I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 443 เขตเทวะครึ่งก้าว?
เมื่อโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งลงสนามเสร็จแล้ว ก็หมายความว่าพิธีเปิดการประลองหุ่นรบสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ทุกคนรอคอยรายการถัดไปด้วยความอดทน
เวลานี้เอง ใจกลางสนามกีฬาหลักเริ่มเลื่อนสังเวียนขนาดเท่ากันขึ้นมาหนึ่งร้อยสนามช้าๆ การปรากฏตัวของสังเวียนเหล่านี้ก็หมายความว่าศึกประลองหุ่นรบในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และรายการที่ขึ้นแสดงอันดับแรกก็คือรายการตามธรรมเนียม การประลองทักษะต่อสู้มือเปล่า
“เวลานี้รบกวนให้สมาชิกที่เข้าร่วมการแข่งขันของแต่ละโรงเรียนไปแข่งขันบนสังเวียนตามหมายเลขของสังเวียนที่ทางคณะจัดให้ไว้ด้วยครับ!” พิธีกรกล่าวเตือน
ฉีหลงที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองพลันรู้สึกได้ว่าอุปกรณ์สื่อสารของตนสั่นขึ้นอย่างรุนแรง เขาเปิดดู ที่แท้ข้อมูลที่ทางคณะจัดให้มาถึงแล้ว เขาอยู่สังเวียนหมายเลข 17 เป็นคนแรกจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่ได้ขึ้นสนามเข้าร่วมการประลองทักษะต่อสู้มือเปล่า
เขาบอกลูกพี่ทันที ก่อนจะรีบร้อนไปยังสังเวียนหมายเลข 17 เตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันของเขา
ครั้งนี้ โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเข้าร่วมการประลองทักษะต่อสู้มือเปล่าห้าคน หลิงเทียนส่งฉีหลงออกไปแค่คนเดียว สี่คนที่เหลือมาจากเหลยถิง เทียนจี อู๋จี๋ และโดฮาอย่างละหนึ่งคน
อู่จย่งมองฉีหลงขึ้นสังเวียนด้วยความกังวล เอ่ยถามอย่างไม่สบายใจว่า “ฉีหลงขึ้นไปจะดีเหรอ?” ควรรู้เอาไว้ว่า การประลองทักษะต่อสู้มือเปล่าของศึกประลองหุ่นรบเป็นแหล่งรวบรวมอัจฉริยะด้านการต่อสู้มือเปล่าที่ร้ายกาจที่สุดจากทั่วทั้งสหพันธรัฐ ถึงขนาดที่สหพันธรัฐมีโรงเรียนทหารภาควิชาการต่อสู้มือเปล่า ซึ่งอบรมสั่งสอนพวกอัจฉริยะด้านการต่อสู้มือเปล่าโดยเฉพาะ ถึงแม้ทักษะต่อสู้มือเปล่าของฉีหลงจะแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเทียบกับอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเหล่านี้แล้ว เขายังไม่ค่อยไหวอยู่บ้าง
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดเหลือบมองหลิงหลานด้วยความเสียใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ลูกพี่หลาน ความจริงแล้วคนที่เหมาะสมกับการประลองทักษะต่อสู้มือเปล่ามากที่สุดในหลิงเทียนเราคือนายนะ ทำไมนายไม่ไป แต่ให้ฉีหลงไปแทนล่ะ?
หลิงหลานปรายตามองอู่จย่งอย่างเฉยชาและกล่าวว่า “ทักษะต่อสู้มือเปล่าของฉีหลงถึงจุดคอขวดพอดี การประลองแบบนี้มีประโยชน์ต่อการะทะลวงขีดจำกัดของเขามาก อีกอย่าง นายไม่คิดว่าถ้าฉันขึ้นไปแล้วจะเป็นการรังแกคนอื่นมากเกินไปเหรอ?”
