Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 21 พระราชทานอนุญาต
ในท้องพระโรงขุนนางทั้งหลายพากันค้อมกายคำนับ
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ” พวกเขาเอ่ยกล่อม
ฮ่องเต้ไม่ได้ขว้างถ้วยชาล้มโต๊ะอีก ทรงนั่งกลับไปบนบัลลังก์อย่างหดหู่
“ข้าไม่ได้โกรธ ข้าเสียใจ” พระองค์หลั่งน้ำพระเนตรตรัส สีพระพักตร์โศกเศร้าคับแค้น “ข้าฝันก็คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าเชื่อเขา ข้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ข้าผิดต่อเขาที่ใด? เขาถึงทำเช่นนี้กับข้า?”
พระองค์ยื่นมือตบปลอบตนเอง มองหมู่ขุนนาง
“พวกเจ้าว่าข้าผิดต่อเขาที่ใด?”
“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงชั่วช้าเลวทรามเอง” มีขุนนางคุกเข่าเอ่ย “ฝ่าบาทอย่าได้ตำหนิตนเอง”
มีคนไม่น้อยเอ่ยคล้อยตามเขา มีบางคนสีหน้าสลับซับซ้อน ไม่อยากคล้อยตามแต่ก็รู้ว่าเวลานี้ไม่มีถ้อยคำอื่นใดให้พูดได้ ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดจา
หวงเฉิงกวาดสายตาผ่านในท้องพระโรง จดจำคนที่ก้มหน้าไม่พูดเหล่านี้ ท้ายที่สุดจับอยู่บนร่างหนิงอวิ๋นเจาที่ก้มศีรษะอยู่ด้านหน้า
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ตะโกนลั่นว่าฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ แน่นอนตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะเอ่ยว่าฝ่าบาททรงพระปรีชา ทว่าเขาก็ไม่ได้คล้อยตาม เขาก้มศีรษะสีหน้าจริงจังจดจ่อขยับพู่กันเขียนหนังสือว่องไว
ในด้านความรับผิดชอบของขุนนางจดบันทึกพระดำรัสคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่สิ่งใดที่ตำหนิได้
หวงเฉิงหัวเราะหยันในใจ ก่อนหน้านี้ทำไมเขาจำความรับผิดชอบของตนเองไม่ได้เล่า? คิดถึงตรงนี้สีหน้าก็ทะมึนขึ้นหลายส่วน
เขาก็คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงถึงกับขัดราชโองการหลบหนีไป เขายังคิดอยู่ว่าเฉิงกั๋วกงทำไมจึงต้องเข้าเมืองหลวงมาสร้างเรื่องพรวนหนึ่ง อาศัยความดีความชอบปลุกปั่นประชาชน คิดไม่ถึงเขากลับหนีไปเช่นนี้แล้ว
ครั้งนี้ความผิดพลาดใหญ่ที่สุดก็คือให้ทหารองครักษ์กับศาลต้าหลี่ไปจับกุมเฉิงกั๋วกง
นายทหารเหล่านี้เดิมก็ยำเกรงเฉิงกั๋วกง ทหารองครักษ์เป็นนานเข้ามักจะมีท่าทางน่าเกรงขามข่มประชาชนให้กลัวได้ แต่เทียบกับพ่อลูกเฉิงกั๋วกงคนที่เกิดมาจากสนามรบฝ่าออกมาจากความตายเช่นนั้นย่อมไม่เหมือนกัน
น่าจะให้องครักษ์เสื้อแพรไปจับกุม
องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เลือดเย็นไร้หัวใจทั้งยังไม่หวาดกลัวความตาย หากฮ่องเต้ออกคำสั่งให้ตาย พวกเขาก็ประหนึ่งสุนัขบ้าคลั่งฝูงหนึ่ง ต่อให้ตายก็ต้องกัดเฉิงกั๋วกงพ่อลูกให้ตายไปด้วย
ที่แท้ครั้งนั้นหนิงอวิ๋นเจาขวางไม่ให้องครักษ์เสื้อแพรไปแต่ให้ศาลาต้าหลี่ไปจับกุม เป้าหมายก็คือสิ่งนี้
