Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 6 ไทเฮามีรางวัล
โลกนั้นอนิจจัง
คุณหนูจวินคิดถึงคำที่อาจารย์เคยพูด อาจารย์บอกว่านี่เป็นคำที่ภิกษุคนหนึ่งเคยเอ่ยไว้
อาจารย์บอกว่าคำพูดที่ภิกษุพูดส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำโกหก แต่ประโยคนี้พูดไปยังนับว่าเป็นคำพูดจริง
ชีวิตคือเวลา โลกคือสถานที่ เวลาต่าง สถานที่ต่าง ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
นางไม่ใช่องค์หญิงจิ่วหลิงแล้ว นางก็ไม่ใช่ท่านย่าของนางแล้วด้วย
นางเป็นชาวบ้าน นางเป็นไทเฮา
นางต้องเคารพนาง ส่วนนางไม่ต้องเกรงใจคุ้มครองนาง
ดังนั้นความไม่เกรงใจของคำพูดนี้ คำพูดนี้ไม่เกรงใจก็สมเหตุสมผล
คุณหนูจวินหลุบตายิ้ม
“กฎกำหนดจากชะตา กฎใหญ่เพียงใดก็ใหญ่ไม่เท่าชะตา” นางเอ่ย ย่อเข่าคำนับไทเฮาอีกครั้ง “องค์ไทเฮาชะตากำหนดให้พบลางร้ายก็กลับกลายเป็นดี”
องค์ไทเฮาอึ้งไปจากนั้นก็หัวเราะแล้ว
“เป็นหมอเทวดาจริงๆ พูดเก่งจริงๆ” นางเอ่ย “ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าชมข้าหรือว่าชมตัวเจ้าเอง”
มองเห็นไทเฮาหัวเราะ บรรดาสนมชั้นเฟยชั้นผินและท่านหญิงบรรดาศักดิ์รอบด้านล้วนรีบหัวเราะตาม
“นี่เป็นคำชมได้อย่างไรเล่าเพคะ” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวหัวเราะเอ่ย “องค์ไทเฮาชะตาของท่านสูงส่งยิ่งนัก นี่เป็นความจริง”
ไทเฮาหัวเราะอีกครั้ง
“ข้ารู้ทันเจ้า เจ้าเข้าข้างนาง” นางเอ่ย มองท่านหญิงผู้ฒ่าติ้งหยวนโหวอย่างมีความนัยลึกล้ำทีหนึ่ง
ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวยิ้มคำนับ
“พระนางทรงปราดเปื่อง ที่สำคัญคือข้าเคยได้รับประโยชน์จากนาง” นางหัวเราะเอ่ย
คำพูดนี้ของนางหนึ่งคำสองนัย คนที่อยู่ที่นั้นล้วนรู้ เคยได้ประโยชน์จากที่คุณหนูจวินรักษา แล้วรู้ความร้ายกาจของวิชาแพทย์ของคุณหนูจวิน ดังนั้นจึงอดไม่ได้เอ่ยชม
ไทเฮายิ้มไม่เอ่ยคำพูดยื่นมืออกมา
“คุณหนูจวิน ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากเจ้าดูข้าหน่อยแล้ว” นางเอ่ย
นี่คือจะให้จับชีพจรแล้ว
นางกำนัลด้านข้างนำพนักพิงกับเบาะมา คุณหนูจวินมองเบาะ
ก่อนหน้านี้นานนักนางก็เคยเป็นเช่นนี้ต่อหน้าไทเฮามาก่อน
นางงอเข่าคุกเข่าบนเบาะ ยื่นมืออกมา
“ท่านย่า ข้าอยากกินอันนี้”
เด็กน้อยคนหนึ่งก็เคยคุกเข่าบนเบาะเช่นนี้ ยื่นมืออกไปเอนตัวค้ำพนักพิงเอ่ยกับไทเฮาอย่างสบายๆ ตามใจอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์
คุณหนูจวินวางมือบนข้อมือของไทเฮาหลุบตาลงตั้งสมาธิ
ด้านในโถงตำหนักมีเสียงคุยเล่นเบาๆ ต่อเนื่อง
“…สุรานี่รสดีอยู่นะ…”
“…เป็นของที่หมักในวัง…ตอนกลับขอมาสักหส่อย…”
นี่เป็นบทสนทนาของบรรดาท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์
สุราที่หมักในวังรสชาติดีนักจริงๆ ตอนนั้นยังเคยหมักสุราผลไม้ที่ผู้หญิงดื่มให้นางกับพี่สาวโดยเฉพาะ
“….น้องสาวเปลี่ยนที่พำนักแล้ว? ย้ายไปหอซือเสียนแล้วรึ?”
