Invincible Combat Strength System ระบบสงคราม - ตอนที่ 105
ICSS บทที่ 105: วิทยาลัยศิลปะไคโฮคุ
“ติ่ง! ยินดีด้วยนะเจ้านาย เลื่อนขั้นเป็นระดับที่ 13!”
“ติ่ง! ยินดีด้วยนะเจ้านาย เลื่อนขั้นเป็นระดับที่ 14!”
“ติ่ง! ยินดีด้วยนะเจ้านาย เลื่อนขั้นเป็นระดับที่ 15!”
“ติ่ง! ยินดีด้วยนะเจ้านาย เลื่อนขั้นเป็นระดับที่ 16!”
“ติ่ง! ยินดีด้วยนะเจ้านาย เลื่อนขั้นเป็นระดับที่ 17!”
ในไม่ช้าเสียงของระบบการต่อสู้ก็ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในหูของ
หนิงเทียนหลิน ทำให้เขามีความสุขอย่างมาก ด้วยคะแนนพลังงาน 1,300 คะแนนซึ่งทำให้เขาไต่ระดับขึ้นไปทันที 5 ระดับ จนขึ้นไปที่ระดับปัจจุบันที่ระดับที่ 17!
ระดับที่ 17 เพียงแค่พลังในการต่อสู้ทางกายภาพอย่างเดียวก็แตะที่ 68 คะแนนแล้ว!
อีกนัยหนึ่งถ้ารวมอุปกรณ์ในการต่อสู้และหลังจากที่เขาและแมนซูลูรวมกันพลังในการต่อสู้ก็จะได้ที่ 108 คะแนน มากกว่าตอนนี้อีก!
“แล้วแหวนอวกาศล่ะ?”
“วันนี้พลังในการต่อสู้ของแหวนอวกาศของฉันเป็นเท่าไร?”
หนิงเทียนหลินตอบโต้ออกไปทันทีเพราะแหวนอวกาศนี้ไม่ใช่แหวนอวกาศธรรมดาๆแต่เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ซึ่งจะโตและโตอย่างต่อเนื่องไปตามคุณลักษณะทางกายภาพของเขาด้วย!
ตอนที่เขาอยู่ในระดับที่ 6 แหวนอวกาศนี้จะช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้เขาได้ 7 คะแนน และตอนที่อยู่ในระดับที่ 12 เขาก้ได้เพิ่ม 13 คะแนน ตอนนี้ที่ระดับ 15 เขาไม่รู้ว่าจะได้เท่าไร
“20 คะแนน!”
“แหวนอวกาศตอนนี้สามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้นายได้ 20 คะแนน”
ระบบการต่อสู้ตอบออกมา “ในเมื่อพลังในการต่อสู้ของเจ้านายเพิ่มขึ้น ช่วงของการปลดล็อควงแหวนอวกาศจะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง มันเคยเป็นระดับและอีกเล็กน้อย และมันอาจกลายเป็นระดับสอง, สาม, สี่หรือมากกว่า!
“20 คะแนน!” มีแสงของความตื่นเต้นฉายเข้ามาในตาของหนิงเทียนหลินเพราะเมื่อรวมคะแนนนี้เข้าไป บวกกับกริซอีกพลังในการต่อสู้ของเขาที่สูงที่สุดก็จะไปแตะที่ 134 คะแนนเลย! “ตอนนี้นายไม่จำเป็นต้องบาดเจ็บเพื่อที่จะจัดการกับยมฑูตทั้ง 2 ด้วยซ้ำ”
หนิงเทียนหลินรู้ดีว่าจะไม่สามารถยุติการต่อสู้ได้ภายในสิบนาทีหากเขาไม่ได้ตัดสินใจที่จะได้รับบาดเจ็บ ในเวลานั้นบางทีก็อาจจะจัดการยมฑูตทั้ง 2 ไม่ได้ด้วย อีกอย่างตอนนี้ในเมื่อเขารู้เรื่องพวกนี้แล้ว เขาก็คิดว่าถ้าเขาเผชิญหน้ากับวิญญาณพวกนั้นหรืออะไรแบบนั้นหลังจากที่เขาแตะตัวเอง เขาก็กลัวว่าเขาจะเลือกที่จะลงมือ
ความดึงดูดใจของวิญญาณนี้ยิ่งใหญ่เกินไป
“สตาร์วอร์ส ฉันมีคำถาม ตอนนี้ฉันมีดวงตาแห่งหยินและหยางแล้ว
หลังจากที่ฆ่าคนฉันก็จะต้องเห็นวิญญาณของพวกเขาแน่ๆ งั้นฉันจะสามารถฆ่าวิญญาณของพวกเขาเพื่อที่จะเอาผลึกหยินได้ไหม?”
