ตอนที่ 0: Prologue
ตัวทำฉันได้แต่นอนแหงนมองท้องฟ้า
อย่างน้อยก็จนกว่าอาการหายใจติดขัดและเหงื่อจากทั่วร่างจะแห้ง
เหล่าก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเอย ดวงจันทร์สามดวงเอย เมื่อทอดสายตาลงมาสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นคือ ทุ่งหญ้า ยาวสุดลูกหูลูกตา
ตรงขอบฟ้าจะมองเห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายแตรถูกเสียบอยู่กับพื้นมันมีชื่อว่า หอคอยโอโดริจิ
ว่ากันว่าตำนานท้องถิ่นมันเป็นแตรของยักษ์ที่สร้างโลก แต่ตามนักเล่าเรื่องผู้มีชีวิตมายาวนานได้กล่าวไว้ว่า มันคือหอคอยจากต่างแดนที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า และนักบวชจากขุมนรกได้กล่าวไว้ว่า มันคือหอคอยที่ถูกเทพเจ้าทอดทิ้งนั่นแหละ
ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นจริงหรือเป็นเรื่องราวไร้สาระที่บรรพบุรุษแต่งขึ้น แต่สิ่งที่รู้คือหอคอยได้นำพา ประโยชน์และโทษมาให้ครับผู้คนบนโลกใบนี้ ได้ในปัจจุบันเป็นกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการใช้ชีวิต
หอคอยได้ ให้กำเนิดเหล่าฮีโร่และในเวลาเดียวกันก็ได้พรากชีวิตของพวกเขา ความร่ำรวยจากการพิชิตหอคอยได้ให้กำเนิดประเทศมากมาย สมบัติข้างในก็ได้นำพาความล่มสลายมาสู่นานาประเทศ มันได้นำพาโชคลาภในขณะเดียวกันก็ได้สร้างความโกลาหล และนักผจญภัยที่ปราบหอคอยนั้นจะเป็นผู้สร้างตำนานบทใหม่
ในช่วงเวลาจำกัดหนึ่งปีที่เหลือฉันต้องทำการพิชิจดันเจี้ยน
โดยมีเป้าหมายคือการสำรวจชั้นที่ 56 แต่ฉันไม่รู้ว่ามันจะยากหรือง่ายน่ะ
เอาล่ะมาเริ่มสำรวจดันเจี้ยน
แต่ก่อนหน้านั้นฉันเตรียมที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรกละน่ะ
<<อารัมภบท>>
กรกฎาคม ปี 1946 มนุษย์สามารถยืนยันการคงอยู่ของต่างโลก
ในปี 1949 กลุ่มคณะสำรวจได้ถูกส่งโดยประเทศประเทศหนึ่งอย่างเป็นทางการ
ตุลาคม ปี 1951 ผู้นำของประเทศมหาอำนาจได้ทำการส่งกองกำลังขนาดใหญ่ไปยังที่แห่งนั้น
ในช่วงเวลานั้น เหล่าสื่อมวลชนได้ทำการเสนอข่าวความคืบหน้าเกือบทุกวัน เอลฟ์ผู้มีร่างกายงดงาม เหล่าคนแคระที่ทรงพลัง และเผ่ามนุษย์สัตว์หลากหลายสายพันธุ์ และการคงอยู่ของเวทย์มนตร์ที่เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ หลายสำนักข่าวพยายามเสนอพาดหัวข่าวเหล่านี้ เนื่องจากเหมาะที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของคน จากความบอบช้ำของสงครามโลกและความหวาดระแวงของสงครามครั้งใหม่
เรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยในต่างโลกได้ถูกพิมพ์เป็นหนังสือ โดยหนังสือนั้นได้ถูกมานำไปดัดแปลงเป็นละคร และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ได้มี ความพยายามในการส่งเสริมให้มีการเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต่างโลกสำหรับพวกคนมีเงินทั้งหลาย
มันเป็นโลกที่ไม่มีใครเคยสัมผัสอย่างแท้จริง
