Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - ตอนที่ 82 ขอบคุณที่ถาม
อีกด้านหนึ่ง แพทริเซียต้อนรับเปโตรนิยาที่เพิ่งมาถึงวังในตอนบ่ายด้วยความยินดี
“นีย่า เจ้ามาสายนะ”
“…”
แม้แพทริเซียจะทักทายอย่างสดใส แต่เปโตรนิยากลับมีสีหน้าหม่นหมอง ถึงกระนั้นแพทริเซียก็ยิ้มอย่างใจเย็นและเอ่ยถาม
“ดูจากสีหน้าเจ้าแล้ว”
“…”
“คล้ายจะได้เรื่องอะไรมา”
“ริซซี่…ฝ่าบาท” แม้เปโตรนิยาจะเอ่ยอย่างลังเล แต่นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “บางทีเราอาจกำจัดนางได้”
“เช่นนั้นก็ดี” แพทริเซียยิ้มกว้างพลางพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเจออะไรมา…แต่ก็พอจะเดาได้”
ความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างดยุกเอเฟรนีกับโรสมอนด์สินะ ทว่า มันไม่จบเพียงเท่านั้น เปโตรนิยากล่าวอย่างลำบากใจ
“ถ้ากำจัดโรสมอนด์ ดยุกเอเฟรนีก็จบเห่ไปด้วย”
“…ขนาดนั้นเชียวหรือ”
แพทริเซียให้ความสนใจกับสิ่งที่เปโตรนิยาบอกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
“แต่ก็ช่างเถิด สิ่งที่ข้าต้องการคือความพินาศของโรสมอนด์ หากดยุกเอเฟรนีจะพินาศไปด้วยนั่นก็หมายความเขาเองก็มีความผิดเช่นนั้น”
แพทริเซียหัวเราะอย่างอ่อนแรงพลางพึมพำ
“เพราะฉะนั้น ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่ดยุกเอเฟรนีแต่เป็นดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ข้าก็ไม่สนใจ”
“สิบปากว่าย่อมไม่เท่าตาเห็น”
เปโตรนิยาให้นางกำนัลที่อยู่รอบๆ ออกไปก่อน จากนั้นนำจดหมายทั้งหมดที่นางนำมาจากห้องของแจนยูเอรีให้แพทริเซียดู สิ่งที่อยู่ในกล่องเครื่องประดับของแจนยูเอรีดูเหมือนจะเป็นจดหมายที่โรสมอนด์เขียนให้คร่าวๆ แพทริเซียรับจดหมายทั้งสิบเจ็ดฉบับจากเปโตรนิยาและค่อยๆ เปิดอ่าน เริ่มแรกสีหน้าของแพทริเซียยังคงเรียบเฉย แต่เมื่ออ่านไปถึงฉบับที่สี่สีหน้าของนางก็เริ่มบิดเบี้ยว และเมื่ออ่านไปถึงฉบับที่เก้านางก็มีสีหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งนางอ่านฉบับสุดท้ายจบ…
“เฮอะ”
แพทริเซียแค่นหัวเราะ เนื้อหาในจดหมายพวกนั้นมากพอที่จะทำให้นางหัวเราะออกมา แพทริเซียเริ่มหัวเราะราวกับคนเสียสติ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
แพทริเซียหัวเราะในขณะที่สีหน้ามีแววของความตกใจ ‘โดนเล่นงานเข้าแล้ว’
***
การตายของผู้สืบทอดทำให้ตระกูลดยุกเอเฟรนีตกอยู่ในความโศกเศร้า สมาชิกตระกูลดยุกเอเฟรนีทุกคนต่างไว้อาลัยให้กับลอร์ดเฮนรีผู้มีจิตใจที่อบอุ่นและใจดีกับทุกคน
ยกเว้นคนผู้หนึ่ง
“ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า”
แจนยูเอรีนั่งเงียบอยู่ในห้องครู่หนึ่งก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เฮนรีตายแล้ว! ทายาทเพียงคนเดียวของดัชเชสตายแล้ว! แม้ปกติแล้วเฮนรีจะไม่ถึงขั้นอ่อนโยนกับนาง แต่เขาก็ปฏิบัติกับนางอย่างสุภาพในฐานะที่นางเป็นแม่เลี้ยง ทว่า ในสถานการณ์นี้แจนยูเอรีก็มิใช่คนที่ใจกว้างมากพอจะสรรเสริญเยินยอเฮนรี