หนิงเทียนหลินคิดถึงความเป็นไปได้และถามระบบการต่อสู้ออกไป
“ไม่ได้” ระบบการต่อสู้ตอบปฎิเสธออกไปตรงๆ
“วิญญาณมันหาจะได้กันง่ายๆแบบนั้นได้ยังไง? มันต้องใช้พลังของสวรรค์และของโลกที่มากมายมารวมเข้าด้วยกัน วิญญาณประเภทนี้อยู่ในโลกที่มืดครึ้มอย่างมาก มันเป็นที่นี่วิญญาณจะรวมเข้ากับร่าง”
“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏหลังจากกลายเป็นวิญญาณใหม่ๆ!”
“งั้นเรื่องแบบนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หนิงเทียนหลินก็พูดความคิดของตัวเองที่อาจจะกลายเป็นเรื่องจริงได้อย่างเงียบๆ ว่าทุกครั้งที่เขาฆ่าคน เขาจะไม่ได้แค่คะแนนเล็กน้อยแต่จะได้เพิ่มจากเดิมเป็น 7 เท่า
“โอเค ได้เวลากลับแล้ว”
“ภารกิจเกมส์ LOL ยังต้องดำเนินต่อไป”
หนิงเทียนหลินคิดว่าผลจากแดนกักกันน่าจะหายไปหมดแล้วตอนนี้
เขาจึงหันกลับเดินออกมาจากตรอกและเดินตรงไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ทันทีที่เขากลับมาถึงโต๊ะด้านหน้า เขาก็ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลับไปด้วย 3 กล่อง
หลังจากที่เสียแรงไม่มากทำให้ตอนนี้เขารู้สึกหิวมาก
…
เมืองปักกิ่ง
วิทยาลัยศิลปะปักกิ่งเหนือ
หรือเรียกสั่นๆว่าเปยหยี เป็นโรงเรียนที่ฝึกดาราภาพยนต์และทีวีและ
เหล่านักร้อง ในช่วง 20-30 ปี มีผู้คนมากมายที่จบออกไปจากที่นี่ ซึ่งต่างก็ได้เป็นดาราภาพยนต์และดาราทีวี,เป็นพรีเซนเตอร์และนักร้องมากมายตัวอย่างเช่น เจ้าเหวย, หวงเสี่ยวหมิง, สูเหยี่ยน และอีกมากมายหรือจะพูดได้ว่าที่นี่เป็นโรงเรียนในฝันสำหรับนักเรียนที่อยากจะเป็นดาราก็ว่าได้
โดยเฉพาะการที่ได้ผ่านเข้ามาเรียนในคณะการแสดงของที่นี่ก็เท่ากับการก้าวเข้าสู่ประตูแห่งดวงดาวแล้ว จากที่นี่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นดารา แต่ก็สามารถกลายเป็นเจ้าของรายการท้องถิ่นหรืออะไรแบบนั้นได้เลย
ทุกปีหนุ่มสาวหน้าตาดีมากมายที่อยากจะเข้ามาในสาขาวิชาการแสดงนี้ต่างก็ต้องอกหักเพราะมีเพียง 1 ใน 1,000 เท่านั้นที่จะเข้ามาได้
“พี่ชาย!”
“ไม่! เร็วเข้า! เร็วหน่อย!”
“พวกมันบ้าไปแล้ว พี่ชาย! วิ่งหนีสิ!”
“ได้โปรดเถอะ ปล่อยพี่ชายฉันไป! ได้โปรดเถอะ!”
