให้ใช้ทั้งชีวิตไฟคงไม่มีวันติด”
ใช่ ผมพยายามจะอธิบาย แต่ด้วยความเขินอายทำให้ผมเล่นพ่นออกมาซะทุกรายละเอียดซะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แบบที่หากคนยุคปัจจุบันได้ยินคงต้องทักเลยว่า “เอ็งจะพูดทำไม”
“ต่อมาก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เปลวเพลิงจะไม่กำเนิดหากไร้ซึ่งแหล่งพลัง แม้เจ้าจะมีฟืนจำนวนมากแต่ถ้าไร้ซึ่งต้นกำเนิดแห่งความร้อน……ต่อให้พยายามเช่นไรก็ไร้ซึ่งผล”
เพื่อความแนบเนียนผมพยายามเปลี่ยนคำพูดของตัวเองให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดูเป็นปรัชญามากขึ้นเพื่อเสริมคำพูดของผมให้มีบารมีพอที่จะสามารถกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเองในตอนนี้ได้
หินจุดไฟได้ถูกหยิบขึ้นมาแสดงให้พวกเขาดู ผมชูมันท่ามกลางแววตาตื่นเต้นราวกับผมหยิบก้อนทองออกมาแสดงให้พวกเขาดู……สุดยอดไปเลย
“หากเจ้าถูพวกมันไปมาแบบนี้ จะเป็นการทำพิธีเพื่อเรียกพลังซึ่งเรียกว่าประกายเพลิงออกมาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการจุดไฟได้”
หินจุดไฟได้ถูกถูกไปมาจนสะเก็ดไฟได้เกิดขึ้น เมื่อสะเก็ดไฟได้สัมผัสเข้ากับกองฟืน เปลวเพลิงได้ลุกขึ้นมาเรียกเสียงตื่นตะลึงเหล่าชาวบ้านมาอย่างล้นหลาม
“ลองดูไหมล่ะ”
ผมพูดเสร็จพลางยิ้มให้กับเด็กสาวก่อนยื่นหินจุดไฟไปทางเธอ มือบาง ๆ นั้นค่อย ๆ เลื่อนมาอย่างสั่น ๆ บ่งบอกถึงความไม่มั่นใจ
“ฉันจะทำได้อย่างงั้นเหรอคะ?”
“หากไม่ลองดู ก็คงไม่รู้หรอกจริงไหม”
เธอพยักหน้าให้ผมแบบกล้า ๆ กลัว ๆ มือบางค่อย ๆ เลื่อนมาใกล้หินที่ส่งไอร้อนเรื่อย ๆ
“จะลองดูค่ะ…..โอ้ย”
ทันทีที่มือของเด็กสาวตนนั้นสัมผัสเข้ากับหิน เสียงร้องของความเจ็บปวดก็ดังขึ้นพร้อมกับมือบาง ๆ ก็ถอยออกอย่างรวดเร็ว
“อา….ขะ… ขออภัยด้วยค่ะ มันร้อนมากค่ะ…เอ่อ ต้องขออภัยด้วยค่ะ!!!”
เหมือนหินนี้จะร้อนมากเกินไป ทำให้เธอเผลอชักมือออกเร็วมากจนมือเผลอปัด แต่นั่นยิ่งทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าเก่า ใบหน้านั้นซีดเผือดราวกับเลือดหายไปทั่วหน้าจนผมรู้สึกสงสารขึ้นมา
“ทั้ง ๆ ที่…ทั้ง ๆ ที่ท่านเทพแห่งแสงอุตส่าห์ทำพิธีมอบพลังแห่งการจุดไฟให้กับพวกเราแล้ว แต่ข้ากลับทำมันพัง… ข้าต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
เธอรีบก้มหัวขอโทษผมรัว ๆ พลางมองเจ้าหินที่ร่วงลงไปอย่างลนลาน อย่างไม่รู้ว่าต้องทำอะไร พอเห็นแบบนั้นในใจส่วนหนึ่งผมก็รู้สึกสงสารแต่ในอีกใจหนึ่งผมกลับรู้สึกฉากตรงหน้ามันช่างน่ารักจริง ๆ
“อย่ากังวลไป ยังมีอีกหลายวิธีการในการนำจุดเปลวเพลิงอย่างเช่นเจ้ากิ่งไม้นี่”
ผมคว้ามือเด็กสาวคนนั้นมายิ่งทำเอาเธอมือสั่นตกใจทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิมส่วนตัวผมนั้นยิ้มให้กับเธอและหัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุขก่อนค่อย ๆ จับมือเด็กสาวปั่นแท่งไม้เข้ากับกองฟืนถี่ขึ้น
มือเธอนุ่มมากเลยล่ะ…..
หลังจากพาเธอลองผิดลองถูกอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเปลวไฟเล็ก ๆ ก็ได้ลุกขึ้นมาสร้างเสียงตื่นเต้นให้กับเหล่าผู้เฝ้ามองทุกคน ทว่ายังไม่สู้เท่ากับผู้ที่จุดไฟเองซึ่งคือเด็กคนนี้….
“ฟะ…ไฟติดแล้ว สุดยอดไปเลยค่ะ!!! ท่านเทพคะดูสิ ตัวข้าสามารถใช้อำนาจแห่งไฟที่พระองค์ท่านมอบให้ได้แล้วล่ะค่ะ!!!”
เธอร้องออกมาอย่างยินดีจนไม่ว่าใครในถ้ำก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนจนซะผมสะดุ้งก่อนจะยิ้มให้กับเธอกว้าง ๆ
“อืม เก่งมากเลยตัวเจ้าน่ะ”
…
“ขะ…ขอบคุณมากค่ะ”
เมื่อได้รับคำชมไป เธอก็หน้าแดงแจ๋ขึ้นมา ก่อนจะรีบก้มหน้างุด ๆ หลบสายตาของผมทำเอาให้ผมรู้สึกว่าเธอน่ารักมาขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นผมก็ปลีกตัวออกมาและมองดูเธอที่เริ่มทำการสอนเหล่าชาวบ้านคนอื่นถึงวิธีการจุดไฟ ถึงแม้คำพูดมันจะแปลก ๆ ไปบ้างอย่าง….
“สิ่งสำคัญที่สุดคือนึกถึงความอบอุ่นที่พระองค์ได้มอบให้พวกเราเมื่อยามแสดงเปลวเพลิงแรกค่ะ นึกถึงความอบอุ่นนั่นแล้วเพ่งลงไปที่ไม้อันศักดิ์สิทธิ์นี้ค่ะ”
…..ใช่เหรอ
“ศิลานี่ก็เช่นกันค่ะ มันคือสิ่งที่กักเก็บซึ่งเปลวไฟแห่งความเมตตาขององค์เทพแห่งแสง ที่เราต้องทำนั้นคือปลดปล่อยความเมตตาของท่านแล้วขยายเพลิงนี้ด้วยกองฟืนเหล่านี้”
…..
ห๊ะ? นี่เด็กสาวคนนี้พูดเรื่องอะไรกันเนี่ย นี่ผมกับเธอได้พูดเรื่องเดียวกันจริงอย่างงั้นเหรอ!!
แล้วแบบนี้มันจะไปรอดไหมเนี่ย…..
ผมมองดูไปรอบ ๆ ด้วยความกังวลว่าภูมิปัญญาความรู้ที่ผมสอนไปมันจะพินาศด้วยการสอนแบบแปลก ๆ แต่ก็แทบเบิกตาค้างเมื่อเห็นว่ามันกลับเป็นไปในทางตรงข้าม
ถ้ำที่ก่อนหน้านี้สว่างด้วยไฟจากกองไฟของผมเพียงกองเดียว บัดนี้กลับสว่างไว้ด้วยกองไฟจำนวนมากที่เริ่มถูกจุดขึ้น
“ข้า….ข้าจุดไฟได้!!!”
“แสงสว่าง ข้าสามาถสร้างแสงสว่างได้แบบท่านเทพแห่งแสงแล้ว”
“พลัง…พลังแห่งความเมตตาของท่านเทพได้มาสถิตในมือของข้า….สุดยอด สุดยอดไปเลย!!!”
บ้าไปแล้ว!!! พวกนี้มันเมากันไปหมดแล้ว! กับเรื่องจุดไฟมันจะตื่นเต้นเวอร์วังอลังกาลกันเกินไปไหม!!!
…..
เอาเถอะ คิดมากไปก็ปวดหัว เพราะดูผ่าน ๆ ถึงจะเข้าใจหลักการมั่ว ๆ ซั่ว ๆ แต่ผลลัพธ์ก็ดูออกมาถือว่า….รับได้…มั้ง
“ฮ่า ๆ พวกเจ้าดูสิ ข้าโอบรับพลังแห่งความร้อนของหิน…ของเทพแห่งแสงนี่ได้!”
“แล้วควันที่พุ่งขึ้นมานี่ล่ะ มันคืออะไรกัน?”