ได้จุดประกายความใฝ่ฝันและได้สร้างความอิจฉาริษยาให้กับบรรดาผู้คน
แต่คนเรานั้นยังไงก็ต้องตื่นจากความฝัน
กุมภาพันธ์ ปี 1955 ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งถูกพิมพ์ขึ้น โดยหนังสือได้เผยเกี่ยวกับกองกำลังที่ถูกส่งไปยังต่างโลก เผยถึงความจริงที่เหล่าผู้เดินทางได้กระทำไว้ในต่างโลก
พูดง่ายคือ การทำลายล้าง การลอบวางเพลิง การข่มขืน และการล้างเผ่าพันธุ์
ในส่วนของการแถลงการณ์ ของกองทัพของผู้บังคับบัญชากองกำลังที่เดินทางไปยังต่างโลก ได้กล่าวไว้ว่ามันเป็นการถากถางที่ดินเพื่อการสร้างฐานทัพ ส่วนการวางเพลิงนั้นเนื่องจากการพิจารณาในด้านของสุขอนามัย เหตุการณ์การข่มขื่นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงเป็นการสมยอมทั้งสองฝ่ายต่างหาก และพวกเขาเพียงแค่ป้องกันตัวเองเมื่อถูกโจมตีจากเผ่าพันธุ์ข้างเคียงและไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นแต่อย่างใด
มันเป็นแถลงการณ์ที่น่าอับอายและไร้ศีลธรรมของกองทัพ ไม่มีประชาชนคนไหนหลงเชื่อ
ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องราวของหนังสือที่เปิดเผยได้มีการนำไปสร้างเป็นละครและได้มีการทำเป็นภาพยนตร์ เหล่าบรรดาเศรษฐี สุลต่านทั้งหลายที่ได้ไปยังต่างโลก ต่างก็ให้การว่าพวกเขานั้นได้ทำการล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนาน การยิงมนุษย์สัตว์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังต่างโลกได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาใหญ่
โดยการเปิดประตูวาร์ปสำหรับเดินทางไปยังต่างโลกในแต่ละครั้ง สามารถเปิดเป็นประตูแสงขนาดความกว้าง 2เมตร ซึ่งทำการเปิดได้เพียง 5 วินาทีต่อหนึ่งคนในการเดินทางไปยังต่างโลก สำหรับพลังงานที่ใช้ในการเปิดประตูนั้นแพงมหาศาล เดินทางในแต่ละครั้งไม่สามารถเทียบได้กับค่าใช้จ่ายที่สูญเสียไป ต่อให้กลับมาพร้อมกับทองคำน้ำหนักเท่าตัวของผู้ที่เดินทางก็ตาม
ได้มีการตรวจสอบทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชน์หลายอย่าง แต่ไม่มีทรัพยากร ในที่มีค่ามากพอที่จะชดเชย การเปิดตัวแต่ละครั้งได้เลย อีกทั้งเวทย์มนตร์ที่สามารถใช้ได้ในต่างโลกนั้นถือเป็นเรื่องเพ้อฝัน เนื่องจากไม่สามารถนำกลับมายังโลกปัจจุบันได้
มกราคม ปี 1956 กองทัพใหญ่กลุ่มใหม่ที่ถูกส่งเข้าไปก็ได้ถูกทำลายย่อยยับไปเหมือนกัน
แต่ก่อนตาย ผู้บัญชาการทหารของกองทัพก่อนหน้านี้ ได้ทิ้งคับคำนึงไว้ว่า
ในโลกนั้นน่ะ มีพระเจ้าอยู่
ส่วนสาเหตุต่างๆนั้นไม่มีใครรู้จนถึงทุกวันนี้
กุมภาพันธ์ ปี 1956
ได้มีการลงนามเซ็นสนธิสัญญาห้ามทำรุกรานต่างโลกเกิดขึ้น แต่ชื่อของตัวแทนจากทางต่างโลกนั้นไม่ได้รับการเปิดเผย
มิถุนายน ปี 1957 ด้วยการพัฒนาโครงการสมองในรูปแบบของเหลว โลกได้ให้กำเนิดปัญญาประดิษฐ์ตัวแรกขึ้นมาในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็เริ่มตั้งเป้าหมายในการเดินทางไปสำรวจอวกาศ
