Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - ภาคแยก | บทที่ 3 กบฏ ปฏิวัติ รัฐประหาร
นางกำนัลเป็นงานที่มีเวลาเข้า-ออกงานอิสระ
ตกเย็นลอเรนก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของตนอย่างเงียบเชียบ คฤหาสน์ที่เคยเงียบสงัดบัดนี้กลับมีเสียงของกลุ่มชายวัยกลางคนดังอื้ออึง ลอเรนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องของตนก่อนจะไปพบพวกเขา ครั้นเห็นลอเรน ชายคนหนึ่งก็เอ่ยเรียก
“ลอเรน”
เจ้าของเสียงเรียกนั้นคือบิดาของลอเรน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าเรียบเฉยของหญิงสาวและหายไปอย่างรวดเร็ว นางเปิดปากพูด
“ท่านพ่อ มาถึงเร็วจังเลยนะคะ”
พูดจบลอเรนก็กวาดสายตามองคนอื่นๆ
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พ่อจึงรีบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกังขา” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดผู้เป็นบิดาตอบกลับ
“ดีแล้วค่ะ”
“อืม ระยะนี้ตำหนักจักรพรรดินีมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
เรื่องของโรสมอนด์ทำให้หว่างคิ้วที่เคยราบเรียบของลอเรนปรากฏรอยย่นเล็กน้อย
“ไม่ค่อยดีค่ะ” นางตอบพลางถอนหายใจ
“ช่วยขยายความคำว่า ‘ไม่ค่อยดี’ ได้หรือไม่ เลดี้ลอเรน”
“ตามที่กล่าวค่ะ ความฟุ้งเฟ้อของจักรพรรดินีพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น? หลังจากเปลี่ยนชุดเดรสชุดใหม่ได้เพียงห้าชั่วโมงและออกไปข้างนอกเพียงครั้งเดียว นางก็บอกว่าจะเปลี่ยนชุดอีก”
ลอเรนพูดใส่อารมณ์กว่าปกติ และยังคงพูดต่อไป “เรื่องนี้ยังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับราคาและประเภทของสิ่งของฟุ่มเฟือยที่นางสะสมไว้ซึ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน แล้วนางเอาเงินจากที่ใดไปกว้านซื้อของเหล่านี้เล่าทุกท่าน? นี่ล้วนเป็นเงินจากท้องพระคลังทั้งสิ้น จักรพรรดินีคิดจะทำลายจักรวรรดิไม่ผิดแน่”
“อย่างไรนางก็ยังทำหน้าที่ได้ดีมิใช่รึ”
ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้น ลอเรนได้ฟังก็แสยะยิ้ม
“ใช่ค่ะ เรื่องนั้นคงไม่มีใครโต้แย้งได้ ความสามารถที่โดดเด่นของนางก็มีส่วนสำคัญ แต่ที่แน่ๆ นางมีพรสวรรค์ในการออกคำสั่ง นางรู้จักใช้คนให้เหมาะสมกับงาน นั่นเป็นสิ่งที่ควรถือเอาเป็นเยี่ยงอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย”
แต่ลอเรนก็แย้งต่อทันที “แต่ถึงกระนั้นเราก็มิอาจมองข้ามการใช้เงินมือเติบของนางได้ ตอนนี้ราษฎรทั่วทั้งจักรวรรดิต่างได้รับความทุกข์ทรมานจากภัยแล้ง! สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดินีจะเห็นแก่ความสุขส่วนตน แล้วมองข้ามความทุกข์ยากของประชาชนได้อย่างไร”
ทุกคนในที่นั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลอเรนจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนั้นมิใช่แค่ต้องจัดการงานของฝ่ายในให้ดี แต่ต้องเป็นมารดาของราษฎรทั้งปวง ทว่า ข้ากลับมองไม่เห็นคุณสมบัติข้อนั้นในตัวจักรพรรดินีคนปัจจุบันเลย”
“ข้าเห็นด้วย เลดี้วีเธอร์ฟอร์ด”
“ด้วยเหตุนี้เราจึงมารวมตัวกันมิใช่หรือ”
สิ้นคำของขุนนางคนหนึ่ง ขุนนางที่เหลือก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นใครอีกคนก็เปิดปาก
“จักรพรรดินีเป็นเพียงเรื่องหนึ่งเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเรามิใช่แค่การปลดจักรพรรดินีคนหนึ่ง จริงหรือไม่”
“ใช่แล้ว”
ดยุกแห่งวีเธอร์ฟอร์ดเหยียดยิ้ม “แต่ก็อย่างที่ทุกท่านทราบ หากจะปฏิวัติก็ต้องมีเหตุผลมารองรับ หากดำเนินการไปโดยไร้เหตุผลประกอบ ใครเล่าจะเข้าใจถึงเจตนารมณ์อันสูงส่งของพวกเรา”
“แต่ถึงกระนั้น แค่เรื่องของจักรพรรดินีคงยังไม่พอนะ ใต้เท้า เราจำเป็นต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิโดยตรง”
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ”
