Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 348 วิธีการเปิดเส้นปราณย่อย
ตอนที่ 348 วิธีการเปิดเส้นปราณย่อย
ตัวเลือกที่สองคือการใช้พลังปราณในการฝืนเปิดเส้นปราณย่อยเมื่อเส้นปราณย่อยเปิดออก,เซี่ยวเฉินจะสามารถบ่มเพาะชั้นที่หกของทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเป็นเช่นนั้น,เซี่ยวเฉินจะสามารถเร่งความแข็งแกร่งของเขาขึ้นมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม,ก่อนที่จะพูดถึงโอกาสสําเร็จอะนน้อยนิด,การฝืนเปิดเส้นปราณย่อยจะทิ้งความเสียหายแฝงเอาไว้อย่างแน่นอน หากไม่จัดการให้ดี,มันจะส่งผลต่อการบ่มเพาะพลังของเซี่ยวเฉินในอนาคต
หลังจากที่ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์หมุนเวียนครบอีกหนึ่งรอบใหญ่,เซี่ยวเงินก็ลืมตาขึ้น มีแสงสีม่วงออกมาจากดวงตาของเขา ฉายออกไปทั่วป่าที่มืดมิดในทันที
หลังจากแสงวูบผ่านไป,มันซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกของดวงตาเซี่ยวเฉิน เมื่อเขามองเห็นเศษพลังงานธาตุสายฟ้าสีม่วงที่หลงเหลืออยู่ในอากาศ,เขาโบกมือเบาๆ
พลังงานสีม่วงก่อนเป็นวังวนและมารวมตัวกันที่ฝ่ามือของเซี่ยวเฉินในทันที,เกิดเป็นก้อนเปลวเพลิงสีม่วง
เซี่ยวเฉินเหวี่ยงมือของเขาออกและยิงเปลวเพลิงสีม่วงออกไป มันเผาต้นไม้ที่อยู่ในทางจนกลายเป็นเถ้าถ่านโดยปราศจากเสียง
“ปัง!”
ในที่สุด มันก็ไปชนเข้ากับหน้าผา มันระเบิดเกิดเป็นหลุมกว้างร้อยเมตรที่ด้านข้างหน้าผายอดเขาสั่นสะเทือนเบาๆขณะที่หินดินร่วงหล่นลงมา
การยิงออกไปเบาๆก็ส่งผลถึงเพียงนี้ หากเป็นในอดีต,เซี่ยวเฉินจะรู้สึกพึ่งพอใจเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม,ตอนนี้เขาได้เห็นถึงพลังของระดับขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธ,เขารู้ว่านี้มันไม่คู่ควรที่จกกล่าวถึงหากเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง,เขาเป็นเพียงเด็กเล่น
เซี่ยวเฉินรวบรวมความคิดของเขาและพึมพํา “ตอนนี้ข้าอยู่ระดับยอดสุดขอบเขตนักบุญขั้นกลางข้าจําเป็นต้องเปิดเส้นปราณย่อยสี่เส้น”
“เมื่อข้าเลื่อนสู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง,หนึ่งในเส้นปราณสีเส้นจะเปิดออก… เมื่อข้าเลื่อนสู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูงสุด,ข้าจะเปิดเพิ่มอีกหนึ่งเส้น ในตอนที่เลื่อนสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ,ข้าจะเปิดอีกสองเส้นที่เหลือ
“กล่าวได้ว่า,ข้าสามารถบ่มเพาะชั้นที่หกของทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ได้ในตอนที่ข้าขึ้นสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ
เซี่ยวเฉินไม่แน่ใจว่าตัวเลือดไหนจะเป็นทางที่ดีที่สุด ฝืนเปิดเส้นปราณต้องแบกรับความเสี่ยง หากเขารอจนถึงระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ,เขาจะเสียเวลามากเกินไป
“ไม่เป็นไร ข้าจะไม่ไปคิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้ ข้าจะกลับไปนึกษาเรื่องนี้กับหรูเยวและฟังความคิดเห็นของนาง” เซี่ยวเฉินส่ายหัวและพักเรื่องปัญหานี้เอาไว้ จากนั้นเขาก็ออกเดินกลับไปที่ลานของเขา
ตอนนี้, ศึกใหญ่ที่ศาลากระปสวรรค์ได้ผ่านเลยไปสามวันแล้ว ในตลอดสามวันที่ผ่านมา,ศาลากระปสวรรค์ยุ่งวุ่นวาย
พวกเขายุ่งไปกับการซ่อมแซมตึกอาคารที่ถูกทําลายและรักษาสานุศิษย์ที่บาดเจ็บ
สําหรับเหล่าผู้อาวุโส,พวกเขายุ่งเสียยิ่งกว่าพวกเขาไม่เพียงแต่ต้องสั่งการทุกอย่าง เท่านั้น แต่พวกเขาต้องคํานวณขอบเขตความเสียหาย,ปลุกใจผู้คน และชดเชยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต,รวมถึงงานอื่นๆมันเป็นปัญหาที่เรียงแถวเข้ามาไม่หยุด
ภายในสามวันนี้,ข่าวลือทั้งหมดเกี่ยวกับศาลากระปสวรรค์แผ่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นซีเหอ
มีผู้เชี่ยวมากมายที่ที่กําลังมองดูความเสียหายในวันนั้น พวกเขายังรู้ถึงการที่กองทัพจักรวรรดิมังกรเข้าออกตามใจชอบเรื่องทั้งหมดนี้ไม่อาจปกปิดเอาไว้
ข่าวยิ่งลือไปไกลยิ่งออกทะเล มีข่าวลือที่ว่าผู้อาวุโสระดับสูงทั้งหมดตกตายและสานุศิษย์ถูกสังหารไปกว่าครึ่ง;มีกระทั่งข่าวลือว่าผู้อาวุโสหนึ่งถูกสังหาร
ข่าวลือทั้งหมดเกินจริงไปจากที่ศาลากระบี่สวรรค์ได้ประสบมา
จากนั้น พวกเขาก็เชื่อมโยงกับการเลื่อนสงครามจัดอันดับปลายปีเข้ากับข่าวลือ ทําให้เกิดภาพลักษณ์ที่ว่าศาลากระบี่สวรรค์ได้เสื่อมโทรมลงอย่างสมบูรณ์
นิกายและตระกูลเล็กที่รักษาความสัมพันธ์กับศาลากระบี่สวรรค์ทั้งหมดล้วนมีความคิดไม่มั่นคง
เซี่ยวเฉินรู้สึกประหลาดใจที่ศาลากระบี่สวรรค์ไม่สนใจจะออกไปชี้แจ้งแม้แต่น้อย
โดยไม่สนใจข่าวลือในโลกภายนอก,พวกเขาจดจ่อไปกับการฟื้นฟูศาลากระบีสวรรค์และรักษาสานุศิษย์
ในความคิดเห็นของเซี่ยวเฉิน,แม้ว่าศาลากระบี่สวรรค์ในอยู่ในช่วงเสื่อมโทรม,พวกเขาก็ยังเป็นขุมอํานาจที่แข็งแกร่งที่สุดภายในแคว้นซีเหอ
ศาลากระบี่สวรรค์มีห้าผู้อาวุโสระดับสูงขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธ แค่เรื่องนี้ก็ทําให้พวกเขานําหน้าขุมอํานาจอื่นๆไปไกลนอกจากนั้นยังมีผู้เชี่ยวชาญลึกลับที่ถือครองอาวุธเทพ
พวกเขายังควบคุมเหมืองวิญญาณที่ผลิตหินวิญญาณออกมาได้ไม่สิ้นสุด รวมกันทั้งหมดนี้,ตำแหน่งนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นซีเหอของศาลากระบี่สวรรค์มั่นคงดี
ความเสียหายที่ใหญ่หลวงที่สุดในศึกนี้ก็คือค่ายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของศาลากระปสวรรค์ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการจะลาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่
เซี่ยวเฉินไม่อาจไปสนใจเรื่องทั้งหมดนี้ นี่เป็นความคิดที่เข้ามาในตอนที่เขาเบื่อหน่าย เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลัง
แม้จะไม่ได้ใช้ทักษะเคลื่อนไหว,เซี่ยวเฉินก็รวดเร็วมาก ในไม่ช้า,เขาก็มาถึงที่ลานของเขาโดยไม่รู้ตัว
หลิวหรูเยว่และเสียวไปนั่งอยู่ลนโต๊ะหินในลาน พวกนางกําาลังเล่นหมากล้อมกันอย่างร่าเริง
หมากล้อมเป็นของที่เซี่ยวเฉินสร้างขึ้นในตอนที่เบื่อหน่าย นี่เป็นสิ่งที่ติดมาจากโลกก่อนของเขา ปกติ,ในที่เขามีเวลา,เขาจะเล่นกับเสี่ยวไปสองสามรอบ
เสี่ยวไป๋เฉลียวฉลาดตั้งแต่กําเนิด หลังจากที่อธิบายกฎให้นาง,นางก็เรียนรู้ได้ นอกจากนั้น,นางยังพัฒนาอย่างรวดเร็วตอนนี้ มันไม่ง่ายสําหรับเซี่ยวเฉินอีกต่อไปที่จะชนะนาง
เซี่ยวเฉินเดินเข้ามาเงียบๆและมองดูสถานการณ์บนกระดาน หลิวหรูเยว่กําลังได้เปรียบ,และเสี่ยวไป๋กําลังหมกมุ่นครุ่นคิดวิธีตอบโต้นางช่างแลดูน่ารัก
เมื่อหลิวหรูเยว่เห็นเซี่ยวเฉินที่ด้านข้าง,นางยิ้มขึ้นเบาๆ “เจ้ากลับมาแล้ว ความแข็งแกร่งของเจ้าดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”
เซี่ยวเฉินยิ้มตอบ “ข้าเจอกับกําลังปัญหาบางอย่าง เจ้าเล่นต่อไปให้จบก่อนแล้วข้าจะมาปรึกษากับเจ้าทีหลัง”
เมื่อเสี่ยวไป๋เห็นเซี่ยวเฉินกลับมาแล้ว,นางยิ้มอย่างมีความสุขในทันที “พี่ใหญ่เย่เฉิน,ช่วยข้าด้วยพี่สาวหรูเยว่เก่งเกินไปแล้ว;ข้าไม่เคยชนะนางสักครั้ง”
ทุกครั้งที่หลิวหรูเยว่อยู่ด้วย,เซี่ยวเฉินจะให้เสี่ยวไป๋เรียกเขาด้วยชื่อปลอม แม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าทําไม,แต่นางก็ทําตามอย่างเชื่อฟัง
เซี่ยวเฉินลูบหัวเสี่ยวไป๋เบาๆและยิ้มขึ้น “เข้าควรคิดด้วยตัวเอง เจ้าไม่อาจขอให้คนอื่นช่วยใน ตอนที่เล่น เจ้าต้องฝึกฝนและค้นหาแนวคิดด้วยตัวเอง”
เสี่ยวไปมุ่ยปากและกล่าว “พี่ใหญ่เย่เฉินก็เข้าข้างพี่สาวหรูเยวตลอด ท่านไม่ยินดีจะช่วยข้า
เซี่ยวเฉินส่ายหัวและยิ้ม จากนั้นเขาก็เป็นที่เสี่ยวไปกล่าวและหลบไปด้านข้างหลับตาลงและ พักผ่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวไปพ่ายแพ้หลิวหรูเยว่อีกครั้ง นางเก็บกระดานและร้องขึ้น “อออ,พี่สาวหรูเยว่เก่งเกินไป เสี่ยวไปไม่เล่นด้วยแล้วเหะเหะ, เสี่ยวไปจะไปเล่นกับพี่สาวเสี่ยวเมิ่ง ถึงแม้ว่านางจะร่วมมือกับพี่ชายเชาหยาง, พวกเขาก็เอาชนะเสี่ยวไปไม่ได้”
