Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 111 บ้านเป็นสถานที่สบายใจ
เพราะเดินทางไกลกลับมาเหน็ดเหนื่อย นายหญิงผู้เฒ่าฟางจึงไม่ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โต ถึงขั้นไม่ได้รั้งคุณหนูจวินให้ทานอาหาร
“กินอะไรง่ายๆ สักคำแล้วก็รีบไปพักผ่อนเถอะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย
“ท่านย่า ไม่ให้ทุกคนเล่าเรื่องเก่ากันหรือ?” ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะเอ่ย “น้องสาวทำเรื่องมากมายปานนี้ ทุกคนล้วนอยากรู้นะ”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง
“อยากรู้อะไร ยังมีอะไรไม่รู้อีก เรื่องเหล่านี้นางทำแล้วก็คือนางทำแล้ว” นางเอ่ย “นางทำแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำ ที่ทำก็ถูกต้อง”
ไม่ว่าเรื่องอะไร นางทำแล้วย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร ไม่ต้องสอบถามไม่ต้องคาดเดายิ่งไม่ต้องตำหนิ
คำพูดนี้ปกป้องคนในครอบครัว ปกป้องได้เต็มปากเต็มคำไม่สนเหตุผล
คนในห้องล้วนหัวเราะขึ้นมา คุณหนูจวินก็ยิ้มด้วย
“เอาล่ะรีบไปพักผ่อนเถอะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเอ่ย “ถึงบ้านแล้ว มีอะไรหลังจากนี้ค่อยๆ คุยกัน”
พลางมองหญิงรับใช้
“ห้องของคุณหนูจวิน…”
คำพูดของนางยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ
“เก็บเรียบร้อยแล้ว” เขาว่า “อาหารก็เตรียมเสร็จแล้ว”
นายหญิงใหญ่ฟางมองเขา ยิ้มแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไปเถอะ” นางเอ่ย
“ท่านย่า ท่านแม่ พี่สาว พวกท่านก็รีบพักผ่อนนะ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย “เดินทางเหนื่อย รอคอยก็เหนื่อยเช่นกัน”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะ โบกมือไล่
คุณหนูจวินคำนับอีกครั้ง ตามฟางเฉิงอวี่ออกไปแล้ว
“พวกเจ้าก็แยกย้ายเถอะ” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยกับคนในห้อง
ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วคำนับขอตัว
ห้องที่ครึกครื้นพริบตาเงียบสงบลง เหลือเพียงแม่สามีลูกสะใภ้สองคน
“กลับมาปลอดภัยก็ดี” นายหญิงใหญ่ฟางประคองนายหญิงผู้เฒ่าฟางนั่งลง “ครอบครัวอยู่ด้วยกัน ต่อให้มีเรื่องก็ไม่กลัว”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางตอบอืมทีหนึ่ง เห็นชัดนักว่าโล่งใจเช่นกัน
ความกังวลใจนี้กลั้นเก็บไว้เป็นเวลาไม่น้อยแล้ว ตั้งแต่คุณหนูจวินส่งข่าวว่าจะกลับหยางเฉิง ตั้งแต่ฟางเฉิงอวี่ออกจากบ้านเดินทางไปรับ
นางหยวนก้าวไวๆ เข้ามาจากด้านนอก
“เจ้ามาทำไม? แม้นางไม่ชอบคนรับใช้ แต่อย่างน้อยก็รอนางทานอาหารเสร็จ” นายหญิงใหญ่ฟางมองนางขมวดคิ้วเอ่ย
นางหยวนสีหน้าประหลาด อยากพูดก็หยุดไปอีก
“นายหญิง คุณหนูจวินไปพักที่เรือนนายน้อยฝั่งนั้น” นางเอ่ย “นายน้อยก็เหมือนกับจะเก็บกวาดห้องฝั่นนั้นไว้ให้คุณหนูจวินด้วย”
อะไรเรียกเหมือนว่า! ใช่เลยต่างหาก เจ้าหนูคนนี้! ตอนตนเองเก็บกวาดเรือนไม่พูดไม่จา ถึงกับหลบๆ ซ่อนๆ เตรียมห้องไว้ด้วย
นายหญิงใหญ่ฟางกุมมือ
“เช่นนี้ไม่ดีกระมัง” นางเอ่ย “มีสัญญาหมั้นกับตระกูลหนิงนะ”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางแค่นเสียงทีหนึ่ง
“นั่นก็เป็นเรื่องหลอกไหม” นางเอ่ย “มีอะไรไม่ดี”
แต่นายหญิงน้อยฟางก็เป็นเรื่องหลอกนี่ ยังไปนอนร่วมชายคากับนายน้อยด้านนั้น ใยไม่ใช่ยิ่งไม่ดี?