ลอเรนที่นั่งเงียบมาตลอดพูดแทรกขึ้น น้ำเสียงของนางกระจ่างชัด
“จักรพรรดิสั่งประหารอดีตจักรพรรดินีและครอบครัวของนางจนสิ้นเพียงเพื่อจะทำให้อนุภรรยาคนหนึ่งได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี”
ตัวเขาในตอนนี้คงไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลาเพียงใด ลอเรนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“และทุกท่านคงจะทราบดี ตระกูลโกรเชสเตอร์เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อจักรวรรดิ ขุนนางน้ำดีเช่นนี้กลับต้องถูกประหาร จักรพรรดิต้องสติฟั่นเฟือนเพียงใดจึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น”
“จริงสินะ” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหัวเราะ “ใช่แล้วล่ะ ทุกท่าน ตอนนี้จักรพรรดิสติไม่สมประดี มิอาจตัดสินแยกแยะถูกผิด จึงได้ขับไล่ภรรยาหลวงรวมทั้งตระกูลขุนนางที่จงรักภักดี และแต่งตั้งหญิงแพศยาไร้ราคาคนหนึ่งเป็นจักรพรรดินี”
“แย่จริง”
ขุนนางคนหนึ่งเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ
“หากเป็นเช่นนั้น นี่นับเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งมิใช่หรือไร คนแบบนั้นได้เป็นผู้นำของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้หรือนี่”
“ใช่แล้ว หากสถานการณ์ของฝ่าบาทไม่สู้ดีเช่นนี้ เราก็ควรยกตำแหน่งนี้ให้กับผู้ที่เหมาะสม”
“ถูกต้อง!”
ขณะที่ทุกคนแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างตื่นเต้นอยู่นั้น ลอเรนเพียงแต่ยิ้มเงียบๆ คนเดียว ผ่านไปครู่หนึ่งดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็เข้าควบคุมสถานการณ์
“เรารวบรวมกำลังพลได้มากแค่ไหนแล้ว?”
“เพียงพอแล้ว ใต้เท้า เฉพาะอัศวินจากตระกูลขุนนางชั้นสูงที่พร้อมจะร่วมปฏิวัติกับเราก็มีจำนวนมากพอแล้ว หากเราซื้อตัวอัศวินเฝ้าประตูได้ การบุกยึดพระราชวังก็คงมิใช่เรื่องยาก”
“ผู้คนในวังเองก็ทุกข์ทรมานจากการกดขี่ข่มเหงของจักรพรรดินี จักรพรรดินีและจักรพรรดิเป็นสามีภรรยากันจึงนับว่าเป็นคนคนเดียวกัน บางทีข้ารับใช้เหล่านั้นอาจยอมร่วมมือกับเราอย่างไม่อิดออด”
“แย่จริง ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีจนน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดพูดติดตลก ลอเรนได้ยินดังนั้นก็ฉีกยิ้ม
“สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้นับว่าได้เปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินจากหมอหลวงว่าตั้งแต่ประหารอดีตจักรพรรดินี อารมณ์ของฝ่าบาทก็ไม่ค่อยมั่นคงนัก” นางกล่าว
“เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีเลยสินะ”
แน่นอน ลอเรนยิ้ม
“แม้ข้าจะไม่ค่อยสบายใจที่เชื้อพระวงศ์สายรองจะขึ้นมาเป็นจักรพรรดิคนต่อไป แต่คงไม่เป็นไรกระมัง หากก่อกบฏสำเร็จย่อมไม่นับเป็นความผิดอันใด” ขุนนางคนหนึ่งพูดขึ้น
“กบฏหรือคะ”
ตอนนั้นเองลอเรนก็เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ สีหน้าดูมีโทสะเล็กน้อย
“ใครจะบังอาจเรียกการกระทำนี้ว่าก่อกบฏได้หรือคะ”
“หมายความว่าอย่างไร เลดี้ลอเรน”
“หากงานนี้สำเร็จ มันย่อมมิใช่การก่อกบฏอย่างแน่นอน”
ลอเรนกล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “นี่คือการปฏิวัติค่ะ”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนั้นต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกระปรี้กระเปร่า ใช่แล้ว ปฏิวัติ หากงานนี้สำเร็จ ใครจะบังอาจเรียกว่ากบฏกันเล่า? ขืนทำเช่นนั้นมีหวังศีรษะได้หลุดจากบ่าทันทีเป็นแน่
“แล้วจะเริ่มดำเนินการเมื่อใดคะ” ลอเรนเอ่ยถาม
“อีกไม่นานหรอก” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอบ “เราจะช่วงชิงราชบัลลังก์คืนมาในเร็ววัน หากทำสำเร็จ พวกท่านทั้งหลายก็จะมีความดีความชอบในการปฏิวัติจักรวรรดิครั้งนี้”
“ความดีความชอบรึ ฟังแล้วรื่นหูนัก!”
