Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - ตอนที่ 53 เจ้าหลบหน้าเราหรือ
เปโตรนิยากลับจากห้องเครื่องแล้ว นางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“มีเรื่องสนุกอะไรหรือคะ ‘วันนั้น’ นี่คือ…”
“เอ่อ…”
มีร์ยามีสีหน้าลำบากใจ ในบรรดาพวกนางสามคน มีเพียงเปโตรนิยาคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง แล้วนางยังโผล่มาได้จังหวะแบบนี้อีก มีร์ยาคิดหาคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ตัดสินใจตอบออกไปตามตรง ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพี่สาวของจักรพรรดินี คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังนาง
“มิใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกค่ะ พอดีเมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย”
“เรื่องวุ่นวายหรือคะ”
เปโตรนิยาถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ หากเป็นเรื่องที่นางไม่รู้ก็แสดงว่าเรื่องนั้นน่าจะเกิดหลังจากที่นางกลับบ้านไปแล้ว ตกเย็นนางจะกลับคฤหาสน์มาร์ควิสทุกวัน หญิงสาวลองสุ่มถามออกไป
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้นหรือคะ”
“ความสามารถในการได้ยินของฝ่าบาทค่อนข้างละเอียดอ่อน แค่เสียงเบาๆ ก็ทำให้พระองค์ตื่นจากบรรทมได้อยู่ร่ำไป เมื่อวันก่อนก็เป็นเช่นนั้นค่ะ แต่ระหว่างที่ตามหาที่มาของเสียงอยู่นั้นก็ไปพบพระจักรพรรดิเข้าน่ะค่ะ”
“…ในตำหนักจักรพรรดินีน่ะหรือคะ”
“ค่ะ”
“นั่นก็…แปลกจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
เปโตรนิยาพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ ในตอนนั้นเองราฟาเอลาที่ยืนเฉยมาจนถึงเมื่อครู่ก็เข้ามาผสมโรงด้วย
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เหตุใดฝ่าบาทถึงประทับอยู่ที่นั่นในเวลานั้น…ที่จริงนี่เป็นเรื่องที่นางกำนัลตำหนักกลางขอร้องไว้ว่าไม่ให้พูด เกรงว่าจะเสื่อมเสียถึงพระเกียรติของฝ่าบาท แต่ข้าเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมพวกนางถึงต้องพูดเช่นนั้น…”
“…ก็…คงมีเหตุผลอยู่กระมัง เหตุผลที่พวกเราไม่ควรสงสัย”
“ใช่ไหมล่ะ?”
“จะว่าไปแล้ว เช่นนั้นริซซี่ก็อยู่กับฝ่าบาททั้งคืนเลยหรือ เอล่า”
“ใช่แล้ว จนกระทั่งก่อนรุ่งสางฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้พาพระจักรพรรดินีกลับมาที่ห้อง”
“…”
เปโตรนิยาทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ราฟาเอลาเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยสงสัยในท่าทีของอีกฝ่าย
“ทำไมหรือ นิล? หรือเจ้ารู้อะไรมา?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เพียงแต่…ข้าคิดว่ามันแปลกก็เท่านั้น แต่เท่าที่ดูแล้วเหมือนจะไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุเลยสินะ”
“ฝ่าบาทเองก็ดูเหมือนจะไม่รู้เช่นกัน ไม่พูดถึงอีกน่าจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ”
“นั่นสินะ หาใช่เรื่องที่เราจะไปขุดคุ้ยให้เป็นเรื่องใหญ่โดยใช่เหตุ”
เปโตรนิยาจบบทสนทนาโดยสมบูรณ์ก่อนจะยกจานใส่ทาร์ตขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หัวหน้าห้องเครื่องเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ อร่อยมากทีเดียว ลองชิมกันดูสิคะ”
“นำไปถวายฝ่าบาทก่อนแล้วพวกเราค่อยทานที่เหลือแล้วกันค่ะ เลดี้เปโตรนิยา”
“ได้เลยค่ะ”
เปโตรนิยายิ้มยิงฟัน รอยยิ้มสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของนางให้ความรู้สึกสดใหม่เหมือนทาร์ต นางเดินไปถึงห้องที่น้องสาวอยู่ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เมื่อแพทริเซียเห็นพี่สาวก็ต้อนรับอย่างยินดี
“นิล”
“ขยันจังนะ เสด็จน้อง”
“ขยันอะไรกันล่ะ”
เปโตรนิยาเดินเข้าไปหาแพทริเซียที่หน้าแดงเหมือนกำลังเขินอาย วางจานใส่ทาร์ตลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยถาม
“ยุ่งมากหรือไม่ หากไม่ยุ่งเกินไปก็มาทานก่อนเถอะ หัวหน้าห้องเครื่องเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ รสชาติเยี่ยมยอด”
“อย่างนั้นหรือ”
แพทริเซียยิ้มกว้างและลุกจากโต๊ะ งานของนางก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไรจึงพอจะมีเวลาให้ได้ลิ้มลองทาร์ตก่อน หญิงสาวเดินเนิบๆ ไปนั่งร่วมโต๊ะกับเปโตรนิยา เมื่อได้ชิมทาร์ตเข้าไปคำหนึ่ง นางก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขในทันใด ช่างหอมหวานนัก
“อา อร่อยจัง ฝีมือของหัวหน้าห้องเครื่องนี่เยี่ยมจริงๆ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
พูดจบ เปโตรนิยาก็หาจังหวะยกเรื่องที่ได้ฟังเมื่อครู่ขึ้นมาพูด
“ริซซี่”
“หืม?”
“ได้ยินว่าคืนก่อนเจ้าพบกับฝ่าบาทหรือ”
“อ๊ะ…เรื่องนั้นนีย่ารู้ได้อย่าง…”
“ไม่สำคัญหรอก ริซซี่”
เปโตรนิยาคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าและพูดต่อ
“มี…เรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เรื่อง…อะไรหรือ”
แพทริเซียรู้สึกประหม่าขึ้นมา อะไรกัน หรือว่านีย่าไปรู้อะไรมา? แพทริเซียรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้และถามกลับไป
“เจ้าพูดถึง…เรื่องอะไรหรือ”
“ก็เรื่องทั่วๆ ไป เรื่องที่ข้าไม่รู้”
“…ไม่มีอะไรหรอก”
ไม่มีความลับระหว่างพี่น้อง ทว่า กฎข้อนั้นมีอันต้องสิ้นสุดลงในวันนี้ แพทริเซียโกหก แต่ไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อใจพี่สาวฝาแฝด นางเพียงแต่ระมัดระวังคำพูดของตนเท่านั้น
ขอเพียงเป็นเรื่องของนาง พี่สาวคนนี้จะคอยช่วยเหลือทุกอย่าง ใส่ใจทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด แพทริเซียไม่อยากพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์กับเปโตรนิยา ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วง และที่สำคัญตัวนางเองก็จำไม่ค่อยได้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่จำได้อย่างแม่นยำมีเพียงความบ้าคลั่งที่ลูซิโอก่อไว้ในคืนนั้น แน่นอนว่าในใจของเปโตรนิยาหมายถึงเรื่องทำนองนั้น แต่แพทริเซียคงไม่มีทางรู้ไปถึงจุดนั้น
“จริงๆ นะ ข้าหลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก”
“…เป็นเช่นนั้นนี่เอง ข้าก็…นึกว่ามีอะไรเสียอีก โล่งอกไปที”
“นิลนี่ล่ะก็ ห่วงข้ามากเกินไปแล้ว นี่ข้าดูเหมือนเด็กที่ถูกทิ้งไว้ริมแม่น้ำหรืออย่างไร”
ทั้งๆ ที่บางครั้งนีย่าเองก็ทำตัวเป็นเด็กเหมือนกันแท้ๆ เปโตรนิยาเห็นแพทริเซียบ่นงึมงำกับตัวเองพลางหัวเราะเบาๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย นั่นสินะ…ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไร ก็คงไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละ เปโตรนิยาสลัดความกังวลใจโดยใช่เหตุทิ้งไปพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
***
หลังจากวันนั้นอาการชักของลูซิโอก็ไม่ได้กำเริบอีก โชคดีที่อาการชักไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับการฝันร้าย หากอาการกำเริบติดต่อกัน คงมีข่าวลือว่า ‘จักรพรรดิวิปลาส’ แพร่สะพัดไปทั่วในทันที
เพื่อป้องกันอะไรก็ตามที่จะมาสั่นคลอนอำนาจในการปกครองของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ตราบใดที่ยังไม่ตาย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคอยปิดปากข้ารับใช้ในวังไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้เท่านั้น นั่นคือความคิดของลูซิโอ และเพราะจัดการได้ดี จึงมีข้ารับใช้ที่ทำงานใกล้ชิดเขาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
นับจากวันนั้นที่อาการชักกำเริบ ลูซิโอก็ปวดหัวข้างเดียวเป็นพักๆ อยู่สองสามวัน นี่เป็นอาการที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ด้วยยา ลูซิโอจึงนอนกลางวันและออกมาเดินเล่นคนเดียวในตอนกลางคืน เขารู้สึกว่าลมเย็นๆ ในตอนกลางคืนช่วยให้หัวสมองปลอดโปร่งขึ้น และในบางครั้งแสงขาวนวลของดวงจันทร์ก็ช่วยรักษาอาการที่ยารักษาไม่ได้
คล้ายว่าเป็นตลกร้ายที่สถานที่ที่เขาไปเดินเล่นบ่อยที่สุดคือสวนดอกไม้ที่แพทริเซียโปรดปรานทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ แน่นอนว่าแพทริเซียไม่รู้เรื่องนี้ และตัวลูซิโอเองก็คิดว่าการพบกันระหว่างเขาและนางเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
แพทริเซียชอบสวนดอกไม้นั้นเพราะความสวยงามของมัน แต่สาเหตุที่ลูซิโอไปที่นั่นบ่อยๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลเช่นนั้น แต่เป็นเหตุผลทางด้านจิตใจที่ลึกซึ้งกว่าเหตุผลของแพทริเซีย สำหรับแพทริเซีย ต่อให้ไม่ใช่สวนแห่งนี้ นางก็ยังไปสวนอื่นใดก็ได้ แต่สำหรับลูซิโอต้องเป็นสวนนี้เท่านั้น เป็นสถานที่พักผ่อนเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีสอง
อย่างไรก็ดี ยามใดที่นึกขึ้นได้ พวกเขาก็มักจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันทุกครั้งไป ดังนั้น การพบกันของทั้งคู่จึงแทบจะกลายเป็นเรื่องที่แน่นอนไปเสียแล้ว
“…”
“…”
คนสองคนได้พบกันแต่กลับไม่เอ่ยคำพูดใด ลูซิโอดูตกใจซึ่งแพทริเซียเองก็เช่นกัน มาที่สวนแห่งนี้ทีไร ไม่รู้ทำไมถึงต้องเจออีกฝ่ายเสียทุกครั้งไป แม้ภายนอกแพทริเซียจะไม่ได้แสดงอาการลำบากใจออกไป แต่ภายในกลับรู้สึกทำตัวไม่ถูก
แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดี ข้าควรหลบออกไปหรือไม่ ข้าต้องเป็นฝ่ายออกไปจากสวนแห่งนี้ก่อนไหม แววตาของแพทริเซียฉายความลังเลใจขณะถอนฝีเท้าออกมา การเดินผ่านเขาไปทั้งอย่างนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แพทริเซียก้าวเท้าเนิบๆ ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก
“เจ้าหลบหน้าเราหรือ”
“…”
ลูซิโอเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน แม้แพทริเซียอยากจะหลบออกไปเสีย แต่สิ่งที่เขาพูดก็ดันเป็นเรื่องการหลบเลี่ยง แบบนี้นางก็เดินจากไปเฉยๆ ไม่ได้น่ะสิ แพทริเซียหลับตาแน่นพลางเอ่ยตอบ
“…ฝ่ายที่ต้องทำเช่นนั้นอย่างน้อยก็คงไม่ใช่หม่อมฉันกระมังเพคะ”
“เช่นนั้นต้องเป็นเราหรือ”
“…”
ไม่รู้สิ ได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้น แพทริเซียก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นนางควรเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงหรือ? ขณะที่แพทริเซียกำลังลังเลใจกับคำตอบที่คลุมเครือ ลูซิโอก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“มิเช่นนั้นก็เป็นเราทั้งคู่?”
“หม่อมฉันคิดว่าการที่ฝ่าบาทจะหลบเลี่ยงอาจไม่เป็นที่น่ายินดีนัก เพราะนั่นอาจเสื่อมเสียไปถึงพระเกียรติของพระองค์”
แพทริเซียพูดยืดยาวก่อนจะค่อยๆ หันไปมองด้านข้าง นางเห็นใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย คืนนี้ไม่มีทั้งแสงจันทร์และแสงดาว ใบหน้าของเขาจึงมีเพียงความมืดมิด
“บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่หม่อมฉันควรจะหลบเลี่ยงพระองค์ก่อนเพคะ”
“เจ้าด่วนสรุปไปหน่อยนะ หรือบางทีอาจเป็นเพียงการปัดความรับผิดชอบ”
“…”
แพทริเซียคิดว่าอาจจะจริงอย่างที่เขาว่า แต่นางจะหลบหน้าเขาด้วยเหตุผลอะไรล่ะ นางไม่ได้ไม่พอใจเขา เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น ไม่พอใจกับไม่สบายใจเขียนต่างกันเพียงคำเดียวแต่มีความหมายต่างกันอย่างชัดเจน อย่างน้อยนางก็ไม่ได้หงุดหงิดใจเพราะเขา เพียงแต่รู้สึกประหม่าและไม่เป็นธรรมชาติเท่านั้น หากนาง ‘ไม่พอใจ’ อีกฝ่ายขึ้นมาคงเป็นเรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรในวันข้างหน้านางและเขาก็ต้องถูกเนื้อต้องตัวกันเพื่อให้กำเนิดทายาทมิใช่หรือ
เพราะฉะนั้น คิดเสียว่านางรู้สึกไม่คุ้นเคยก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแล้วกระมัง เป็นความรู้สึกเดียวกับการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า แม้จะบอกว่าไม่ได้ไม่พอใจ แต่ก็ใช่ว่านางจะพอใจ มันเป็นเพียงความรู้สึกแปลกแยก หรือไม่เป็นธรรมชาติ
“แล้วมิใช่หรือเพคะ”
นางคงทำได้เพียงแต่ถามกลับไปว่า ‘ก็ข้ารู้สึกกับท่านแบบนี้ แล้วท่านมิได้รู้สึกเหมือนกันหรอกหรือ?’
“…อย่างน้อยเราก็ไม่คิดว่าพวกเราสองคนจะต้องหนีหน้ากัน”
“…”
“มิใช่หรือ”
“ก็…อาจเป็นเช่นนั้นเพคะ”
และแล้วแพทริเซียก็หันไปมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา ลูซิโอเองก็หันกายมามองนางเช่นกัน คืนนี้ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงจันทร์และแสงดาว คนทั้งคู่จึงเห็นตา จมูก และปากของกันและกันเพียงเลือนรางเท่านั้น แพทริเซียเผยอปากคล้ายจะเอ่ยบางสิ่งแต่ลูซิโอกลับไวกว่า
“เจ้าจำ…”
“…”
“ตอนนั้นได้หรือไม่”
“…”
แพทริเซียแทบลืมหายใจเมื่อรับรู้ได้ว่า ‘ตอนนั้น’ ที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงเมื่อไม่กี่คืนก่อน หญิงสาวพยักหน้านิ่งๆ
“ตอนนั้น…เราน่ากลัวหรือไม่” เขาเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“หม่อมฉัน…ไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสถึงเรื่องอันใด”
แพทริเซียรู้สึกตกใจกับคำถามที่ไม่คาดคิด แต่ลูซิโอก็ถามต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เราเผยทุกสิ่งให้เจ้าเห็นหมดแล้ว แม้กระทั่งจุดที่ตกต่ำที่สุด สิ่งที่เจ้าเห็นหาใช่ความฝัน”
“…”
“ตอนนี้เรากำลังถามเจ้าว่าเห็นเราคลุ้มคลั่งเช่นนั้นแล้ว เจ้ามิกลัวหรือ”
“เหมือนกับว่าทรงอยากให้หม่อมฉันกลัวพระองค์เลยนะเพคะ”
“…หา?”
“ดูเหมือน…จะเป็นเช่นนั้นเพคะ เหมือนทรงอยากให้หม่อมฉันกลัวพระองค์ อยากให้หม่อมฉันพูดว่าพระองค์น่ากลัว อยากให้หม่อมฉันมีปฏิกิริยาเช่นนั้น” แพทริเซียพูดเสียงเรียบ
“…”
“หม่อมฉันแปลกใช่ไหมเพคะ”
ข้าจะไม่กลัวได้อย่างไร ตราบใดที่ข้ายังเป็นมนุษย์ธรรมดา ครั้นสิ้นคำถามของแพทริเซีย ลูซิโอก็เงียบไปครู่หนึ่ง หญิงสาวรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าจิตใจของเขากำลังปั่นป่วน นางจึงรอจนกว่าเขาจะสงบใจได้ และเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่นางก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เห็นภาพเช่นนั้นแล้วคงไม่มีใครไม่หวาดกลัวและหวาดหวั่นหรอกเพคะ เพียงแต่…”
“…”
“น่าแปลกที่หูของหม่อมฉันฟังคำถามของฝ่าบาทแล้วรู้สึกว่ายังมีความนัยอื่นแฝงอยู่”
“…”
“หม่อมฉันพูดผิดหรือไม่เพคะ”