ถึงแม้เรื่องที่เธอทะลวงขีดจำกัดไปถึงระดับเขตแดนจะมีคนรู้ไม่กี่คน แต่ตอนที่เธออยู่ระดับเขตแดนครึ่งก้าว เธอที่ไร้เทียมทานต่อคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับเขตแดนมาต่อสู้กับคนที่อยู่ระดับพลังปราณเหล่านี้ เป็นการต่อสู้ที่ได้เปรียบเพียงฝ่ายเดียวอยู่บ้างจริงๆ แน่นอนว่าหลิงหลานไม่เคยสนใจเรื่องนี้ การที่เธอไม่ขึ้นไปเป็นเพราะพลังของเธอเกิดปัญหา เธอกลัวว่าหากขึ้นไปประลองแล้ว สูญเสียการควบคุมขึ้นมา จะเกิดหายนะได้ และหลิงหลานไม่อาจบอกเรื่องพวกนี้ให้พวกอู่จย่งฟัง ได้แต่อดทนอย่างเงียบเชียบ เธอได้แต่ส่งฉีหลงขึ้นไปต่อสู้ และยังต้องแสร้งทำตัวมีคุณธรรมสูงส่งด้วย
อู่จย่งหันหน้ากลับไปโดยไม่ลังเล ฮือๆๆ ลูกพี่หลานรังแกคนเกินไปแล้ว เขาแค่เห็นแก่ตัวนิดหน่อย อยากให้โรงเรียนของเขาได้อันดับหนึ่งเยอะๆ เท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง? ต้องเหยียดหยามเขาขนาดนี้เลยเหรอ?
เอาเถอะ เด็กที่ไม่รู้ความจริงโดนหลิงหลานหลอกอีกคนแล้ว!
ฉีหลงโชคดีมาก คู่ต่อสู้ของเขาถือว่าค่อนข้างอ่อนแอ ฉีหลงไม่ได้เสียแรงมากเท่าไหร่นักก็เอาชนะคู่ต่อสู้ เข้ารอบได้สำเร็จ บางทีคู่ต่อสู้อาจจะอ่อนแอมากเกินไป สู้แล้วไม่สะใจเลย ตอนที่ฉีหลงกลับมาดูอารมณ์ไม่ดีนักอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่การต่อสู้ของฉีหลงสิ้นสุดลงก็หมายความว่า ภารกิจของฉีหลงในวันนี้จบลงแล้ว แค่รอให้ถึงวันรุ่งขึ้น หลังจากที่รายชื่อผู้ที่เข้ารอบสองออกมาแล้ว ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักจะสุ่มจัดคู่ต่อสู้คนใหม่ให้ ฉีหลงจะเดินไปไกลได้อีกไหมนั้นยังต้องการโชคที่ดีสักเล็กน้อยด้วย อย่าเจอคู่ต่อสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังสามารถคว้าอันดับหนึ่งได้ตั้งแต่แรก เขาถึงจะมีความหวังอยู่บ้าง
ถึงแม้สมาชิกของเหลยถิง เทียนจี อู๋จี๋และโดฮายังไม่ถึงตาเข้าประลองรอบแรก แต่หลิงหลานก็ไม่อยากรอต่อไปแล้ว ถ้าเกิดสี่คนที่ได้รับเลือกนั้นไม่อาจผ่านรอบแรกไปได้ พวกเขาก็ไม่คู่ควรกลายเป็นตัวแทนเข้าประลองของกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ หลิงหลานจึงไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
หลิงหลานเลยพาคนของหลิงเทียนรวมถึงบรรดาสมาชิกที่ไม่สนใจจะดูต่อออกไปจากสนามกีฬาหลักเช่นนี้เอง ขณะเดียวกันเธอก็ปฏิเสธคำแนะนำของพวกฉีหลงที่อยากไปเที่ยวเล่นในสถานบันเทิงของเขตที่พัก และกลับมายังห้องของตัวเองตามลำพัง
หลิงหลานปฏิเสธคำชวนของเพื่อนๆ อย่างเด็ดขาดขนาดนี้เป็นเพราะเธอมีความมั่นใจแปดสิบเปอร์เซ็นต์ว่า หลิงเซียว คุณพ่อของเธอจะต้องมาหาเธอหลังจากที่เธอออกจากสนามกีฬาหลักอย่างแน่นอน
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ผ่านไปไม่นาน ประตูห้องของหลิงหลานก็ถูกเคาะ หลิงหลานเปิดประตูก็เห็นดวงหน้ายิ้มละไมของพ่อเธอที่พิงอยู่ตรงขอบประตูอย่างสบายอกสบายใจ รอคอยการเปิดประตูของเธอ
หลิงหลานเห็นแบบนั้นก็อดเบ้ปากไม่ได้ พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเหน็บแนมว่า “คุณพ่อครับ กองทัพที่ยี่สิบสามของคุณยังไม่ได้สร้างขึ้นมาหรือไง? ถึงได้มีเวลาว่างเข้าร่วมพิธีเปิดศึกประลองหุ่นรบแบบนี้?”