คนอื่นๆ ต่างหัวเราะร่วน คราวนี้ลอเรนเองก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี
***
หมู่นี้ดัชเชสเอเฟรนีรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แม้นางจะคอยสนับสนุนอย่างลับๆ ให้โรสมอนด์ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี แต่ดูเหมือนนางไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันเท่าใด ดัชเชสเอเฟรนีพอจะคาดเดาสาเหตุได้แต่เพราะยังไม่พร้อมจะยอมรับ นางจึงคอยแต่ผลักไสมันเรื่อยมา
“ดัชเชส เชิญทางนี้ค่ะ”
แม้ดัชเชสเอเฟรนีไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่นางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีก็คอยนำทางนางอย่างดี หากมองอย่างคิดเล็กคิดน้อย กระทั่งเรื่องนี้นางก็รู้สึกไม่ชอบใจ นางยอมรับอยู่ภายในใจว่านั่นเป็นผลอันเนื่องมาจากการที่นางไม่อาจมองโรสมอนด์ในแง่ดีได้อีกแล้ว
“ฝ่าบาท ดัชเชสเอเฟรนีมาถึงแล้วเพคะ”
“อ้อ รีบให้นางเข้ามาสิ”
ช่างน่าขันที่ดัชเชสเอเฟรนีไม่ชอบใจกระทั่งการใช้คำพูดระดับต่ำของโรสมอนด์ ตั้งแต่รู้ความจริงว่าโรสมอนด์เป็นเพียงบุตรีของขุนนางปลายแถวในชนบท ดัชเชสเอเฟรนีก็รู้สึกผิดหวังในตัวอีกฝ่าย ความจริงแล้วสามีของนางก็เป็นบุตรชายของ ‘ขุนนางปลายแถวในชนบท’ เช่นกัน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยึดถือเรื่องวงศ์ตระกูลหรือฐานันดรศักดิ์อย่างมาก อาจเป็นเพราะนางเป็นบุตรีคนเดียวของตระกูลที่มีประวัติความเป็นมาลึกซึ้งในจักรวรรดินี้
“ถวายบังคมจักรพรรดินี จันทราแห่งมาวินอส ขอความสุขสวัสดิ์จงมีแด่มาวินอส”
ทันทีที่ประตูเปิด ดัชเชสเอเฟรนีก็ก้าวเดินอย่างสุขุมเข้าไปหาโรสมอนด์ แม้นางจะสนับสนุนและช่วยเหลือโรสมอนด์ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่านางจะไม่พอใจอย่างมากที่สตรีที่ต่ำศักดิ์กว่านางอย่างเทียบชั้นไม่ติดได้กลายมาเป็นสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ และโรสมอนด์ก็มองออกราวกับมีตาทิพย์
“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ ดัชเชส”
แต่ดัชเชสเอเฟรนีก็ไม่น้อยหน้า อย่างไรเสียนางเองก็เป็นถึงบุตรสาวคนเดียวของตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงของจักรวรรดิ ดัชเชสเอเฟรนีฉีกยิ้มการค้าพลางตอบ
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ”
ได้ยินดังนั้นโรสมอนด์ก็ฉีกยิ้มกว้าง
“เช่นนั้นก็ดีแล้วค่ะ นั่งก่อนสิคะ”
ทันทีที่ดัชเชสเอเฟรนีนั่งลง โรสมอนด์ก็เริ่มบ่น
“เงินในท้องพระคลังหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเก็บภาษีกันอย่างไร…”
“ฝ่าบาท การที่ทรงเป็นกังวลเรื่องท้องพระคลังนับเป็นสิ่งที่ดี ทว่า…” ดัชเชสเอเฟรนีว่ากล่าวเสียงดัง “เรื่องการเก็บภาษีนี้ว่ากันตามจริงแล้วนับเป็นความรับผิดชอบของพระจักรพรรดิ ส่วนฝ่ายในเพียงแค่จัดสรรงบประมาณที่ได้รับให้ดีก็พอแล้วเพคะ”