เจ้าหนูตัวดี รู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่มีเจตนาดี
หวงเฉิงมองหนิงอวิ๋นเจาอย่างเหี้ยมเกรียม แต่นั่นแล้วอย่างไร ผลลัพธ์ก็ยังคงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน เฉิงกั๋วกงกลับมาก็ตาย หนีไปยิ่งตาย
“ฝ่าบาท” เขาออกจากแถวร้องเรียกดังลั่น “ใจกบฏของเฉิงกั๋วกงเห็นชัด ขอฝ่าบาทอย่าเมตตาอีกต่อไป สั่งจับกุมกบฏจูซานทันที”
เขาเอ่ยพลางคุกเข่าลงกับพื้น
“กบฏจูซานผิดต่ออดีตฮ่องเต้ ผิดต่อฝ่าบาท ผิดต่อแผ่นดินต้าโจวของเรา มีเพียงทำเช่นนี้ถึงปลอบประโลมได้”
เรื่องมาถึงตจอนนี้ ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงไม่ว่ายินดีหรือไม่ยินดีก็ได้แต่คุกเข่าขอร้องเสียงพร้อมเพรียงแล้ว
ฮ่องเต้มองขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารนับร้อยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สีพระพักตร์โศกเศร้าคับแค้นค่อยๆ นิ่งสงบ นั่งพระวรกายตรง
“อนุญาติ” พระองค์ตรัส
……………………………………….
……………………………………….
ท้องพระโรงทั้งหมดวุ่นวาย ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารทั้งหลายรีบร้อนถอยออกไป บ้างเงียบงันไม่พูดจาก้าวเท้าเร็วไว บ้างหลายคนจับกลุ่มวิพากษ์วิจาร์เสียงเบาด้วยกัน
“ใต้เท้าหนิง เรื่องนี้พวกเรา…” ขุนนางหลายคนมองหนิงอวิ๋นเจาแล้วเอ่ยถามเสียงเบา
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทั้งหมดล้วนถือพระราชประสงค์เป็นบรรทัดฐาน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยตอบเสียงเบา
ตอนนี้พระประสงคือสิ่งใด? เชื่อว่าเฉิงกั๋วกงก่อกบฏจริงหรือ?
พวกเขากำลังจะเอ่ยถามต่อ หนิงอวิ๋นเจาพลันยกมือให้พวกเขา คำนับขอตัวไปก่อน ก้าวเร็วไปเดินไปยังทิศทางหนึ่ง
ท่างกลางขุนนางที่เดินแห่แหนมีคนผู้หนึ่งคล้ายโดดเดี่ยวแปลกแยกจากพวก ที่ที่อยู่ว่างไปบริเวณหนึ่งเอง
“ใต้เท้าลู่” หนิงอวิ๋นเจาคำนับเอ่ยเรียก
ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้าหันหน้านิดๆ มองเขา ไม่พูดสักคำ
เขาพูดจาน้อยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ท่านพาคนไปสินะ?” หนิงอวิ๋นเจาก็รู้นิสัยของเขาจึงอ้าปากเอ่ยถามตรงๆ
คำนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย กระทั่งชื่อคนก็ไม่เอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมาแต่ไม่ตอบสักคำเดินหน้าต่อ
“ใต้เท้าลู่” หนิงอวิ๋นเจาตามไปเอ่ยเรียก “ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม…”
ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้าหันหน้ามา
“ใต้เท้าหนิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม” เขาใช้คำพูดทื่อๆ เช่นเดิมขัดเขา “ท่านคิดว่าเวลานี้เอ่ยว่านางหายไป ทุกคนจะคิดถึงสิ่งใด?”
เฉิงกั๋วกงขัดราชโองการหลบหนี โทษคิดกบฏแน่ชัด คุณหนูจวินความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฉิงกั๋วกง ยามนี้บอกว่าคุณหนูจวินหายไปแล้ว ทุกคนจะคิดอย่างไร? กลัวโทษหลบหนีไปด้วยกันรึ?
ต่อให้ไม่คิดเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมมีหนทางทำให้ทุกคนคิดเช่นนี้ นอกจากนี้ฮ่องเต้เดิมทีก็ไม่ชอบคุณหนูจวิน
“นี่คือการข่มขู่หรือ?” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย
ขุนนางมากมายยามเผชิญหน้ากับเขาน้อยนักจะยิ้มออกมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังแย้มยิ้มได้สบายใจเช่นนี้
ลู่อวิ๋นฉีมองเขา
“เต้าหู้ทอดอร่อยไหม?” เขาพลันเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไปนิดหนึ่ง เต้าหู้ทอด?
“ข้าไม่ได้ข่มขู่เจ้า” ลู่อวิ๋นฉีละสายตาออกแล้วเอ่ยต่อ “ข้าเพียงบอกเจ้า ผลัดไม่ถึงเจ้ามาเป็นห่วง”
เขาพูดจบก็เดินไปข้างหน้า
หนิงอวิ๋นเจามองแผ่นหลังของเขาสีหน้าเคร่งขรึม
“ใต้ท้าลู่” เขาก้าวตามมาเอ่ยอีกครั้ง “ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางทำร้ายนาง แต่กับคนที่ชอบ หากให้นางเบิกบานใจได้ ไม่ใช่ยิ่งดีหรือ?”
ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้า ศีรษะไม่หันกลับมาเช่นกัน
“ไม่ใช่” เขาเอ่ยตอบ
ถ้าอย่างนั้นยังพูดสิ่งใดได้อีก หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง มิน่าลู่อวิ๋นฉีคนนี้ถึงคบหายาก ประการแรกเพราะฐานะของเขา ประการที่สองก็เพราะนิสัยของเขา ยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจ
เห็นลู่อวิ๋นฉีเดินจากไป ขุนนางหลายคนด้านข้างก็โล่งอก แล้วท่าทางสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างอีก หรือหนิงอวิ๋นเจาจะไปสืบพระประสงค์ของฮ่องเต้จากลู่อวิ๋นฉี?
ทั้งราขสำนักนี่ผู้ที่รู้พระทัยของฮ่องเต้ที่สุดไม่มีใครเกินลู่อวิ๋นฉี
ใต้เท้าน้อยหนิงไม่เหมือนกับหนิงเหยียนจริงๆ ไม่รังเกียจพวกใช้อุบายหน้าไม่อาย
พวกเขายกเท้าก้าวไปข้างหน้าเตรียมสอบถาม หนิงอวิ๋นเจากลับก้าวเร็วไวจากไปแล้ว ตัดผ่านขุนนางทั้งหลายที่สีหน้าสับสนกำลังสนทนากันเสียงเบาในใจลอบคิดคำนวนอยู่ ตรงไปด้านนอก
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ คงรีบร้อนกลับไปปรึกษากับหนิงเหยียนกระมัง ถ้าอย่างนั้นก็รอพวกเขาหารือกันเรียบร้อยค่อยว่ากันเถอะ
แต่หนิงอวิ๋นเจาออกจากพระราชวังมากลับไม่ได้ตรงกลับบ้านของหนิงเหยียน แต่เหยียบเข้าโรงหมอจิ่วหลิง
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วในโรงหมอจิ่วหลิงนั่งประจันหน้ากันสีหน้าเคร่งขรึม เห็นเขาเข้ามาก็รีบลุกขึ้นมา
“อยู่ในมือเขา” หนิงอวิ๋นเจาไม่รอพวกเขาเอ่ยถามก็เอ่ยขึ้น
เฉินชีถีบม้านั่งทีหนึ่ง
“เอาคนติดอาวุธไปขอคน” เขาตะโกน
“จะขออย่างไร?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถลึงตาใส่เขา “เอาคนติดอาวุธไปล้อมกรมสืบสวนฝ่ายเหนือรึ?”
นี่ไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว ในมือพวกเขาไม่มีราชโองการ นอกจากนี้แต่ไหนแต่ไรก็มีเพียงกรมสืบสวนฝ่ายเหนือล้อมโจมตีผู้อื่น ล้อมโจมตีกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ นั่นไยไม่ใช่รนหาที่ตาย? พวกเขาไม่ใช่จูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงสักหน่อย
นอกจากนี้จูจั้นที่ตอนนั้นกล้าทำเช่นนี้ก็อาศัยที่ฮ่องเต้ต้องการซื้อใจเฉิงกั๋วกงเท่านั้น
เฉินชีหดหู่ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ดูท่าได้แต่ประกาศข่าวให้ผู้คน อาศัยเจตจำนงประชาชนช่วยเหลือ…” เขาเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้ไม่ได้แล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขัดเขา “ครอบครัวเฉิงกั๋วกงถูกตัดสินให้มีความผิดคิดกบฏ ขัดราชโองการหลบหนีไปแล้ว”
อะไรนะ?
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตะลึงงัน
“ข่าวน่าจะประกาศแก่สาธารณชนเดี๋ยวนี้แล้ว และพร้อมกันนี้การให้ร้ายเฉิงกั๋วกงก็ย่อมกระจายออกไปตาม” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจวินที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฉิงกั๋วกงย่อมยากหนีพ้น
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเข้าใจทันทีเช่นกัน
“ทำไมเร็วเช่นนี้” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพึมพำ
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร?” เฉินชีเอ่ยอย่างร้อนรน
หนิงอวิ๋นเจาครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“สิ่งใดล้วนไม่ต้องทำ” เขาเอ่ย
สิ่งใดล้วนไม่ต้องทำ? ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจวิน…
“โชคดีในความไม่ดีก็คือคุณหนูจวินตกไปอยู่ในมือลู่อวิ๋นก่อน ไม่ได้ตกไปอยู่ในมือฮ่องเต้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
นี่มีสิ่งใดแตกต่างหรือ? ลู่อวิ๋นฉีกับฮ่องเต้นั่นไม่ได้เป็นร่างเดียวกันรึ เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าคิดว่า มีความยึดติดอย่างน้อยก็ยังนับได้ว่าเป็นคนผู้หนึ่ง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย มองไปยังคำว่าโรงหมอจิ่วหลิงสามคำที่แขวนอยู่หน้าโรงหมอ “เป็นคนผู้หนึ่งย่อมดีกว่าไม่ใช่คนเล็กน้อย”
……………………………………….
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง แสงสว่างอ่อนโยนของมุกราตรีส่องเงาร่างคน
“ข้ากลับมาช้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางวางกล่องอาหารในมือลงอย่างเต็มไปด้วยการขออภัย เขามองไปยังคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างเตียง “หิวแล้วไหม? เดี๋ยวพวกเราทานอาหารกัน”
คุณหนูจวินแม้ไม่ถูกมัดอยู่บนแผ่นกระดานอย่างเช่นก่อนหน้านี้ แต่มือเท้ายังคงถูกมัดแน่นหนา
ลู่อวิ๋นฉีนั่งลงเบื้องหน้านาง ถือช้อนคันหนึ่งขึ้นมาส่งน้ำแกงแปดสมบัติมาถึงริมฝีปากนางอย่างตั้งใจและชำนาญ
คุณหนูจวินกัดช้อนทีหนึ่ง มองลู่อวิ๋นฉีอย่างดุร้าย