หลิงเซียวได้ยินก็หัวเราะลั่นขึ้นมา ยื่นมือไปขยี้ผมบนศีรษะหลิงหลาน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอาว่า “อะไรกัน นี่พ่อมาเพื่อให้กำลังใจลูกเลยนะ ลูกยังไม่ชอบอีกเหรอ?”
“แต่ทำไมคุณพ่อถึงพาแม่มาด้วยล่ะ?” ตอนที่หลิงหลานเอ่ยถึงหลานลั่วเฟิ่งก็สูญเสียความเฉยชาในยามปกติของเธอไป ดูหงุดหงิดเล็กน้อย แน่นอนว่าหลิงหลานยังคงแสดงท่าทีสงบนิ่งมาก แต่หลิงเซียวคือใคร? ต่อให้น้ำเสียงของหลิงหลานเปลี่ยนไปแค่นิดเดียว เขาก็สังเกตเห็นได้
หลิงเซียวประหลาดใจแล้วก็อดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ เขาประหลาดใจที่พอลูกสาวหน้าเย็นชาของเขาคนนี้เผชิญหน้ากับหลานลั่วเฟิ่ง ก็จนปัญญาเหมือนกับเขา ขณะเดียวกันก็อิจฉาหลานลั่วเฟิ่งอยู่ลึกๆ ที่มีตำแหน่งสูงส่งในใจหลิงหลาน…การเรียกว่า ‘แม่’ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความรู้สึกที่สนิทสนมและล้ำลึกระหว่างพวกเธอแม่ลูกแล้ว พอนึกถึงหลิงหลานที่ยังคงเรียกเขาว่า ‘คุณพ่อ’ จวบจนถึงตอนนี้ ในใจหลิงเซียวก็รู้สึกขมขื่นปวดร้าวขึ้นมาทันที ว่าไปแล้วปีนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจทอดทิ้งภรรยาลูกสาวจริงๆ เมื่อไหร่หลิงหลานจะให้อภัยเขา และยอมรับเขาอย่างแท้จริงเสียที?
หลิงเซียวโยนความรู้สึกงุ่นง่านใจนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเรียกกำลังใจให้ตัวเองและตอบหลิงหลานว่า “หลังจากที่ลูกเรียนจบปีหนึ่งก็ส่งแค่ข้อความบอกว่าจะอยู่โรงเรียน ไม่กลับบ้าน แม่ของลูกคิดถึงลูกมากๆ พอรู้ว่าลูกจะเข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบ ลูกคิดว่าแม่จะปล่อยโอกาสนี้ไปเหรอ?”
หลิงเซียวโยนความรับผิดชอบให้ภรรยาตัวเองโดยไม่ลังเล ไม่ยอมรับเด็ดขาดว่า เขาคิดถึงลูกสาวมากเหลือเกินถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้
หลิงหลานนึกถึงตอนที่เธอวิดีโอคอลกับแม่โดยที่ตัดสินใจแบบนี้ สีหน้าคลุ้มคลั่งของแม่ในเวลานั้นทำให้เธอพูดไม่ออกทันที เอาเถอะ ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเอง!
