Invincible Combat Strength System ระบบสงคราม - ตอนที่ 89
ICSS บทที่ 89: นั่นเขานิ!
ในชั่วโมงเรียนเช้าหนิงเทียนหลินได้ยินพวกขี้เซาบางคนบ่นง่วงนอน
ถึงแม้วิญญาณของเขาจะไปไกลกว่าคนปกติมาก เขาก็ยังไม่เข้าใจวิชาภาษาอังกฤษและพวกตัวเลขอยู่ดี ทำไมเขาต้องเรียนอะไรพวกนี้ในโรงเรียนด้วยเนี่ย
เพราะจากวิถีชีวิตปกติของเขาแล้วเขาคงไม่มีทางที่จะได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตอยู่แล้ว และถึงแม้เขาจะเรียนเรื่องพวกนี้ไปแต่ถ้าไม่ได้ใช้ก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี
งั้นเขาเลยหลับตลอดเช้าเลย
5-6 วันแห่งความวุ่นวายทำให้เขาหลับในทันทีที่ฟุบลงไปกับโต๊ะ กว่าที่เขาจะตื่นก็เป็นเวลาอาหารกลางวันแล้วและเป็นเพื่อนร่วมหอเขาที่ชื่อชิเซียวจุนที่เป็นคนปลุก
“เทียนหลิน นายนี่หลับเก่งจริงๆนะ! เห็นหลับตลอดเช้าเลย”
“เมื่อคืนออกไปขโมยวัวมาหรือไง?” ชิเซียวจุนพูดติดตลก
“ขโมยวัวงั้นเหรอ! ฉันฆ่าคนมาทั้งคืนต่างหาก” หนิงเทียนหลินหัวเราะ
ในหอมีกันทั้งหมด 6 คน แต่ชิเซียวจุนคนนี้สนิทกับเขาที่สุด และส่วนคนอื่นๆก็แค่เฉยๆ
แต่ก็มีคนหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกกับหนิงเทียนหลินเท่าไร
ชายคนนั้นชื่อหวังน่าน เป็นลูกชายของหัวหน้าเหมืองถ่านหินชานซีแต่ก็ไม่ใช่เหมืองถ่านที่ใหญ่โตอะไรแต่ก็มีมูลค่าสุทธิมากกว่าหนึ่งร้อยล้านหยวน
ไม่นานก่อนที่ภาคเรียนแรกจะเริ่มและหวังน่านต้องเสียเงินไปกว่า 3,000 หยวนที่เก็บไว้ในตู้ล็อคเกอร์ ด้วยเหตุผลบางอย่างเขามั่นใจมากว่าหนิงเทียนหลินเป็นคนเอาไป เรื่องนี้จึงถูกรายงานไปยังที่ปรึกษา
โดยปกติแล้วเงิน 3,000 หยวนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับคนแบบเขาเลยและมันคงจะไม่เป็นเรื่องถ้าเงินนี้ถูกพวกโจรข้างถนนขโมยไปแต่มันกลายเป็นอีกเรื่องเลยเมื่อเงินหายในหอพักแบบนี้ ถ้าเขาไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โดยการเอาไปบอกที่ปรึกษา คนอื่นก็คงไม่คิดว่าเขาเป็นคนทำหรอก!
หวังน่านไม่ใช่คนประเภทที่จะไปยุ่งด้วย!
โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้นแต่เขาก็รายงานเรื่องหนิงเทียนหลินกับที่ปรึกษาโดยตรง และหลังจากนั้นคนทั้งหอก็เริ่มที่จะสืบสวนและแม้แต่ รปภ. ของมหาลัยก็มาพาตัวหนิงเทียนหลินไปสอบสวนอย่างหนัก
ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานอะไร มันก็เป็นแค่การทะเลาะวิวาทเท่านั้นแต่ชื่อเสียงของหนิงเทียนหลินในชั้นเรียนก็เสียหายได้ในทันที ในตอนนั้นทุกคนมองว่าเขาเป็นโจรไปหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจิตใจที่แข็งแกร่งของหนิงเทียนหลิน ไม่งั้นในตอนนั้นเขาคงทำเรื่องที่ไม่คาดคิดไปแล้ว
แต่ตั้งแต่ตอนนั้นมาเขาและหวังน่านก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ถึงแม้เขาจะเป็น
รูมเมทกันแต่เขาก็ไม่ได้ชำระแค้นอะไร
“จริงเหรอ!”