สิ่งที่นางกล่าวนั้นมิผิด แต่เห็นได้ชัดว่าอีกนัยหนึ่งนางกำลังบอกว่าโรสมอนด์ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ซึ่งไม่มีทางที่โรสมอนด์จะฟังความนัยนั้นไม่ออก หญิงสาวปรายตามองดัชเชสเอเฟรนี
“…ท่านกล่าวได้ถูกต้องค่ะ ดัชเชส แต่เพราะงบประมาณของฝ่ายในลดลงเรื่อยๆ ข้าถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
ถ้ากังวลถึงขนาดนั้น เจ้าลองลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อของตนเองก่อนดีหรือไม่? ดัชเชสเอเฟรนีอยากจะถามจากใจจริง แต่ขืนพูดออกไปจักรพรรดินีต้องไม่พอใจเป็นแน่ เฮ้อ อย่างน้อยอดีตจักรพรรดินีก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้
ทันใดนั้นดัชเชสเอเฟรนีก็นึกถึงอดีตจักรพรรดินีผู้ล่วงลับขึ้นมา นางเป็นคนเรียบง่าย แม้จะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก แต่นางมิใช่คนเลวร้ายอย่างแน่นอน
หากลองพิจารณาถึงสาเหตุที่นางต้องพินาศย่อยยับ สิ่งที่ทำลายนางคือความหึงหวงที่มีต่อจักรพรรดิ แต่หากตนยืนอยู่ในจุดเดียวกับอีกฝ่าย ดัชเชสเอเฟรนีเองก็ไม่มั่นใจว่าตนจะไม่เป็นเช่นนั้น เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่านางรักสามี แต่สามีกลับบอกว่าเขารักอนุภรรยามากกว่า ได้ยินเช่นนี้สตรีคนใดจะประคองสติไว้ได้? ยิ่งไปกว่านั้นหากศัตรูความรักคือนางมารร้ายเหลี่ยมจัดอย่างโรสมอนด์ ความพินาศของจักรพรรดินีผู้มีใจเมตตาก็นับว่าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดัชเชสเอเฟรนีก็ได้สติว่าตนกำลังอ่อนไหวมากเกินไปจึงจงใจปัดความคิดเรื่องอดีตจักรพรรดินีทิ้งไป นั่นมิใช่เรื่องดี อย่างไรตัวนางเองก็มีส่วนในการทำลายอีกฝ่าย ดังนั้น ความคิดเช่นนี้จึงนับเป็นการดูหมิ่นผู้ตาย
หากมีใครรู้เข้าว่านางมีความคิดเช่นนี้อาจกลายเป็นที่ขบขัน
ดัชเชสเอเฟรนีให้คำแนะนำโดยพยายามไม่ทำให้โรสมอนด์ขุ่นเคือง
“การจัดสรรงบประมาณเป็นราชกิจของพระจักรพรรดิเพคะ ฝ่าบาท หากได้รับงบประมาณมาน้อย ก็ขึ้นอยู่กับพระปรีชาสามารถขององค์จักรพรรดินีแล้วว่าจะบริหารอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด พระองค์หลักแหลมปราดเปรื่อง หม่อมฉันเชื่อว่าพระองค์จะจัดการได้ดีเพคะ”
ดัชเชสเอเฟรนีพร่ำกล่าวถ้อยคำไพเราะเสนาะหูและคอยสังเกตท่าทีของโรสมอนด์ อาจเป็นเพราะคำชมเชยที่ตนกล่าวปิดท้าย สีหน้าของอีกฝ่ายจึงดูไม่ย่ำแย่นัก ดัชเชสเอเฟรนีเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจในใจ
การปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ของโรสมอนด์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย