Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 13 ไม่ใช้ก็ได้
ทำอะไรน่ะ?
จะบุกค้นสำนักแพทย์หลวงหรือ?
สำนักแพทย์หลวงไม่ใช่บ้านของใคร จะถูกบุกค้นได้อย่างไร
บรรดาหมอหลวงที่ยังคงหัวเราะอยู่ในห้องโถงฉับพลันมองเห็นองครักษ์เสื้อแพรที่พุ่งเข้ามาตกใจสะดุ้งโหยง กระทั่งสักประโยคก็ไม่ให้พูด ถูกทุบตีไล่ออกมา
บรรดาหมอหลวงไม่ได้เห็นองครักษ์เสื้อแพรทำแบบนี้มาครั้งแรก แต่ตนเองประสบเองเป็นครั้งแรก
ท่านหมอเกิ่งมององครักษ์เสื้อแพรคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า ช่วงก่อนหน้านี้เขาไปสอบถามเรื่องของโรงหมอจิ่วหลิงก็ติดต่อกับองครักษ์เสื้อแพรคนนี้ เวลานั้นสีหน้าของเขาแม้เย็นชาแต่ท่าทีก็มีมารยาทอย่างมาก
บางครั้งบนถนนพบกันยังทักทาย
แต่มาวันนี้กลับท่าทางประหนึ่งไม่รู้จักคน ตนเองเพิ่งอ้าปากตะโกนเรียกพี่เหวิน ก็ถูกเขาเอาฝักดาบตีหมอบลงบนพื้นแล้ว
“รีบไป รีบไป”
ท่านหมอเกิ่งถูกตีดวงตาเห็นดาวทอง ทั้งยังถูกหิ้วขึ้นมาอย่างน่าอเนจอนาถ โซซัดโซเซผลักไล่ไปด้านนอก
องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เป็นพวกญาติมิตรไม่รู้จักตัดรอนไร้หัวใจจริงๆ
หมอหลวงกลุ่มหนึ่งถูกขับไล่มาถึงนอกประตูทีละคนๆ สีหน้าหวาดกลัวหน้าตาดูไม่ได้
เจียงโหย่วซู่พอประคับประคองหน้าตาไว้ได้ มองลู่อวิ๋นฉีที่ปากทางเข้าประตูอย่างโกรธแค้น
“ใต้เท้าลู่ พวกเราทำผิดอะไร?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่ได้ทำผิด” ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิทเอ่ย “เชิญพวกเจ้าไปทำงานเท่านั้น”
อะไร?
บรรดาหมอหลวงสีหน้าประหลาดใจ
เชิญพวกเขาไปทำงาน?
พวกเขาก้มศีรษะมองสภาพอเนจอนาถของตนเอง เชิญคนแบบนี้ได้รึ?
แต่องครักษ์เสื้อแพรคนพวกนี้ไม่อาจถกเหตุผลปกติกับเขาได้
เจียงโหย่วซู่สูดหายใจลึกทีหนึ่ง
“ใต้เท้าลู่มีอะไรสั่งหรือ?” เขายังคงเอ่ยอย่างสงบ
“ไปนอกเมืองรักษาฝีดาษ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเสียงเรียบ
เจียงโหย่วซู่ตะลึง บรรดาหมอหลวงที่อยู่ที่นั่นก็ตะลึงเช่นกัน หลังจากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปยังทิศหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ริมถนนตรงปากทางเข้าประตู
ที่จริงตอนเพิ่งออกมาพวกเขาก็มองเห็นเด็กสาวคนนี้แล้ว แต่ไม่ได้สนใจ ไม่ทันสนใจด้วย ยังไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือองครักษ์เสื้อแพรจะมีจุดจบอย่างไรเลยแหนะ ไหนเลยจะไปคิดว่าเด็กสาวคนนี้อยู่ที่นี่ทำอะไร
เด็กสาวคนนี้อยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกอะไร เห็นพวกเขาโชคร้ายมีความสุขกับหายนะของผู้อื่นน่ะสิ
แต่ตอนนี้ดูท่า…
เจียงโหย่วซู่พยายามรักษาความสงบ บนหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สายตามองลู่อวิ๋นฉีแล้วมองคุณหนูจวิน
พูดเช่นนี้หลังคุณหนูจวินถูกพวกเขากลั่นแกล้งไล่ออกมาก็ไปฟ้องขอความช่วยเหลือกับองครักษ์เสื้อแพรรึ?