“นายไปฆ่าคนมาทั้งคืน”
“ใครฝันว่าฆ่าใครงั้นเหรอ?” ชิเซียวจุนยังคงเหน็บอยู่
“แหม นี่มันเที่ยงแล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะ อยากกินก๊วยเตี๊ยวไก่แล้ว!”
“ฉันคิดถึงรสชาติก๊วยเตี๊ยวไก่เจ้าหน้าประตูมาตลอดปิดเทอมหน้าร้อนเลย”
“ฉันด้วย” หนิงเทียนหลินพยักหน้า เพราะก๊วยเตี๊ยวไก่หน้าประตูราคาแค่ 8 หยวนแต่รสชาติอร่อยเด็ดมากเลย ทั้งเผ็ดและถึงรสชาติมากจริงๆ
“ไปกันเถอะ” ชิเซียวจุนยิ้ม
…
มหาวิทยาลัย ใต้ต้นไม้
“ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ทั้งหลายสู่สาขาวิชาภาษาต่างประเทศ”
ภายใต้ป้ายยังมีแยกไปอีก 3 โต๊ะที่เชื่อมต่อกัน มีผู้หญิง 4 คนและผู้ชายอีก 2 คนกำลังนั่งอยู่ด้านหน้า พูดคุยและหัวเราะอยู่ด้วยกัน พวกเขาต่างก็ได้รับมอบหมายให้ช่วนต้อนรับเด็กใหม่จากสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ พวกเขานั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ชั่วโมงเรียนเช้าแล้ว
“ว้าว! หลิวปิว ดูดิโคตรสวยเลยอ่ะ!”
ผู้ชาย 2 คนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแต่ในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศไม่ค่อยจะมีอะไรงามๆมากนัก และถึงแม้ในคณะจะมีผู้ชายมากมายแต่พวกเขาก็ถูกส่งมา และในเวลานี้ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านขวาก็จ้องเขม้นไปที่สาวสวยที่กำลังเดินอยู่ที่ถนนและพร้อมทั้งตบไปที่มือของหลิวปินในเวลาเดียวกัน
และนอกจากสาวสวยคนนี้ ก็ยังมีสาวร่างสูงที่สวมชุดสุดหรูอีกที่ซึ่งเห็นแวบแรกก็รู้เลยว่าไม่ใช่เสื้อผ้าธรรมดาๆ
“สวยจริงๆด้วย!”
“สวยกว่าหลิวเหมยเหมยของเราอีกอ่ะ!”
หลิวปินยังล้อเล่นกับผู้หญิงที่นั่งข้างๆเขาอยู่พร้อมทั้งมองไปที่เหวินหยาน แต่เพียงแค่มองแวบเดียวก็เกือบจะทำให้เขาหยุดหายใจ
อีกคนที่สวมชุดเสื้อสีขาวแขนสั้นพร้อมด้วยกางเกงหลวมใหญ่สีม่วงอ่อนและรองเท้าแตะหุ้มส้นสีแดง มัดผมหางม้าก็เดินเข้ามา ทั้งคู่ช่างอ่อนเยาว์และสวยมีเสน่ห์อย่างมาก ทำให้พวกเขาต่างก็จ้องตาเป็นมัน
“กำลังมาแล้วๆ!”
“เดินมาที่โต๊ะเราแล้ว!”
หลิวปินหัวใจเต้นรัวเมื่อรู้ว่าสาวคนนี้จะต้องเป็นเด็กปีหนึ่งที่มาจากสาขาวิชาภาษาต่างประเทศแน่ๆ ดวงตาของเขาเป็นประกายและถึงขนาดต้องลุกขึ้นมาจากเก้าอี้และมองจ้องไปที่สาวคนนั้น เขายิ้มอย่างจริงใจ “มารายงานตัวหรือเปล่า?”