“มีอะไรไม่ดี ใจเฉิงอวี่ของพวกเราเป็นของจริงนะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย
ใจของเฉิงอวี่ใยแค่เป็นของจริง ไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้นเลยล่ะ
นายหญิงใหญ่ฟางคิดถึงสารพันเรื่องของบุตรชาย ถอนหายใจ นางก็ไม่มีสิทธิพูดถึงหัวใจอะไร รู้สึกโกรธทั้งรู้สึกกังวล
โกรธลูกชายที่ลุ่มหลงสตรีคนหนึ่งเช่นนี้ กังวลที่ความลุ่มหลงนี้ของลูกชายคงเสียเปล่า
“เรื่องนี้ต้องมีจุดจบ” นางเอ่ย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนางหยวนไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เรื่องอะไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม
นายหญิงใหญ่ฟางคลายมือที่กำแน่นอยู่
“ที่แท้นางจะแต่งให้ใคร” นางสีหน้าแน่วแน่เอ่ย
คุณหนูจวินหารู้ไม่ว่านายหญิงใหญ่ฟางเริ่มครุ่นคิดเรื่องการแต่งงานของนางอีกครั้ง สำหรับนางตอนนี้เรื่องที่ต้องจัดการที่สุดคือกินข้าวชามหนึ่งแล้วจบ แล้วกินเพิ่มอีกครึ่งชาม
“ข้ารู้สึกว่ากินได้” ฟางเฉิงอวี่ก็สีหน้าจริงจังเอ่ย “ข้าถามแม่ครัวแล้ว กินมากหน่อยครั้งหนึ่งไม่มีทางอ้วน”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า
“นี่ไม่ใช่เรื่องอ้วนหรือไม่อ้วน” นางว่า “นี่เป็นเรื่องของเหตุผลกับความละโมบ ข้าอิ่มแล้วชัดๆ กลับยังตะกละอยากกินเพิ่มอีกครึ่งชาม กลัวว่ากลางคืนจะหลับไม่สบาย”
“นั่นเป็นปัญหาหนึ่งจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ปรบมือทีหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเช่นนี้”
เขาพูดพลางยื่นมือเติมข้าวอีกครึ่งชามในชามข้าวของคุณหนูจวิน หลังจากนั้นก็แบ่งออกมาครึ่งหนึ่ง
“เช่นนี้น่าจะดีกว่ากินหมดนิดหน่อย”
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง ไม่ลังเลอีกยกชามข้าวขึ้นทาน
หลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็โล่งอก เรื่องนี้จัดการได้น่าพอใจนัก
หากมีคนอื่นอยู่ในที่นั้น เกรงว่าคงนิ่งอึ้งอย่างเบื่อหน่ายแล้ว ก็มีแค่สามคนนี้เท่านั้นแหละ ที่ทำเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้เป็นเรื่องจริงจังได้
ทานอาหารเสร็จ คุณหนูจวินก็ปิดปากหาวทีหนึ่ง
“รีบไปนอน รีบไปนอน” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยเร่งทันที
“คุณหนูของข้านอนที่นี่รึ?” หลิ่วเอ๋อร์มองดูเตียงหลัวฮั่น[1]ด้านหลังฉากกั้นลม เอ่ยอย่างไม่พอใจ
ที่นี่คือห้องหนังสือก่อนหน้านี้ของคุณหนูจวิน แม้เครื่องเรือนหรูหราสะดวกสบายเช่นกัน แต่เทียบกับที่พักของคุณหนูจวินยามแรกสุดที่นายหญิงใหญ่ฟางเก็บกวาดไว้คับแคบกว่ามาก
เขาตัดสินใจพานางมาที่นี่เอง ไม่ค่อยดีกระมัง
อย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว ส่วนเขาก็ไม่ใช่คนป่วยที่จำเป็นต้องดูแลแล้ว
ฟางเฉิงอวี่ก้มศีรษะบีบนิ้วมือ
“…อย่างไรก็ต้องนอนห้องหลักสิ” เสียงของหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยต่อ
คำพูดนี้ลอยเข้าหู ดวงตาของฟางเฉิงอวี่ก็เป็นประกายเงยหน้าขึ้น
“ได้สิ ได้สิ” เขารีบร้อนพยักหน้า “เก็บกวาดเสร็จแล้ว เปลี่ยนของใหม่หมดแล้ว รีบไป รีบไปเถอะ”
นี่ถึงพอไหวหน่อย หลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงเหอะพอใจ หันหน้าไปยิ้มประหนึ่งบุปผาให้คุณหนูจวินทำท่าเชิญ