บรรดาหมอหลวงคิดทันแล้ว มองข้ามมาหาคุณหนูจวินสีหน้าโกรธแค้น
เจียงโหย่วซู่ก็โกรธแค้น แต่นอกจากโกรธแค้นยังมีความไม่เข้าใจด้วย
หากบอกว่าคุณหนูจวินเอาราชโองการไปฟ้องกรมอื่น อย่างเช่นกรมทหารม้าอะไรก็ยังไม่แปลกอะไร แต่หาลู่อวิ๋นฉีที่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือฟ้องร้อง…
นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงลู่อวิ๋นฉีนอกจากฮ่องเต้สั่งโดยตรง คำพูดของผู้อื่นในสายตาเขาล้วนเป็นมูลสุนัข ลู่อวิ๋นฉีคนนี้ยังมีความแค้นกับคุณหนูจวินด้วย
คุณหนูจวินเสียใจเป็นบ้าคิดว่าราชโองการอยู่ในมือไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ไปชี้สั่งลู่อวิ๋นฉี
แต่ลู่อวิ๋นฉีก็น่าชังเห็นคุณหนูจวินทำงานพังแทบจะทนไม่ไหวสิ ทำไมฟังนางสั่ง มาสร้างความลำบากให้พวกเขาหมอหลวงเหล่านี้จริงๆ เล่า?
สงสารผู้ป่วยฝีดาษข้างนอก? หรือซาบซึ้งที่คุณหนูจวินรักษาน้องภรรยาของเขาหายดี? ล้อเล่นอะไร ลู่อวิ๋นฉียังไม่ได้เป็นบ้าเสียหน่อย
ถ้าอย่างนั้นนี่ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ใต้เท้าลู่ พวกเราไม่ใช่ไม่ไปนะ”
“นี่มีคนมาให้ตรวจรักษาแล้ว พวกเรายังไงก็ไม่อาจทิ้งคนป่วยไม่ดูแลได้ใช่ไหม?”
“หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นคงต้องลำบากคุณหนูจวินไปพูดกับผู้อื่นสักคำแล้วไหม”
บรรดาหมอหลวงรู้ว่าไม่ใช่เพราะตนเองทำความผิด ในใจก็สงบลง ทั้งยังพากันเอ่ยอย่างโกรธแค้นทั้งได้รับความอยุติธรรม
ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ
“ให้พวกเจ้าพูดไร้สาระมากเช่นนี้รึ!” หัวหน้ากองร้อยเจียงตวาดเอ่ย
พร้อมกับเสียงด่าของเขา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็พุ่งเข้าไปเงื้อดาบในมือเข้าใส่ศีรษะใบหน้าของหมอหลวงเหล่านี้ทันที
พูดจาไม่เข้าหูก็จะตีคนจริงๆ!
บรรดาหมอหลวงร้องตกใจร้องเจ็บปวดหยุดพูด
เจียงโหย่วซู่โกรธจนสั่น กำลังจะเอ่ยปากด่า องครักษ์เสื้อแพรด้านข้างก็มองเขาอย่างมาดร้าย ดาบในมือจะร่วงลงมา
กับเดรัจฉานบ้าฝูงนี้ไม่อาจพูดเหตุผลได้อย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามจะมีแต่ทำให้ตนเองยิ่งลำบาก
เจียงโหย่วซู่กลืนคำพูดลงไปทั้งอย่างนั้น
“ให้พวกเจ้าทำงานก็ทำงาน พูดพร่ำไร้สาระ” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยด่า “ใครถามพวกเจ้าว่าทำไม”
พูดจบก็โบกมือ
“ไป ฟังคุณหนูจวินแจกงาน”
พร้อมกับคำพูดของเขา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็ยกดาบในมือขึ้นอีกครั้ง
“ไป” พวกเขาตวาดเอ่ยพร้อมกัน
ประหนึ่งไล่ฝูงแกะ
บรรดาหมอหลวงไม่อยากไปก็กลัวถูกตี ทั้งโกรธทั้งกลัวตัวสั่นระริก
คุณหนูจวินดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
“พอแล้ว” นางเอ่ย มองลู่อวิ๋นฉี “ขอบคุณใต้เท้าลู่มาก เพียงแต่คนเหล่านี้ข้าไม่ใช้”
ไม่ใช้?
ในที่นั้นเงียบลง สายตาล้วนมองมาทางนาง
ลู่อวิ๋นฉีก็มองนางเช่นกัน
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่รมถนน สีหน้านิ่งสงบ แต่ปิดความยโสในกระดูกไม่มิด
ไม่ นั่นไม่ใช่ความยโส แต่เป็นความทะนง
“เจ้าใช้ได้” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินไม่มองเขาอีก กวาดตาผ่านหมอหลวงที่ถูกไล่เหล่านั้น
“ข้าย่อมมีคนให้ใช้” นางเอ่ย “ไม่ใช้พวกเขาก็ได้”
พูดจบหมุนตัวจากไป
หลิ่วเอ๋อร์เชิดหน้าแค่นเสียงเหอะใส่พวกเขา
“ไม่ใช้ก็ได้” นาเงอ่ย หมุนตัวตามไป
หน้าสำนักแพทย์หลวงตกอยู่ในความเงียบ
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองลู่อวิ๋นฉี
มุมปากลู่อวิ๋นฉีโค้งหลุบตาลงหมุนตัวขึ้นม้า
“ไป” หัวหน้ากองร้อยเจียงอดกลั้นความตื่นตะลึงในใจ ยกมือส่งสัญญาณ
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรขึ้นม้าพรึบพรับห้อมล้อมลู่อวิ๋นฉีขี่เร็วไวจากไปดุจสายลมหอบหนึ่ง
หน้าสำนักแพทย์หลวงเงียบสงัดไปหมด บรรดาหมอหลวงที่บอกได้ว่าสะบักสะบอมกลุ่มหนึ่งยืนงงอยู่ที่เดิม
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ข้าเป็นใคร?
ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน?
คนทั้งหมดในใจมีเพียงความคิดนี้ความคิดเดียว
เมื่อครู่เป็นฝันร้ายตื่นหนึ่งหรือ?
“ทำข้าโกรธแทบตายแล้วจริงๆ” เจียงโหย่วซู่พลันตะโกนขึ้นมา
เสียงนี้ทำให้บรรดาหมอหลวงคนอื่นตกใจตื่นมาจากฝันร้ายด้วย
“รังแกคนหนักหนาเกินไปแล้ว!”
“ข้าจะ ข้าจะฟ้องฮ่องเต้!”
“เอวข้าถูกตีหักแล้ว!”
“สวรรค์อา! ยังมีกฏจักรพรรดิอยู่หรือไม่!”
ด้านหน้าสำนักแพทย์หลวงเสียงร้องไห้เสียงตะโกนดังขึ้น บรรดาลูกศิษย์ขุนนางผู้น้อยที่หลบไปตอนนี้ถึงวิ่งออกมาตัวสั่นระริก
“นี่เป็นคุณหนูจวินคนนั้นอาศัยราชโองการใช้อำนาจบาตรใหญ่ อาศัยงานส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวรังแกพวกเรา” เจียงโหย่วซู่เอ่ยเสียงสั่น
“พูดเช่นนี้องครักษ์เสื้อแพรถูกนางชี้สั่งรึ?
หมอหลวงคนหนึ่งถูตาเอ่ย
“แน่นอน” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
หรือจะเป็นลู่อวิ๋นฉียินดีออกหน้าให้นางเองได้หรือ?
แต่ดูไปแล้วก็เหมือนอยู่นะ…
“หัวหน้ากองพันลู่ย่อมถูกราชโองการบังคับสิ” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
เช่นนี้ถึงแสดงว่าเด็กสาวคนนี้โอหังเพียงไร กระทั่งองครักษ์เสื้อแพรยังถูกนางบังคับ
ลู่อวิ๋นฉีย่อมต้องเพราะมีสาเหตุสักประการถึงทำเช่นนี้
นี่หากรายงานไปถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ถึงได้ผลยิ่งกว่า
ต้องใช่แน่
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราตอนนี้ไปฟ้องร้อง ไปฟ้องร้องนาง” หมอหลวงคนหนึ่งกุมหน้าเอ่ย เมื่อครู่ท่ามกลางความโกลาหลถูกฝักดาบฟาดเข้า เวลานี้ใบหน้าบวมขึ้นมาแล้ว
หากเป็นการเล่นละครพวกองครักษ์เสื้อแพรก็เล่นจริงเกินไปหน่อยแล้ว
“ตอนนี้ไม่ต้อง รอนางรักษาฝีดาษเสร็จค่อยว่ากัน” เจียงโหย่วซู่เอย มองดูเงาแผ่นหลังของเด็กสาวที่เดินไปไกลบนถนนสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งด้วยความชิงชัง
พวกเราจะได้เห็นดีกัน!
……………………………………….
“คุณหนู ท่านไม่ใช้หมอหลวงเหล่านั้นจริงหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์ตามนาง อดไม่ได้เอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะใช้พวกเขา” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ๋าทีหนึ่ง ทำหน้าไม่เข้าใจ
ถ้าอย่างนั้นยังไปเชิญพวกเขาทำไม?
คุณหนูจวินมองนางยิ้มทีหนึ่ง
“ก็แค่ให้โอกาสพวกเขาได้สำนึกเสียใจ” นางเอ่ย
โอกาสสำนึกเสียใจ?
คุณหนูยิ่งซุกซนขึ้นทุกทีแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปที่ไหนตามหาคนช่วยล่ะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย “หรือไม่ท่านสอนข้าเถอะ”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ หมอมากไป” นางเอย “เรื่องดีขนาดนี้ โอกาสดีขนาดนี้ อยากได้คนมีมากไป”
นางพูดหยุดเท้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์ตามอยู่ก็หยุดมองข้ามไป มองเห็นร้านแห่งหนึ่งแขวนป้ายสำนักอยู่
โรงหมอไป๋เฉ่า
มองจากประตูเข้าไปด้านใน ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะคร่ำเคร่ง ตั้งใจพลิกอ่านตำราแพทย์
……………………………………….