วิทยาลัยศิลปะปักกิ่งเหนือ
สาขาวิชาการแสดง
เด็กใหม่ของปี 2017 ภายในตึกหอพักนักศึกษา
บนเตียงที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีชมพู มีเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง คิ้วขมวดแน่นและเธอกำลังพูดอยู่ หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและใบหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำตา ถึงแม้เธอจะกำลังฝันอยู่แต่ร่างกายของเธอก็สั่นอย่างห้ามไม่ได้ แขนยกขึ้นและโบกไปมาเหมือนกำลังตบอะไรบางอย่าง ปกป้องอะไรบางอย่าง
“หนิงเทียนซิน! ตื่นขึ้น! ตื่นเร็ว!”
ทันใดนั้นแขนอันขาวซีดก็เริ่มที่จะเขย่าร่างของเธอ พยายามที่จะปลุกเธอจากความฝันด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบและเป็นห่วง
“พี่ชาย!”
ทันใดนั้นหนิงเทียนซินก็ลืมตาขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมานั่งที่เตียงหายใจหอบหนักและช่วยไม่ได้นอกจากร้องไห้ เธอไม่ได้คิดว่าในวันแรกที่มาเรียนเธอจะฝันร้ายอีกแล้ว เธอยังเห็นมีดมากมายปักอยู่ที่ร่างของพี่ชายจนหายใจไม่ออกและล้มลงไปจมกองเลือด ความฝันนี้ไม่ได้ฝันแค่บางครั้งบางคราว
แต่ทุกครั้งที่นอนมันทำให้เธอร้องไห้น้ำตาท่วม รู้สึกเจ็บปวดจนต้องร้องไห้ออกมา
ถึงแม้เรื่องนี้มันจะผ่านมามากกว่า 10 วันแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เธอคิดถึงพี่ชายที่รักเธออย่างมาก ที่จากไปแล้วและเธอไม่ได้มองเขาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ เธอก็จะรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเหมือนมีใครมาดึงเอาหัวใจของเธอออกไป
“เป็นอะไร? หนิงเทียนซิน?”
“ฝันร้ายเหรอ?”
ในเวลานี้ที่เตียงของหนิงเทียนซินมีเด็กสาวหน้าตาสวยมายืนอยู่ด้วยและมองมาที่เธอด้วยความเป็นห่วง นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวอีก 2 คนที่นอนอยู่อีกเตียงลุกขึ้นมาและมองมาที่หนิงเทียนซินด้วยความสงสัยด้วยสีหน้าง่วงหงาว
มีเพียงคนเดียวที่มองมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยเพราะนี่มันก็ตี
4 แล้วและการฝันร้ายของหนิงเทียนซินก็รบกวนการนอนของเธอ และเธอไม่ชอบถูกรบกวนเวลานอนด้วย
อย่างไรก็ตามเพราะนี่เป็นวันแรกที่โรงเรียน เธอจึงเพียงแค่ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ใช่”
“ฝันร้าย”
หนิงเทียนซินพยักหน้า ปาดน้ำตาแต่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องความฝัน แต่พูดออกมาอย่างแผ่วเบา “ซูซู ขอบคุณนะ”
“ฉันไม่เป็นไร”
“ขอโทษนะที่รบกวนการนอนของเธอ”
หนิงเทียนซินรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะในเวลานี้มันก็เลยตี 4 มาแล้วและนี่ทำให้ทุกคนตื่น จึงรู้สึกเสียใจนิดหน่อย
“ไม่เป็นไรเลย”
เด็กสาวที่ยืนอยู่ถัดจากหนิงเทียนซินยิ้ม “เรามาอยู่ที่นี่ด้วยกันก็เพราะโชคชะตา ในอีก 4 ปีข้างหน้าเราจะต้องดูแลกันและกันและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแน่ๆ”
“เธอใจดีมากที่พูดแบบนั้น”
ซูซูยิ้มและทำท่าว่าเธอไม่เป็นไร ตอนที่เธอเห็นหนิงเทียนซินฝันร้าย เธอก็พูดปลอบใจแล้วกลับไปนั่งตรงหน้าคอมพิวเตอร์ที่เตียงของเธอ เธอนั่งอยู่แบบนั้นทั้งคืนและยังไม่ได้นอนเลย ไม่งั้นเธอคงจะไม่ได้ไปยืนอยู่ข้างเตียงของหนิงเทียนซินแน่ๆ