เมื่อนางกล่าวจบ,นางก็หอบเอากระดานหนีออกไปจากนั้น,นางก็ออกไปจากลานอย่างร่าเร็ง;ไม่มีร่องรอยความผิดหวังแม่แต่น้อย เห็นชัดว่านางไม่ได้สนใจเรื่องแพ้ชนะ
หลังจากที่เสี่ยวไปจากไป,เซี่ยวเฉินก็ลืมตาขึ้นและเดินไปที่ด้านข้างของหลิวหรูเยว่
หลิวหรูเยวถามขึ้น “เจ้าเจอเข้ากับปัญหาอะไร? บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”
เซี่ยวเฉินพยักหน้าและอธิบายถึงปัญหาที่เขาพบเกี่ยวกับการบ่มเพาะทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์อย่างละเอียดกับหลิวหรูเยว่
หลังจากที่หลิวหรเยว่ได้ฟัง,นางคิ้วขมวดเล็กน้อย ใบหน้าที่งดงาม,ทรงเสน่ห์ของนางเผยสีหน้าครุ่นคิดไตร่ตรอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง,หลิวหรูเยสก็ผ่อนคลายและเผยรอยยิ้ม นางกล่าวอย่างนิ่มนวล “เจ้าสามารถลองดูได้การเปิดเส้นปราณย่อยสี่เส้นพร้อมกันมันเสี่ยง,แต่หากเจ้าเปิดเพียงสองเส้น,ความเสี่ยงจะไม่มากนัก”
ดวงตาของเซี่ยวเฉินเปล่งประกาย เขากล่าว “เจ้ากําลังจะแนะนําว่าข้าควรรอจนกว่าข้าจะอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูงสุดก่อนที่จะเปิดเส้นปราณอีกสองเส้นที่เหลือ?”
หลิวหรูเยส่พยักหน้าและกล่าว “ถูกต้อง เมื่อถึงตอนนั้น,เจ้าจะต้องเตรียมตัวที่จะทะลวงสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ หากเจ้าสามารถบ่มเพาะทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ชั้นที่หก,มันจะเป็นการง่ายกว่าที่เจ้าจะทะลวงสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ”
“ในตอนที่เตรียมพร้อมในการเปิดเส้นปราณย่อย,อย่าลืมเตรียมสมุนไพรวิญญาณเอาไว้เพื่อบำรงเส้นปราณหากเจาสามารถหาซื้อเม็ดยาสําหรับบํารุงเส้นปราณ,ก็จะเป็นการดีกว่า”
“การฝันเปิดเส้นปราณมันบอบบางกว่าการเปิดเส้นปราณโดยธรรมชาติ หากไม่ป้องกันให้ดี,เส้นปราณย่อยอาจจะค่อยๆเหี่ยวแห้งไป”
“อย่างไรก็ตาม หากได้รับการบํารุงอย่างเหมาะสม,จะไม่มีความเสียหายแฝงหลงเหลือต่อเส้นปราณ”
เซี่ยวเฉินพลันรู้แจ้งในทันที แม้ว่าเซี่ยวเฉินจําเป็นต้องใช้เวลาเพื่อบ่มเพาะถึงระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูงสุด,แต่มันก็เร็วกว่าหารบ่มเพาะถึงระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธมาก
นอกจากนั้น,ตามวิธีของหลิวหรูเยว่ มันจะเป็นการง่ายกว่าในตอนที่ทะลวงขึ้นสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ
เซี่ยวเฉินเป็นสุขและขอบคุณหลิวหรูเยว่ “หรูเยว่,ขอบคุณจากใจจริง ช่วยได้ช่วยเหลือข้าอย่างใหญ่หลวงอีกครั้ง”
หลิวหรูเยวยิ้มอย่างอ่อนโยน ในตอนที่นางเห็นรอยยิ้มของเซี่ยวเฉิน,นางรู้สึกมีความสุขไปกับเขาจากก้นบึงของหัวใจ
หลิวหรูเยวพลันนึกอะไรขึ้นมาได้และกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว พ่อของข้าให้บอกเจ้าให้ขึ้นไปที่ยอดเขาในคืนนี้ เขามีเรื่องที่จะพูดคุยกับเจ้า
ค่ําคืนมาเยือนดวงดาวประดับท้องฟ้า เซี่ยวเฉินมองขึ้นไปที่ยอดเขาด้านบน,ความลังเลเติมเต็มสายตาขอบเขา
หากจะมีใครสักคนที่เขาหลาดกลัวจากกันบึงของหัวใจ ก็น่าจะเป็นคนผู้นี้ หลิวเทียนยู่
ความแข็งแกร่งของซ่งเฉว,หรืออ่านาจที่ผู้อาวุโสหนึ่งมี,แม้ว่าเซี่ยวเฉินจะเกรงกลัวพวกเขา,เขาก็ไม่ได้กลัวจนควบคุมไม่อยู่
เซี่ยวเฉินสามารถมองเห็นถึงขีดจํากัดบนและล่างของพวกเขา ในเมื่อเขารู้ถึงขีดจํากัด,เขาก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
มีเพียงหลิวเทัยนยู่…หากเซี่ยวเฉินเลือกได้ว่าจะไม่ไปพลเขา,เขาก็จะไม่ไปพบ
ในตอนที่เซี่ยวเฉินมาถึงศาลากระบี่สวรรค์ครั้งแรก,คนผู้นี้มอบผักกระบี่ให้กับเขามันช่วยให้เซี่ยวเฉินลบร่องรอยของจักรพรรดิอัสนีออกจากกระบี่เงาจันทร์
หลิวเทียนยู่มองเห็นถึงสถานะผู้สืบทอดจักรพรรดิอัสนีของเขา หลังจากนั้นเขาก็ถึงข่กึ่งบังคับเซี่ยวเฉินและส่งเขาเข้าไปในมิติแปลกประหลาด;เขาเกือบจะตายและไม่ได้กลับออกมา
ต่อหน้าหลิวเทียนยู่,เซี่ยวเฉินไม่มีความลับ คนผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัว
ไม่ว่าเซี่ยวเฉินจะโลเลอย่างไร เขาก็จําต้องไป เขาไม่อาจซ่อนตัว
เซี่ยวเฉินสงบสติอารมณ์ของเขาและดีดตัวออกจากพื้น,ไปตามทางอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่เซี่ยวเฉินมาถึงหน้าผาตั้งฉาก,เขาใช้คาถาแรงโน้มถ่วงบินขึ้นไป ผ่านไปครู่หนึ่ง,เขาก็ลงจอดอย่างมั่นคง
ที่บนยอดเขา,สายลมพัดรุนแรง,เป่าผมของเซี่ยวเฉินลอยสยาย เสื้อผ้าของเขาสั่นไหว,และเขาไม่อาจลืมตาขึ้นได้
หลิวเทียนยู่นั่งเงียบอยู่บนก้อนหิน สายลมพัดทะลุผ่าวราวกับเขาเป็นอากาศธาตุไม่มีความผันผวนแม้แต่น้อย
มีเพียงคนสองคนอยู่บนจุดยอดเขา
หลิวเทียนยู่ลืมตาขึ้นและจ้องมองมายังเซี่ยวเฉินอย่างเงียบๆด้วยสายตาที่ขุ่นมัว
ใบหน้าของหลิวเทียนยู่เต็มไปด้วยริ้วรอย;เขาดูแก่ชรายิ่งกว่าเมื่อก่อนหน้านี้ นี่คือคนที่แก่ชราไปตามอายุ
เซี่ยวเฉินรู้สึกไม่สบายภายใต้การจ้องมองของหลิวเทียนยู่ เขาถามขึ้นเงียบๆ “ผู้อาวุโส,ท่านเรียกหาข้ามีเรื่องอะไร? โปรดแจ้งให้ข้าร์