“…ใช่แล้วที่นั่นใกล้สวนดอกไม้อวี้ฮวา ฤดูใบไม้ผลิต้องสวยมากแน่…”
นี่เป็นบทสนทนาของบรรดาองค์หญิง
หอซือเสียนความจริงไม่เหมาะให้คนอาศัยอยู่ นั่นเป็นสถานที่ฝึกคัดอักษรก่อนหน้านี้ของพี่สาว
ทุกสิ่งที่เคยเป็นของพวกนางล้วนไม่มีแล้ว เปลี่ยนเจ้านายใหม่แล้ว
คุณหนูจวินรั้งมือกลับ
“เป็นอย่างไร?” ฮองเฮาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยด้านข้าง
“น้ำแกงปรุงรสที่องค์ไทเฮาเสวยเมื่อคืนวานหลังจากนี้ไม่เสวยจะดีกว่าเพคะ” คุณหนูจวินเอ่ย “ไม่เช่นนั้นอาการไอยามค่ำคืนนี้คงยังต้องเป็นต่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง”
คำพูดนี้ออกมาฮองเฮาก็ร้องเอ๋ ไทเฮาก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ คนที่ล้อมรอบด้านเข้าใจว่าคุณหนูจวินคนนี้พูดถูกแล้ว
“จับชีพจรถึงกับตรวจรู้ว่ากินอะไรเชียวหรือ?” องค์หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างไทเฮาอดไม่ได้เอ่ยถาม
นี่เป็นธิดาคนที่สี่ของฮ่องเต้ องค์หญิงเฟิงผิง ปีนี้อายุสิบพรรษา
“บางครั้งก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ย
องค์หญิงเฟิงผิงกอดแขนไทเฮาทันที
“ท่านย่า ท่านย่า ข้าก็จะจับชีพจรด้วย” นางเอ่ย “ให้นางทายว่าเมื่อคืนวานข้ากินอะไร”
ฮองเฮาท่าทางเคร่งเครียดอยู่บ้าง
“อย่าก่อเรื่อง” นางตรัส
ในฐานะลูกสะใภ้ที่เพิ่งมาอยู่ต่อหน้าแม่สามีได้ไม่กี่ปีคนหนึ่ง ฮองเฮาอยู่ต่อหน้าไทเฮายังคงยากเลี่ยงระมัดระวังและหวาดกลัว
ไทเฮากลับไม่ได้สนใจนาง ยื่นมือแตะปลายจมูกขององค์หญิงเฟิงผิง
“เอาสิ ถ้าคุณหนูจวินทายถูก เจ้าจะพระราชทานรางวัลอะไรให้นาง?” นางตรัสขึ้น
ดูท่าคงเป็นสายเลือดห่างรุ่น ไทเฮามักจะรักรุ่นหลานอยู่เสมอ
องค์หญิงเฟิงผิงมองคุณหนูจวิน ท่าทางหยิ่งยโส
“ข้าจะพระราชทานขนมกุ้ยฮวากล่องหนึ่งให้นาง” นางเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มคำนับให้นาง
“ขอบพระทัยองค์หญิง” นางเอ่ย
“นี่เป็นถึงขนมกุ้ยฮวาที่วังของข้าทำขึ้นมาโดยเฉพาะเชียวนะ ที่อื่นหาทานไม่ได้” องค์หญิงเฟิงผิงเอ่ยขึ้นท่าทางอวดอยู่บ้าง
คุณหนูจวินเอ่ยขอบพระทัยอีกครั้ง
“เจ้าอย่าเพิ่งขอบพระทัย คว้าได้หรือไม่ยังไม่แน่นะ” องค์หญิงเฟิงผิงเอ่ย ตอนที่นั่งลงข้างไทเฮาก็ยื่นมือออกมา
คุณหนูจวินจับชีพจรครู่หนึ่ง
“องค์หญิงค่ำเมื่อวานทานเป็ดย่างมากอยู่บ้าง” นางเอ่ยพึมพำ “เกรงว่าวันนี้ตอนเช้าคงไม่ค่อยอยากเสวยพระกระยาหาร”
องค์หญิงเฟิงผิงร้องเอ๋ ไทเฮาลูบหัวไหล่นาง
“นางพูดถูกรึ?” นางยิ้มเอ่ยถาม
องค์หยิงเฟิงผิงพยักหน้าหลายทีไกวแขนของไทเฮา
“นางเดาถูกจริงๆ เดาถูกจริงๆ” นางเอ่ย
“นี่ย่อมไม่ใช่เดา” ไทเฮาเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวิน สีหน้าปกติ “คุณหนูจวินวิชาแพทย์สูงส่ง”
นี่เป็นคำชมสูงที่สุดแล้ว ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวคิดอยากเตือนสักหน่อย คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็คำนับขอบพระทัยไปแล้ว