“แม่อยู่ไหนครับ?” หลิงหลานเห็นด้านหลังหลิงเซียวไม่มีใครเลยสักคน ก็รู้ว่าสถานที่เจอหน้ากันย่อมไม่ใช่ที่นี่อย่างแน่นอน
“อยู่ในห้องชาเขตพักผ่อนของแขกกิตติมศักดิ์!” มุมปากของหลิงเซียวเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ปลื้มใจที่หลิงหลานสามารถรู้เป้าหมายที่แท้จริงในการเดินทางครั้งนี้ของเขาได้ในพริบตา
“งั้นรบกวนคุณพ่อนำทางด้วยครับ” หลิงหลานเอ่ยอย่างจนใจ ในเมื่อหนีไม่พ้นแล้ว ไม่สู้เข้าไปเร็วหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้แม่ของเธอบันดาลโทสะที่สั่งสมมากเกินไป เวลานั้น เธอมีแต่จะน่าเวทนามากยิ่งขึ้น
หลิงเซียวได้ยินคำกล่าวกลับไม่ขยับเขยื้อน เขาพิงอยู่ที่ขอบประตูและเก็บรอยยิ้มช้าๆ หลังจากนั้นก็มองหลิงหลานอย่างสงบนิ่ง สายตาคมกริบทำให้หัวใจของหลิงหลานหดเกร็ง เธอสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทรงพลังสายหนึ่งพุ่งปะทะเข้ามาที่หน้า ทำให้พลังของหลิงหลานเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง
พลังของหลิงเซียวถูกปล่อยออกมาเพียงแวบเดียวเท่านั้น เมื่อแรงกดดันหายไป หลิงหลานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบระงับพลังที่พลุ่งพล่านไม่ยอมเชื่อฟังอย่างสุดกำลัง หลังจากที่เก็บงำพลังที่บ้าคลั่งเหล่านี้แล้ว หน้าผากของหลิงหลานก็ผุดหยาดเหงื่อนับไม่ถ้วน รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
หลิงเซียวเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สภาพของหลิงหลานเลวร้ายกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก เขาโยนเป้าหมายในตอนแรกทิ้งไปทันที เอ่ยว่า “ไปห้องประลองของที่นี่”
เพื่อให้เหล่านักเรียนทหารที่เข้าร่วมการประลองมีสถานที่ผ่อนคลายหลังจากการแข่งขัน ดังนั้นเขตที่พักจึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ความบันเทิงต่างๆ นานามากมาย รวมถึงสร้างพวกห้องออกกำลังกาย ห้องประลองเพื่อให้นักเรียนระบายแรงกดดัน
หลิงหลานรู้ว่าหลิงเซียวสังเกตเห็นปัญหาของเธอเช่นกัน ไปห้องประลองคงเพราะอยากทำความเข้าใจให้ถี่ถ้วน ดังนั้นเธอจึงไม่ปฏิเสธ และพาหลิงเซียวไปที่แผนกบริการแล้วยื่นคำขอห้องประลองหนึ่งห้องทันที
แน่นอนว่าตอนที่อยู่ในแผนกบริการ หลิงหลานสัมผัสกลิ่นอายของหลิงเซียวไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง คิดๆ ดูแล้ว หลิงเซียวไม่อยากโดนคนจับได้ก็เลยซ่อนตัวไว้ น่าเสียดายที่จากความสามารถของหลิงหลานในตอนนี้ เธอไม่สามารถรับรู้กลิ่นอายของหลิงเซียวได้ เธอให้เสี่ยวซื่อใช้อุปกรณ์วงจรปิดของที่นี่ทำการค้นหาอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่พบร่องรอยของหลิงเซียวเช่นกัน นี่ทำให้หลิงหลานทอดถอนใจไม่หยุด ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะสมกับเป็นกำลังรบระดับสุดยอดของสหพันธรัฐจริงๆ กระทั่งเสี่ยวซื่อที่เป็นเทพเสมือนจริงก็รับรู้การเคลื่อนไหวของหลิงเซียวไม่ได้เช่นกัน
หลิงหลานเปิดห้องประลอง เพิ่งจะเข้าไปก็เห็นหลิงเซียวปรากฏตัวขึ้นในนั้นฉับพลัน และภายในห้องก็เกิดเสียงดัง เปรี๊ยะๆๆ หลายครั้งแทบจะเป็นพร้อมเพรียงกัน หลิงหลานอึ้งไปก่อนจะเข้าใจ คาดว่าตอนที่หลิงเซียวปรากฏตัวขึ้น อุปกรณ์วงจรปิดทั้งหมดในห้องประลองแห่งนี้ต่างถูกพลังของหลิงเซียวกระแทกจนพังแล้ว