“พลังของท่านเทพย่อมหาทางหวนคืนสู่ท่านอยู่แล้วค่ะ นี่ต้องเป็นเศษพลังที่ใช้ก่อกำเนิดเปลวเพลิงของท่านเทพแห่งแสงที่จะกลับไปสู่ท่านแน่ ๆ เลยค่ะ”
หนักสุดคงไม่ใช่ใครอื่น แต่ก็เป็นเด็กสาวผมทองสุดน่ารักคนแรกที่ผมสอนนี่ล่ะ ไม่รู้ทำไม เล่นแปลงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดให้มันพีคกว่าเดิมไม่รู้กี่สิบเท่า
ยิ่งอยู่ไปยิ่งได้ยินอะไรแปลก ๆ แล้วก็ยิ่งปวดกะบาล งานนี้ผมคงต้องเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกให้หัวมันโล่ง ๆ สักหน่อยน่าจะดีกับชีวิต
เนื่องจากพวกเขานั้นให้ความสนใจกับการจุดไฟกัน ทำให้ผมที่ค่อย ๆ เดินปลีกตัวออกมา ไม่ค่อยเป็นจุดสนใจมากเท่าไหร่ จึงเดินออกมาได้ง่ายดาย
เดินมาอยู่พักหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็น ๆ ที่พัดมาเอื่อย ๆ เมื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ ผมกับพบกับอากาศสดชื่นยิ่งกว่าสมัยผมอยู่โลกก่อนหน้านี้ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นควันหนาแน่นซะจนหายใจธรรมดายังแสบจมูก
จะนับว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของโลกอันไร้ซึ่งเทคโนโลยีได้ไหมนะ….
ดูจากท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีฟ้าแห่งยามเช้า ดูท่าพระอาทิตย์ในช่วงรุ่งอรุณกำลังเริ่มที่จะขึ้น ช่างเป็นฉากที่ทำเอาให้ใจสงบเสียจริง ๆ
“ท่านเทพออกมาครั้งนอกไม่บอกเช่นนี้ มีเรื่องอะไรเหรอเปล่าคะ?”
เสียงอ่อนหวานดังขึ้นมาจากด้านหลัง พร้อมกันก็ปรากฏร่างของเด็กสาวผู้เป็นลูกศิษย์การจุดไฟคนแรกของผม
“แค่…มาสูดอากาศนิดหน่อยนะ พร้อมกับดูพระอาทิตย์ขึ้น”
“พระอาทิตย์?”
ดวงตาสีฟ้ามองมาที่ผมด้วยความสงสัย มันช่างเหมือนราวกับเด็กน้อยที่ไม่ว่าสิ่งใดก็เป็นสิ่งใหม่ที่ชวนให้ใจตื่นเต้น ผมได้แต่ยิ้มบาง ๆ ให้กับเธอก่อนตอบไปอย่างง่าย ๆ
“สิ่งนั้นอย่างไรเล่า”
ผมยกมือขึ้นพลางชี้ไปที่เส้นขอบฟ้าตรงหน้า เรียกดวงตาสีฟ้าให้มองตามไป ที่ปลายสุดของมุมมองสายตาคือสีทองสว่างที่เริ่มทอประกายเปลี่ยนสีท้องฟ้าจากสีดำให้กลายเป็นสีครามดุจท้องทะเล
“มันช่าง…สวยมากเลยนะคะ”
“อืม…. นั่นน่ะคือรุ่งอรุณอย่างไรล่ะ”
“รุ่งอรุณ? ทั้งหมดนั้นคืออำนาจของท่านเทพแห่งแสงหรือเปล่าคะ?”
หืม?
เจอเธอยิงคำถามมาแบบนี้ก็ทำเอาผมได้แต่เลิกคิ้วมองมาที่เธออย่างสงสัย… แต่ก็นั่นสินะ ผมเล่นบอกว่าตัวเองเป็นเทพแถมตอนสอนก็ยังแถ ๆ เหตุผลซะจนชวนเข้าใจผิดไปหลายอย่าง
“ทำไมถึงคิดเช่นนั้นล่ะ?”
สำหรับเหล่าคนโบราณพวกนี้ ไม่ว่าอะไร หากจะคิดว่าเป็นพลังของสิ่งเหนือธรรมชาติแล้ว ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่
“แสงที่สาดส่องให้ทุกคนเห็นทางในตอนเช้าและมอบซึ่งความอบอุ่นในฤดูเหมันต์อันโหดร้าย คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากพลังของท่านเทพแห่งแสงสินะคะ”
ใช่ก็บ้าแล้วล่ะ…. พลังที่ดูยิ่งใหญ่อย่างคุมพระอาทิตย์ได้แบบนั้นกับผมที่ทำได้แค่ปล่อยแสงเนี่ย……มันดูห่างช่างจนขนาดที่ไม่รู้ว่านั่งจรวดไปจะเห็นปลายทางเลยรึเปล่า ยิ่งมาคิดแบบนี้แล้วยิ่งชวนรู้สึกเศร้าใจน้ำตาจะไหลเป็นสายเลือด
แค่ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ พอเจอดวงตาที่คาดหวังแบบนั้นมองมายิ่งแล้วใหญ่ ขืนบอกปฏิเสธไปคงได้เห็นน้ำตามาแน่ ๆ ไอ้เรื่องแบบนั้นผมคงทนไม่ได้เพราะงั้น…….
“เป็นอย่างที่เจ้าสงสัย ตัวข้าที่เห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องทนทุกข์ภายใต้ความมืดซึ่งบดบังไม่ให้ผู้ใดสามารถเห็นความงดงามบนผืนโลกและยังต้องมาเห็นทุกชีวิตต้องทรมานกับความหนาวเหน็บนั้นยิ่งแล้วใหญ่…. ข้าจึงแบ่งพลังของตนเองเพื่อทำลายความมืดและความหนาวเหน็บพวกนั้นซะ”
หัวของผมก็สามารถคิดสาระพัดคำพูดออกมาและพ่นออกไปราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าน้ำเสียงช่างสวนทาง มันออกมาในรูปแบบผู้ทรงปัญญากำลังพูด…. สุดยอดไปเลยตัวผม
“แต่นั้นยังไม่พอ”
ผมเริ่มตีหน้าเศร้าระดับที่นักแสดงรางวัลออสการ์ยังต้องอาย พอเป็นแบบนั้น เด็กสาวคนนั้นยิ่งตาโตตื่นตะลึงตกใจยิ่งกว่าเก่า
เก่งมาก อรุณเอ๋ย
“ไม่พอที่จะปลดปล่อยพวกเจ้าจากความทุกข์ เช่นนั้นข้าจึงต้องลงมาที่แห่งนี้ เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง…ด้วยตัวข้าเอง”
ผมพูดออกมาพร้อมกับใช้พลังส่องแสงสว่างเพื่อทำให้คำพูดและออร่าของผมมันดูศักดิ์สิทธิ์ราวกับเทพจริง ๆ
และดูเหมือนมันจะได้ผลเสียด้วย เพราะเด็กสาวตรงหน้าถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างซึ้งใจพลางยิ้มออกมาอย่างเจิดจ้าพอ ๆ กับแสงตะวันตรงหน้า
“ต้อง…. ต้องขอบคุณความเมตตาทั้งหมดที่ท่านมอบให้….. นี่นับเป็นโชคดีของพวกเราทุกคนจริง ๆ ค่ะ”
จากนั้นเธอได้หันกลับไปมองแสงอาทิตย์ที่กำลังเริ่มส่องประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมยื่นมือทั้งสองออกไปราวกับโอบรับอะไรบางอย่าง
“สิ่งนั้น… แสงของพระอาทิตย์…. ความเมตตาของท่านเทพแห่งแสง มันช่างงดงามจริง ๆ ค่ะ”
จากนั้นเธอก็หันกลับพร้อมกับรอยยิ้มที่สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงยามรุ่งอรุณที่อยู่ด้านหลังของเธอเสียอีก
ภาพตรงหน้ามันทำเอาให้หัวใจของผมรู้สึกเต้นถี่รัว ตึก ๆ มันเต้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผมรู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงเลือดทั้งร่างกายที่ตอนนี้ถูกสูบฉีดมากองกันอยู่ที่บริเวณใบหน้า และไม่รู้ว่าเพราะเลือดในสมองมันลดลงด้วยไหมทำให้ผมถึงกล้าทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน
ถามชื่อสาว…
“เจ้า…. ชื่อของเจ้านั้นคืออะไรงั้นเหรอ”
อ่า…. ถามไปแล้วสิ ถามไปแล้ว!!! ให้ตายสิ ๆ นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย น่าอายจัง น่าอายสุด ๆ ไปเลยนี่หว่า ใครก็ได้ หาปี๊ปมาคลุมหัวผมที
“ฉันชื่ออูนาเรนนาเซฮาค่ะ มีความหมายว่าท้องฟ้ายามราตรีค่ะ”
อ่า เธอคงได้ยินที่ผมพูดกับเจ้าอุสบาแน่นอนเธอถึงได้บอกความหมายชื่อของเธอออกมาด้วยแบบนี้ ซึ่งชื่อแบบที่พวกเธอใช้เรียกกันนั้นยังคงยาวและเรียกยากเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นผมคงต้องใช้มุกเก่า……
“ยูน่า”
เปลี่ยนชื่อใหม่มันซะเลย
“คะ?”
ดูเหมือนการสนทนาจะเริ่มเป็นไปได้ด้วยดี ผมเริ่มคุมอารมณ์เขินอายของตัวเองได้เล็กน้อย ก่อนตีสีหน้าให้นิ่งสงบประดุจเทพในตำนาน ก่อนทำเป็นหันหน้าไปทางพระอาทิตย์เพื่อปิดบังหน้าของตัวเองที่ยังแดงไม่หาย
“ชื่อของเจ้าน่ะไม่เหมาะกับยามราตรีหรอก…. ยูน่า ในบนสวรรค์นั้น ความหมายของมันคือแสงในยามเช้าที่ส่องนำทางเพื่อสลายความมืดมิด นั่นน่ะ เหมาะกับเจ้ามากกว่านะ”
พูดไปแล้ว!!! อรุณเอ๋ย นายพูดไปแล้ว นี่น่ะ ไม่ว่าดูอย่างไรมันก็คล้ายประโยคจีบสาวเลยชัด ๆ นี่หว่า
นี่ผมทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย ยูน่าอะไรนั่นน่ะมันมีความหมายซะที่ไหนเล่า ไอ้ที่ผมทำน่ะมันจับชื่อของเธอมากร่อนคำซะให้สั้นก่อนมั่วความหมายไป…..
แต่งชื่อเด็กสาวที่ถูกชะตาด้วยชื่อมั่ว ๆ ซั่ว ๆ เนี่ย…. อาการนายหนักพอควรแล้วล่ะ อรุณเอ๋ย
แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรไอ้ที่บอกว่าความหมายนั้นมันช่างเหมาะกับเธอผมก็ไม่ได้มั่ว เพราะตอนที่เธอหันมายิ้มพร้อม ๆ กับแสงอาทิตย์ในยามเช้านั้นมันช่างงดงามและเจิดจ้า แถมด้วยนิสัยอันแสนน่ารักนั่น…. ไม่ว่าอย่างไรก็เหมาะกับยามเช้ามากกว่ายามค่ำคืนอยู่แล้ว
“ยูน่า… นั่นคือชื่อที่ท่านเทพมอบให้กับฉันเช่นนั้นเหรอคะ…”
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง พร้อมกันน้ำเสียงแห่งความตื่นเต้นได้ทวีคูณมากจนแม้แต่ผมยังรู้สึกได้จากนั้น
วูบ
สายลมอ่อนได้พัดมาจนทำให้ผมสีทองนั้นพัดปลิวไสวไปตามจังหวะของสายลม เมื่อประกอบกับแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบจนเกิดแสงประกายประหนึ่งแสงแห่งรุ่งอรุณ ทว่านั่นยังไม่เจิดจ้าเท่ากับสิ่งที่ผมจะเห็นหลังจากนี้
“ช่างเป็นเรื่องที่… น่ายินดีจริง ๆ ค่ะ”
และแล้วรอยยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าแสงในยามใด ๆ ของดวงตะวันก็ฉายออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและในขณะเดียวกันก็สามารถมอบความสุขให้กับทุกคนที่มองเห็น
พร้อมกัน ดวงตาสีฟ้าครามกลมโตที่จ้องมองมาอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความความยินดีนั้นทำเอาหัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วยิ่งเต้นแรงยิ่งขึ้นไปอีก
ช่างเป็นภาพที่งดงามจริง ๆ งดงามจนมันสลักลงไปในความทรงจำของผมที่ผมคิดว่าจะไม่มีทางลืมมันเป็นอันขาด
“โลกที่อาบไปด้วยแสงช่างดีจริง ๆ นะคะ”
“อืม ดีจริง ๆ นั่นล่ะ”
ใช่ ช่างเป็นโลกที่งดงามจริง ๆ และด้วยคำพูดของยูน่านั้นเองทำให้ผมมั่นใจ ว่าสิ่งที่ผมต้องทำต่อไปนั้นคืออะไร
“ยูน่า…. ฝากเจ้าไปบอกทุกคนให้เก็บของซะ”
“เอ๋?”
ใช่แล้วล่ะ มันถึงช่วงเวลาก้าวถัดไปของผมแล้ว ก้าวแรกแห่งอารยะธรรมซึ่งคือเปลวไฟได้ถูกจุดขึ้นมา และก้าวต่อไปที่สำคัญที่สุดนั้นคือ….
“ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะออกจากถ้ำอันมืดมิดและอยู่ภายใต้แสงสว่างของข้าแล้วล่ะ”