นางเพียงแต่คิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้และหัวเราะอย่างมีความสุข บุตรชายของนางจะกลายเป็นผู้สืบทอดของตระกูลดยุกอย่างเป็นทางการ จากนั้นโรสมอนด์ก็จะขึ้นเป็นจักรพรรดินี และลากดัชเชสเอเฟรนีลงมาจากตำแหน่ง แน่นอนว่าถ้าใครเห็นนางมีความสุขในช่วงเวลาแบบนี้ ผีบ้านผีเรือนคงไล่ตะเพิดนางก่อนใคร นางจึงทำได้เพียงหัวเราะอย่างเงียบๆ เท่านั้น
-ก๊อกก๊อก
ครั้นได้ยินเสียงเคาะประตูนางก็รีบเก็บรอยยิ้มบนหน้าและตีหน้าเศร้า การกระทำเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจ หากใครได้เห็นการกระทำนั้นตั้งแต่ต้นจนจบคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและด่าทอให้กับความหน้าไม่อาย นางแตะน้ำลายมาทารอบดวงตาให้เหมือนคราบน้ำตาของคนที่คร่ำครวญราวกับเสียลูกของตัวเองและขยี้ตาให้ตาแดง จากนั้นนางค่อยเปิดประตูออกไปและได้พบกับพ่อบ้าน นางจึงเอ่ยถาม
“พ่อบ้าน มีอะไรหรือ”
“…”
เขายื่นจดหมายมาให้ฉบับหนึ่งโดยไม่พูดอะไร จากพระราชวัง… กล่าวให้ชัดเจนคือเป็นจดหมายจากโรสมอนด์
“จดหมายจากมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ขอรับ มาดาม” เขากล่าว
“อุ๊ย จากมาร์เชอเนสหรือ”
นางจงใจทำสีหน้าตกใจตอนรับจดหมาย ขณะปิดประตูใบหน้าของนางยังคงมีร่องรอยของความเศร้าอยู่รอบดวงตา ทันทีที่ประตูปิดสนิทพ้นสายตาของพ่อบ้านนางก็ฮัมเพลงในใจสีหน้าระรื่นพลางเปิดอ่านจดหมาย โรสมอนด์ ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงส่งจดหมายมาบ่อยนัก ในซองจดหมายสีขาวปรากฏกระดาษที่ถูกเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือวิจิตร นางอ่านเนื้อความเหล่านั้นก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“สามวัน สามวันให้หลังอย่างนั้นหรือ…”
แจนยูเอรีพึมพำก่อนจะเขียนจดหมายไปหาใครคนหนึ่ง เนื้อความมีเพียงสั้นๆ
[ สามวันให้หลัง สังหารจักรพรรดินีระหว่างทางกลับจากคฤหาสน์มาร์ควิสเสีย ]
***
“สุดท้ายลอร์ดเอเฟรนีก็เสียชีวิต”
เปโตรนิยากล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ ลอร์ดเอเฟรนีอายุยังน้อยนัก ข่าวการจากไปของคนที่ยังเยาว์วัยทำให้เปโตรนิยารู้สึกหดหู่ แพทริเซียเอ่ยอย่างใจหาย
“แย่จริง” ดัชเชสเอเฟรนีคงใจสลาย แพทริเซียคิดพลางเอ่ยถาม “เช่นนั้นดัชเชสน่าจะเดินทางกลับจักรวรรดิเลยกระมัง”
“กลับมาพร้อมร่างของบุตรชาย ดูเหมือนจะประกอบพิธีที่นี่”
“โธ่”
นางอุทานอย่างเห็นใจและก้มหน้าลง ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลดยุกสิ้นไปแล้ว เช่นนั้นทายาทที่เหลืออยู่ก็มีเพียงบุตรชายที่ยังเล็กของอนุภรรยาเท่านั้นน่ะสิ…
“ริซซี่”
“หืม?”
“แล้วบุตรชายของมาดามแจนยูเอรีจะกลายเป็นประมุขตระกูลคนต่อไปหรือไม่”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกชื่อเล่นของพี่สาว
“นิล”
“หืม?”
“ถ้าเนื้อความในจดหมายเป็นความจริง…” แพทริเซียลากเสียงอย่างเนิบช้าและพูดต่อ “เรื่องอาจไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หากเรื่องเป็นไปตามที่เราคิด ดัชเชสย่อมต้องรับบุตรบุญธรรม และประมุขตระกูลคนต่อไปก็จะเป็นคนที่นางต้องการ”
“จริงสิ ดัชเชสมีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้น”
เปโตรนิยาพยักหน้า ดัชเชสเอเฟรนีไม่ได้ใช้นามสกุลสามี เดิมทีนางมีศักดิ์เป็นท่านหญิงเอเฟรนี บุตรีของดยุก ส่วนประมุขตระกูลเอเฟรนีคนปัจจุบันเป็นเพียงบุตรชายของบารอนเท่านั้น เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขาแต่งงานกับท่านหญิงเอเฟรนีและเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของภรรยา อย่างไรก็ตามที่บุตรชายของบารอนเล็กๆ ได้ครองตำแหน่งดยุกก็เป็นเพราะในตอนนั้นท่านหญิงเอเฟรนีเป็นบุตรีคนเดียวของดยุกเอเฟรนีรุ่นก่อน
ดังนั้น ตำแหน่งดยุกของเขาจึงได้มาเพราะเขาเป็นสามีของท่านหญิงเอเฟรนี นั่นหมายความว่าที่ดัชเชสเอเฟรนียังไม่แตะต้องตำแหน่งของเขาก็เพราะนางยังรักเขาอยู่ แต่หากความรักนั้นจืดจางลงเมื่อใด ดยุกเอเฟรนีก็ต้องคืนตำแหน่งดยุก และหากเป็นเช่นนั้น แจนยูเอรีก็คงคว้าน้ำเหลว
“งานนี้ข้าคงมิอาจเตรียมการคนเดียวได้ คงต้องขอความช่วยเหลือจากดยุกวีเธอร์ฟอร์ดแล้วล่ะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ริซซี่ หากเจ้าเปิดโปงเรื่องนั้นด้วยตัวเองจะดูน่าสงสัย เพราะทุกคนจะคิดว่าเจ้าไม่เป็นกลางในเรื่องของโรสมอนด์”
“มีร์ยา”
แพทริเซียตัดสินใจทำตามที่คิดทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ช่วงเวลาแห่งความพินาศสุกงอม กว่าช่วงเวลานั้นจะมาถึง ไม่รู้ว่านางต้องใช้ความอดทนอดกลั้นมากเพียงใด และต้องรออีกนานแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเรื่องแบบนี้ ยิ่งลงมือเร็วเท่าไรยิ่งดี ถ้าคนไหวพริบดีอย่างแจนยูเอรีเริ่มระแคะระคายเรื่องที่เปโตรนิยาทำ แพทริเซียอาจจะต้องปวดหัวกับเรื่องนี้มากขึ้นก็เป็นได้ ตัดไฟเสียแต่ต้นลมน่าจะดีที่สุด
“เรียกดยุกวีเธอร์ฟอร์ดมาพบข้าที บอกไปว่าเมื่อใดที่สะดวกให้มาสนทนากันสักหน่อย”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะแจ้งตามนั้น”
“ได้ยินว่าอีกสองวันเจ้าจะกลับบ้าน?”