“ท่านย่า ท่านย่า ข้าก็อยากจับชีพจร” องค์หญิงหลายคนก็ล้อมเข้ามาหมด
ไทเฮากลับกวาดมองพวกนางเคร่งขรึมทีหนึ่ง เสียงของบรรดาองค์หญิงพลันหยุดลงทันทีสายตาของไทเฮามองไปทางผู้คนในตำหนักอีกครั้ง
“คุณหนูจวินเป็นหมอ รักษาโรคช่วยคน ไม่ใช่คนที่ให้พวกเจ้ามาเล่นด้วย” นางเอ่ย “คุณหนูจวินรักษาไหวอ๋องหายดี รักษาสายเลือดของอดีตองค์รัชทายาทไว้ คุณงามความชอบประมาณไม่ได้ ข้าย่อมให้รางวัลอย่างงาม”
ผู้คนด้านในตำหนักได้ยินเข้าก็คุกเข่าลง
“ถวายพระพรไทเฮา ยินดีกับไทเฮา” พวกนางเอ่ยพร้อมเพรียง
คุณหนูจวินย่อมคุกเข่าตามด้วย หลังผู้อื่นลุกขึ้นนางก็ยังคงคุกเข่าอยู่ มองดูเหล่าขันทียกรางวัลพระราชทานที่เตรียมไว้ก่อนนานแล้วออกมาทีละอย่าง
“องค์ไทเฮาพระราชทานหยกสมปรารถนาหนึ่งคู่”
“องค์ไทเฮาพระราชทานฉากกั้นลมแก้วหนึ่งบาน”
“องค์ฮองเฮาพระราชทานผ้าไหมวังทุกสิ่งสมปรารถนาสี่พับ”
“องค์ฮองเฮาพระราชทานบุปผาหยกหนึ่งคู่”
พร้อมกับเสียงประกาศทีละอย่างๆ พร้อมกับสายตาอิจฉา นับถือและชื่นชมรอบด้าน คุณหนูจวินโขกศีรษะ
“ขอบพระทัยพระกรุณาอันล้นพ้นของพระนาง” นางก้มตัวกับพื้น หน้าผากแนบติดกับพื้นเย็นเยียบเวววาว
…
มีพระราชทานรางวัลเบื้องหน้าพระพักตร์ไทเฮากับฮองเฮาต่อหน้าผู้คน คุณหนูจวินที่เดินออกมาจากตำหนักบรรทมของไทเฮาถูกคนมากกว่าเดิมรุมล้อมแล้ว
“นี่นับเป็นรักษาตามรับสั่งหรือ?” ท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์คนหนึ่งยิ้มเอ่ย “องค์ไทเฮาเอ่ยกับพระโอษฐ์ว่าเจ้าเป็นหมอ รักษาโรคช่วยคน ไม่ใช่คนที่ให้คนมาเล่นด้วย”
คนรอบด้านล้วนยิ้มพยักหน้าพากันเอ่ยว่าใช่ พร้อมกันนั้นก็เชิญคุณหนูจวินมาเที่ยวเล่นที่บ้านในเดือนหนึ่ง
นี่หมายความว่านางได้รับการยอมรับจากบรรดาผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองหลวงแล้ว
“ข้าเป็นหมอคนหนึ่ง ไม่อาจไปเป็นแขกตามใจได้” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “แล้วก็ต้องดูด้วยว่าไปได้หรือไม่”
บรรดาท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์รอบด้านหัวเราะแล้ว
“เจ้าพูดเช่นนี้พวกเราล้วนไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่ดีใจที่เจ้ามา”
คุยเล่นกันมาถึงด้านนอกประตูวังอย่างรวดเร็วยิ่ง บรรดาชายหนุ่มตระกูลต่างๆ ด้านนอกประตูหวังล้วนรอคอยสตรีของบ้านตนเอง ดูไปแล้วอลหม่านอยู่บ้าง
คุณหนูจวินมองทีเดียวก็เห็นจูจั้นท่ามกลางความอลหม่านนี้
เขากำลังยืนพูดกับชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งอยู่ เหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองข้ามมา
สายตาของทั้งสองคนประสานกัน คุณหนูจวินยิ้มให้เขา
จูจั้นทำหน้ารังเกียจ หันหน้าหนีไป
คุณหนูจวินกำลังลังเลว่าจะไปเอ่ยสักประโยคกับเขาดีหรือไม่ จูจั้นพลันตบม้าเอ่ยอะไรประโยคหนึ่ง ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งก็ขึ้นม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
……………………………………….