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำอันป่าเถื่อนของพวกเขาในอดีต เหล่ามนุษย์ชาติเริ่มหลงลืมเกี่ยวกับต่างโลก
ในยุคปัจจุบันตัวฉันได้รู้ตัวตนของต่างโลกผ่านเกม
ไม่ว่าสภาพความเป็นอยู่ของฉันจะเลวทรามบัดซบแค่ไหนเกมส์ก็ไม่เคยทรยศฉัน เว้นเสียแต่ฉันจะทรยศเกมส์ก่อน สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีการศึกษาอย่างฉัน มันไม่มีอะไรที่สนุกกว่าการเล่นเกมส์ มันเป็นงานอดิเรกที่ไม่ได้เสียตังค์มากมายขนาดนั้น และข้อดีที่สุดมันไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
แต่ในช่วงปลายมีนาคมที่ผ่านมา ฉันได้พบกับบริษัทน่าสงสัยบริษัทหนึ่งเข้า
ตัวฉันที่เพิ่งเดินทางมาถึงญี่ปุ่นได้ไม่นาน ก็รู้สึกสิ้นหวังเมื่อรู้ถึงปัญหาของน้องสาว พูดง่ายๆก็คือปัญหาเรื่องเงิน ในตอนนี้ฉันต้องการเงินจำนวนมาก สำหรับตัวฉันที่ใช้ชีวิตอย่าสิ้นหวังในแต่ละวันมันเป็นเงินจำนวนที่ไม่แน่ว่าในชาตินี้ฉันจะหาได้ไหม
และพระเอกที่เสนอตัวมาช่วยนั่นคือบริษัทน่าสงสัยนั้น
ตัวฉันไม่มีทักษะหรือความสามารถพิเศษที่ดีพอจะทำให้ฉันถูกว่าจ้าง มันคงไม่มีบริษัทไหนโง่พอมาจ้างคนอย่างฉันอย่างแน่นอน งานที่ให้ทำนั่นมันคงจะไม่ใช่อะไรที่ถูกกฎหมาย แต่คนห่วยๆอย่างฉันมันก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และตอนนี้ฉันต้องการใช้เงินจำนวนมาก ฉันจึงเลือกที่จะไปสัมภาษณ์งาน
ฉันได้หยิบยืมชุดสูทของคุณพ่อที่เสียไปมาจากน้องสาว และได้เดินทางไปยังห้องโถงที่มีความหรูหราในตึกขนาดใหญ่ มีพนักงานต้อนรับแสนสวย คอยนำทางไปยังชั้นใต้ดินที่คับแคบและมืดมน จนมาถึงห้องที่มีลักษณะเหมือนห้องเก็บของขนาดใหญ่
คนที่ให้สัมภาษณ์เป็นผู้ชายมีอายุประมาณ 50 – 60 ปี มีผมที่บางทรงบาร์โค้ด สวมแว่น และยากที่จะอ่านสีหน้า กำลังอ่านรีซูเม่ ที่น้องสาวใช้ความพยายามอย่างหนักช่วยทำให้
[เชิญนั่งได้ เนื่องจากผมไม่มีเวลาว่างมาก เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ]
[โอ้ว โอเค]
ชายคนนั้นทำการสัมภาษณ์ทันทีที่ฉันนั่งลง
[รู้สึกมีความไม่เต็มใจที่ทำงานที่มีความเสี่ยงหรือไม่?]
[ไม่]
[คุณมีเพื่อนบ้างไหมเนี่ยครับ?]
[ไม่]
[คุณพร้อมที่จะทำผิดศีลธรรมหรือใช้ความรุนแรงหรือไม่ครับ?]
[ถ้าหากมีความจำเป็นล่ะก็น่ะ…]
[คุณเป็นผู้นับถือศาสนาหรือว่าเป็นผู้ถือนิกายอื่นๆหรือเปล่าครับ?]
[ตัวผมไม่นับถือศาสนา]
[คนเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าไหมครับ?]
[เชื่อครับ]
มีเทพเจ้าเกี่ยวกับข้าวอยู่ตั้ง 3 องค์*
[คุณมีประสบการณ์ในการพรากชีวิตผู้อื่นหรือไม่ครับ?]
[หืมมม… ไม่เคยครับ]
ตัวฉันไม่เคยฆ่าคนมาก่อน
[ช่วยบอกผมมาตามตรงนะครับ คุณคิดว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่นั้นคืออะไรครับ?]
[มันหมายถึงการที่เราต้องพรากลมหายใจของสิ่งมีชีวิตอื่น]
[คุณญาติสนิทหรือบุคคลใกล้ชิดหรือไม่ครับ?]
[มีน้องสาวหนึ่งคนครับ]
[คุณสามารถเก็บรักษาความลับของบริษัทได้หรือไม่ครับ?]
[ถ้าหากผมได้เงินแล้วก็นะ]
[เข้าใจแล้วครับ…….]