เปโตรนิยาเอ่ยถาม นางคงได้ยินจากราฟาเอลา
แพทริเซียพยักหน้า “เป็นวันเกิดท่านแม่พอดีด้วย ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ค่อยได้ใส่ใจครอบครัวเลย”
“ทั้งสองท่านคงเข้าใจ เจ้าจะกลับบ้านก็ไม่มีอะไรเสียหาย และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรด้วย”
“…อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น”
แพทริเซียเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรงพลางพึมพำเบาๆ
“คิดถึงท่านพ่อท่านแม่จัง”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดส่งจดหมายมาแจ้งว่าจะขอเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้น แพทริเซียก็มีสีหน้าสับสนว้าวุ่นใจ แม้เป็นเรื่องที่ยากจะเปิดโปงสุ่มสี่สุ่มห้า แต่สักวันเรื่องนี้ก็ต้องแดงออกมา และหากเป็นเช่นนั้นนางจะต้องเปิดโปงให้ถูกจังหวะเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น จะปล่อยให้มันถูกฝังกลบไปไม่ได้ แพทริเซียถอนหายใจขณะเดินทอดน่องอย่างเงียบๆ อยู่ในสวนดอกไม้
“จำเป็นต้องสืบเพิ่มอีกสักหน่อย”
“อะไรหรือ ริซซี่”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้” นางกล่าวย้ำ “ข้าต้องการหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้ หลักฐานที่จะส่งนางขึ้นแท่นประหาร…”
ตอนนั้นเองคำพูดของแพทริเซียก็หยุดชะงัก คนแปลกหน้าผู้หนึ่งดูสะดุดตา แต่จะเรียกว่าคนแปลกหน้าก็รู้สึกแปลกๆ แพทริเซียลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักทายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“จักรพรรดินี”
เขาหลบตาอย่างประหม่า หลังจากวันที่มีอาการชัก ทั้งสองก็ไม่ได้พบกันอีกเลย แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดในสถานการณ์นี้ นางจึงทำเพียงก้มหน้าเงียบๆ
“เอ่อ…สบายดีไหม”
หลังจากกล่าวออกไปเช่นนั้น ลูซิโอก็รู้สึกเสียใจภายหลังให้กับความโง่เขลาของตัวเอง ไม่มีคำอื่นจะพูดแล้วหรือไร ระหว่างที่เขาตีอกชกหัวตัวเองอยู่ในใจ แพทริเซียก็เอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย
“เพคะ”
คำตอบสั้นๆ ของอีกฝ่ายทำให้ลูซิโอรับมือลำบาก หากเป็นเช่นนี้บทสนทนาก็จะสิ้นสุดลง ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากพูดคุยกับเขาตั้งแต่แรกแล้ว ช่างดูน่าขันที่เขาพยายามจะต่อบทสนทนา ในตอนนั้นเอง เสียงที่ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ก็ดังขึ้น
“พระวรกาย…”
“…หืม?”
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
แพทริเซียเอ่ยถามอย่างนิ่งเฉยไร้อารมณ์ แต่สำหรับลูซิโอ คำถามนี้นับว่าเป็นเกียรติยิ่งกว่าคำถามใดๆ เขารีบตอบอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร”
“…”
“ขอบคุณนะที่ถาม”
“…เพคะ”
แพทริเซียตอบสั้นๆ และเดินต่อ ขณะที่ร่างบางจะเดินผ่านข้างตัวลูซิโอเพื่อไปอีกทางเขาก็รีบเรียกอีกฝ่ายไว้
“จักรพรรดินี”
“…เพคะ?”
แพทริเซียหันหลังกลับมาอย่างเนิบช้าและมองมาที่เขา หญิงสาวช่างดูงดงามและโดดเด่น ลูซิโอลังเล สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเอ่ยถึงเรื่องอื่น มิใช่เรื่องที่อยู่ในใจ
“เรื่องวันนั้นเราขอโทษนะ”
“…ไม่จำเป็นต้องใส่พระทัยเพคะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…เราขอโทษด้วย” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แหบลงเล็กน้อย “ฟังว่าอีกสองวันเจ้าจะกลับคฤหาสน์มาร์ควิสใช่หรือไม่”
“เพคะ”
ข้าว่าข้าไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนนะ ดูเหมือนว่าการรักษาความปลอดภัยในตำหนักจักรพรรดินีจะหละหลวมกว่าที่คิด ระหว่างที่นางกำลังคิด ลูซิโอก็รีบเอ่ย
“เจ้าจะ…อยู่ที่นั่นนานเท่าใดก็ได้นะ”
“…เพคะ?”
“เราหมายถึงให้เจ้าพักผ่อนให้สบายแล้วค่อยกลับ ที่ผ่านมาเจ้าก็ลำบากมามาก”
“…”
เช่นนั้นควรจะต้องนานเพียงใดเพคะ ฝ่าบาท แพทริเซียยิ้มเยาะ ทว่า ภาระหน้าที่ที่นางต้องแบกรับนั้นยิ่งใหญ่อย่างประเมินค่ามิได้ นางจึงมิอาจหยุดพักนานๆ เพราะน้ำหนักของเอกสารที่นางต้องกลับมาตรวจทานก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
“หม่อมฉันจะออกไปตอนเช้าและกลับมาตอนค่ำเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็ถอนหายใจในใจอย่างโล่งอก แต่แพทริเซียกลับเห็นปฏิกิริยาของเขาได้อย่างชัดเจน นางหันหลังเดินออกไปและยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ท่าทางเช่นนั้นไม่เข้ากับเขาสักนิด”
นางพึมพำทิ้งท้าย