“คุณหนูท่านรีบไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มแต่ไม่พูด ก้าวเดินไปตามคำบอก
“คุณหนู แม้ตอนนี้ไม่ใช่นายหญิงน้อย แต่ท่านอยู่ที่นี่ฐานะสูงยิ่งกว่านายหญิงน้อย” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา “อย่าได้ทำตัวไม่ตามสบายเด็ดขาดนะเจ้าคะ พวกเราอยากนอกที่ไหนก็นอนที่นั่น”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า
“จะไม่ตามสบายได้อย่างไร อยู่ที่บ้านตนเองมีอะไรไม่ตามสบายเล่า” นางเอ่ย
ได้ยินคำพูดของสองนายบ่าวที่เดินออกไป ฟางเฉิงอวี่กลั้นไม่อยู่คลี่ยิ้มจางๆ แต่รอยยิ้มก็ไม่อาจแสดงความยินดีในใจเขาได้ เขาโถมตัวลงบนเตียงหลัวฮั่นกลิ้งเสียหลายที
กลิ้งจนเสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิง เหมือนเช่นนี้ถึงสงบ รีดความยินดีในใจให้นิ่งได้
ยามแสงอรุณส่องผ่านม่านหมอกบางๆ มายังจวนหลังใหญ่ของตระกูลฟาง ลานฝึกซ้อมก็คึกคักมากแล้ว
ควบคู่กับเสียงเวิงเวิง ลูกศรขนนกดอกแล้วดอกเล่าสั่นไหวเบาๆ บนเป้า ประหนึ่งบุปผาแย้มบาน
เสียงปรบมือเบาๆ ดังขึ้นตาม
แขนเสื้อของฟางเฉิงอวี่ม้วนขึ้นเผยท่อนแขนแข็งแรง แม้สายธนูว่างแล้ว กลับยังตัดใจวางคันศรไม่ลง ปลายจมูกหยดเหงื่อแวววาวหันกลับมา
“ใช้ได้ไหม?” เขารีบร้อนเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า ปรบมือเสียงดังต่อ
“ใยแค่ใช้ได้เล่า” นางเอ่ย “เก่งเลย”
รอยยิ้มบนหน้าฟางเฉิงอวี่สว่างไสวขึ้นประหนึ่งแสงอรุณ
“ใช่เลย ใช่เลย ข้าก็รู้สึกว่าข้าเก่งมาก” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินยื่นมือรับคันศรของเขาไป มือลูบพลางเหม่อลอยครู่หนึ่ง
เก่งมาก เก่งกว่านาง
นางยังไม่ทันได้ร่ำเรียนยิ่งธนู อาจารย์ก็ไม่อยู่แล้ว
วิชายิงธนูของอาจารย์ต้องร้ายกาจมากแน่ เพราะในจดหมายวาดกระบวนทัพธนูต่างหากไว้
คิดถึงตรงนี้ คิ้วของนางก็อดไม่ได้ขมวดน้อยๆ
อาจารย์ที่แท้เป็นใครกัน? จากเนื้อหาที่ดูมาถึงตรงนี้ ไม่มีเอ่ยถึงสักนิด
“หากอยู่ที่บ้านเบื่อ พวกเราไปล่าสัตว์กันเป็นอย่างไร?”
เสียงของฟางเฉิงอวี่ดังขึ้นข้างหู ขัดการเหม่อลอยของคุณหนูจวิน นางเงยหน้ามองแววตาเป็นห่วงเป็นใยกังวลของเด็กหนุ่ม
“อยู่ที่บ้านตนเองจะเบื่อหน่ายได้อย่างไร” นางยิ้มเอ่ย จับคันศรในมือน้าวดอกไม้ดอกหนึ่ง “อย่านับข้าเป็นแขกสิ”
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะหึหึแล้ว
รู้อยู่แล้วว่านางดีที่สุด พูดจาดี ทำสิ่งดี จิตใจดี สรุปคือดีไปหมด
อารมณ์ของเขาก็ดียิ่งตามไปด้วย แต่อารมณ์ดีนี่ถูกเสียงตะโกนเสียงหนึ่งตีแหลกกระจุยอย่างรวดเร็ว
“หลิงจือ! นังเด็กนี่ทำไมยังไม่ตาย?”
เสียงแหลมของหลิ่วเอ๋อร์ดังมาจากด้านข้าง
หัวใจฟางเฉิงอวี่เต้นตึกตักทีหนึ่ง คุณหนูจวินได้ยินเสียงแล้วมองข้ามไป
หลิ่วเอ๋อร์กำลังจิกหัวคนผู้หนึ่งออกมาจากใต้กำแพงบุปผา ร่างกายผอมบางอ้อนแอ้น ถูกหลิ่วเอ๋อร์จิกเส้นผม ไม่รู้เจ็บหรือว่ากลัว ร้องไห้กระซิกๆ เห็นคุณหนูจวินมองมาก็คุกเข่าดังตึงลงไป
“นายหญิงน้อย ไว้ชีวิตด้วย” นางก้มตัวโขกศีรษะตึงๆ ร้องไห้เอ่ย
……………………………………….
[1] เตียงหลัวฮั่น (罗汉床) เตียงที่มีลักษณะเหมือนม้านั่งยาว มีพนักพิงด้านหลัง มีที่เท้าแขนสองข้าง นอนได้นั่งเล่นได้