“คุณอาเป็นแม่ของน้องเหรอครับ สวยมากเลย”
หลิวปินรีบกล่าวทักทายทั้ง 2 คนและพยายามที่จะแสดงสีหน้าสดใส เขารู้ดีว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างความประทับใจแรก ผู้ชายที่นั่งข้างๆหลิวปินเตือนเขาให้มองสาวสวยและในเวลาเดียวกันก็รีบลุกขึ้นเพื่อทักทายพวกเขา
ก็แค่เป็นเรื่องที่ครอบครัวของหลิวปินสอนมานานแล้วและเขาจำได้อย่างขึ้นใจว่าให้กล่าวทักทายเป็นอย่างแรก!
“ขอบคุณนะ”
เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรและหญิงวัยกลางคนก็หัวเราะออกมา ในวัยนี้พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องหน้าตาแล้วแต่ก็ยังพูดเสริมออกไป
“ฉันไม่ใช่แม่หรอกค่ะ ฉันเป็นแค่อานะค่ะ”
เธออยากที่จะบอกว่าเป็นพี่เลี้ยงแต่เมื่อคุยกันแล้ว เธอก็กลายเป็นคุณอาแทน
“โอ้ ขอโทษด้วยนะครับคุณอา ยกโทษให้ผมด้วย มาชำระค่าเรียนหรือเปล่าครับ?”
“น้องเป็นเด็กปีหนึ่งของสาขาวิชาภาษาต่างประเทศหรือเปล่า?”
หลิวปินหันไปสนใจที่เด็กสาวแทนเพราะเธอคือคนที่เขาสนใจมากกว่า
“ใช่ค่ะ” อีกฝ่ายพยักหน้าและตอบออกมา
“นายดูแลจัดการเรื่องนี้งั้นเหรอ?” น้ำเสียงนุ่มนวลและฟังสบาย
“ใช่” หลิวปินพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ขอชื่อด้วยนะครับ? เอาเอกสารด้วยได้ไหมครับ?”
“ฉันชื่อหลินเจียอี้” เด็กสาวตอบ และในเวลาเดียวกันคุณอาพี่เลี้ยงก็รีบหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าสีแดงใบใหญ่แล้วส่งให้
“หลินเจียอี้ ชื่อเพราะมากเลย” หลินปินแอบเก็บไว้ในใจเงียบๆ พร้อมกันนั้นก็รับเอกสารมา หยิบปากกาขึ้นมาจากโต๊ะและเริ่มที่จะลงทะเบียน และสุดท้ายเขาก็ถามออกมา “มีเบอร์โทรศัพท์หรือเปล่า?”
“เป็นเด็กใหม่หรือว่าเด็กเก่าล่ะ? นี่ต้องใช้ในการลงทะเบียนด้วย”
เพราะอยู่ต่างเมืองจึงมีเด็กใหม่หลายคนที่เปิดเบอร์ใหม่เพื่อเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามในฐานะแบบเธอ หลินเจียอี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก เธอเลยบอกเบอร์โทรศัทพ์ของเธอไปตรงๆ
แต่หลิวปินกลับมีความสุขมากเพราะไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลนี้ลงไปในเอกสารด้วยเลย ตอนนี้ด้วยวิธีนี้เขาจึงได้เบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาด้วย เดี๋ยวสักพักเขาก็จะเซฟเบอร์นี้ลงโทรศัพท์
“หา? นั่นเขานิ!”
ระหว่างที่หลินเจียอี้กำลังลงทะเบียน เธอเกิดความรู้สึกเบื่อจึงหันมองไปรอบๆแต่แค่แวบเดียวก็ทำให้เธอต้องรู้สึกตกใจ เหมือนว่าเธอได้เห็นบางอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อแล้วก็เกิดความรู้สึกมีความสุขขึ้นมา!
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสุขนี้มันมาจากไหนกัน!