ถึงแม้ว่านี่จะก่อปัญหาให้หลิงหลานเล็กน้อย ต้องชดใช้ค่าอุปกรณ์วงจรปิดเหล่านี้ แต่เมื่อเทียบกับการที่หลิงเซียวโดนจับได้แล้ว ปัญหาเล็กๆ พวกนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย หลิงหลานรีบปิดประตูห้อง ตราบใดที่เธอไม่ออกไปจากห้องประลองแห่งนี้ ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้ทั้งนั้น และก็ไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นได้ว่าหลิงเซียวอยู่ที่นี่ด้วย
“มาสิ หลานเอ๋อร์ พวกเราสู้กันสักรอบ” อยากรู้ปัญหาของหลิงหลานให้ถ่องแท้ก็ต้องต่อสู้จริงสักยก เสียงของหลิงเซียวเพิ่งจะจางหาย เขาก็ต่อยเข้าไปโดยไม่เกรงใจเลยสักนิดเดียว
ความเร็วของหลิงเซียวไวมากเกินไป หลิงหลานเห็นเพียงหลิงเซียวยกมือขึ้น ภาพถัดมา กำปั้นของเขาก็มาถึงเบื้องหน้าเธอแล้ว หลิงหลานไม่มีโอกาสที่จะยื่นมือไปขวางไว้เลย ทำได้เพียงเอนไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็ยกมือสองข้างขึ้นมา แขนสองข้างไขว้กันสกัดหมัดที่ดูเหมือนทรงพลังนี้…
‘ปัง’ หลิงหลานถูกพลังสายนี้อัดใส่จนถอยหลังติดต่อกันหลายก้าวทันที ถึงค่อยยืนทรงตัวได้มั่นคง ส่วนหลิงเซียวกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว เขาเก็บกำปั้นของตัวเองกลับไปด้วยสีหน้าสบายๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ทุ่มสุดกำลังในหมัดนั้น
แววตาของหลิงหลานหดลง ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือว่าความเร็ว การโจมตีนี้เพียงพอที่จะยืนยันว่าระดับทักษะต่อสู้มือเปล่าของพ่อเธออยู่ที่ระดับเขตแดน และเขตแดนของเขาไม่ใช่เขตแดนจำลองที่ยังไม่พัฒนาโดยสมบูรณ์เหมือนอย่างของเธอในตอนนี้ หากแต่เป็นเขตแดนที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ความห่างชั้นของระดับขั้นนี้ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ทำได้เพียงเป็นฝ่ายรับคอยป้องกันเท่านั้น
ขณะเดียวกัน หลังจากที่หลิงเซียวเก็บหมัดกลับไปแล้ว สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกนิดหน่อย การโจมตีเมื่อสักครู่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ดูคุ้นเคย เขาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่อาจทำใจเชื่ออยู่บ้าง ทว่าไม่สามารถข่มกลั้นความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่พรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่งในใจ ลูกสาวของเขา ได้เข้าสู่ระดับนั้นเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ ใช่ไหม?
หลิงเซียวมองลูกสาวที่เวลานี้ยืนตั้งท่าป้องกันอยู่ไม่ไกลจากเขาด้วยความอึ้งทึ่ง เขาเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ กล่าวว่า “หลานเอ๋อร์ ถ้าเกิดลูกไปถึงระดับนั้นแล้วจริงๆ ก็แสดงความสามารถของลูกออกมาทั้งหมดเถอะ”
มุมปากของหลิงหลานยกขึ้นเล็กน้อย นึกแล้วเชียว พ่อของเธอแค่สัมผัสพลังปราณของเธอก็สังเกตเห็นความลับของเธอแล้ว นี่ยืนยันว่าคุณพ่อของเธอก็ไปถึงระดับนี้แล้วเหมือนกัน หลิงหลานเชื่อว่า ระดับขั้นของเขตแดนหลิงเซียวสูงกว่าเธอมากแน่นอน เขาแค่ยืนเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่าไม่มีโอกาสเอาชนะได้ ทำได้เพียงแหงนหน้ามองเท่านั้น…หลิงหลานอดคาดเดาไม่ได้ว่า พ่อของเธอไปถึงขีดจำกัดสูงสุดของระดับเขตแดนแล้วใช่หรือเปล่า เข้าสู่ขอบเขตกึ่งเทวะ เขตเทวะครึ่งก้าวนั้นแล้ว?
เธอนึกถึงไฟล์ลับสุดยอดของหลิงเซียวที่เคยให้เสี่ยวซื่อแฮคมา ระดับทักษะต่อสู้มือเปล่าของเขาเป็นเครื่องหมายคำถามตลอด ทางกองทัพเคยคาดการณ์ว่าหลิงเซียวอาจจะอยู่ขั้นต้นของเขตแดน ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขายังคงดูถูกหลิงเซียว ประเมินคุณพ่อของเธอต่ำไป
————————