ทั้งห้องเข้าสู่ความเงียบไปชั่วขณะ
[ผมขอพูดตรงๆเลยนะ คนอยากลองไปต่างโลกไหมครับ]
[? ถ้าหากผมได้เงินแล้วก็นะ
ในจังหวะนี้ผมถือโอกาสสอบถามเกี่ยวกับค่าตอบแทนแล้วรู้สึกช็อคมาก เมื่อได้เห็นจำนวนเลขศูนย์ที่เขาเสนอมาให้ ผมจึงถือโอกาสยืนยันจำนวนเงิน และให้พวกเขาทำการโอนไปยังบัญชีของน้องสาวก่อนที่จะตกลงรับงาน
พวกเขาพาของไปอีกห้องหนึ่งเพื่ออธิบาย เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ
โดยในต่างโลกนั้นมีทวีป ใหญ่อยู่สามทวีป
โดยชื่อของแต่ละทวีปนั้นไม่มีใครรู้ แต่มีการใช้ชื่อเรียกว่าทวีปซ้าย ทวีปกลาง แต่ทวีปขวา เพราะว่ามันเลี้ยงตามหลักภูมิศาสตร์ ในอดีตมนุษย์ชาติได้ทำการส่งของทัพไปยังทวีปซ้าย แต่ครั้งนี้เราจะทำการส่งไปยังทวีปขวาแทน โดยปฏิบัติการนี้มีเป้าหมายไปยังการเก็บกู้ชิ้นส่วนของมอนสเตอร์ หรืออะไรก็ตามที่อยู่ที่ชั้น 56 ของ“หอคอยโอโดริจิ” แต่เพราะเรามีระยะเวลาจำกัดในการเก็บกู้ 1 ปี
ฉันไม่เข้าใจคำศัพท์ที่พวกเขาอธิบายในทางเทคนิคเลยสักนิด แต่จำได้ว่าพวกอุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆสามารถ ใช้งานได้โดยเปลี่ยนแร่ที่พบมาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา สำหรับการเรียนเกี่ยวกับตัวเร่งปฏิกิริยาและหินธาตุต่างๆฉันคิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับฉัน ฉันก็แค่เป็นเบ๊แบกของเท่านั้น
พวกเขามีแผนการที่จะส่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 6 คนและ AI 3 ตัว อย่างไรก็ตาม สมาชิกคนหนึ่งได้เกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตกะทันหัน ผมจึงถูกเลือกเข้ามาเติมตำแหน่งที่ว่าง
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สามารถหาสมาชิกสำรอง ได้ทัน เนื่องจากมีการคัดกรองการเก็บรักษาความลับของภารกิจ ไหนตอนแรกฉันก็สงสัยเกี่ยวกับคำอธิบายนั้นเหมือนกัน แต่งานก็คืองาน มันไม่ใช่เรื่องของฉันที่ต้องกังวลในตอนนี้
ฉันกังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตกับคนที่ไม่รู้จักเป็นเวลาหนึ่งปีมากกว่า อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งคงจะดีกว่าเป็นชาวต่างชาติละมั้ง
[เออ ผมถามได้ไหมครับ?]
ผมถามขึ้นมา
[โอ้ เชิญถามมาได้เลยครับ]
ผู้ให้สัมภาษณ์ตอบผมอย่างใจเย็น
[คือ…. พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ครับ?]
[อ๋อ พวกเราจะออกเดินทางกันในอีกสองชั่วโมงครับ]
[คุณต้องล้อผมเล่นกันแน่เลย]
[มันเป็นความจริงครับ]
ถึงผมจะได้รับคำตอบมาก็เถอะ ตอนนี้คำถามต่างๆในหัวผมหายไปหมดเหมือนถูกน้ำเย็นราดใส่ แต่ผมมีสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ฉันควรทำก่อนสิ่งอื่นเลย
[โทษนะครับ ขอผมโทรหาน้องสาวหน่อยได้ไหมครับ]
[เชิญเลยครับ แต่ทางผมคงต้องขอติดเครื่องดักฟัง]
[ด้วยความยินดีครับ?)]
ถึงแม้มันจะดูสายเกินไปแล้วก็เถอะ แต่ฉันรีบใช้สมาร์ทโฟนออกมาคุยข้างนอกห้องตรงระเบียง ว่าน้องสาวจะหลับโทรไปถึงสองรอบก็เถอะ
{ค่า หนูเอง}
[โหล ยูกิคาเซะจัง]
{ช่วยอย่าเรียกหนูด้วยน้ำเสียงน่ารังเกียจอย่างงั้นได้หรือเปล่า}
[ขอโทษน่ะ ยูกิคาเซะจัง พี่ผิดเองยูกิคาเซะจัง โอนี่จังน่ะ ได้งานทำแล้วล่ะ]
{ตายซะ! เจ้าคนน่าสะอิดสะเอียน! ยินดีด้วยที่มีงานทำ ถึงจะกะทันหันไปหน่อยแต่แน่ใจนะว่าเป็นบริษัทที่มันน่าเชื่อถือ?}
[อื่ม ใช่อยู่หรอก โอนี่จังจะเริ่มทำงานอีกสองชั่วโมง และโอนี่จังอาจจะไม่ได้กลับบ้านไปอีกหนึ่งปี แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ]
{นี่มันแบล็กคอมพานีชัดๆ}
[แต่ค่าตอบแทนเค้าให้เยอะอยู่นะ]
{แล้วเรื่องสวัสดิการกับประกันสังคมล่ะ?}
ผู้สัมภาษณ์เปิดหน้าต่างห้องและชะโงกหัวออกมา
[เราได้เตรียมข้อเสนอพิเศษไว้สำหรับคุณ และในกรณีที่คุณไม่กลับมา เราจะเตรียมเงินชดเชยจำนวนมากให้กับน้องสาวของคุณเพื่อเป็นค่าปิดปากครับ]
[ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเตรียมข้อเสนอพิเศษไว้สำหรับโอนี่จังนะไม่ต้องเป็นห่วงนะ]
{หนูได้ยินนะ! ได้กลิ่นน่าสงสัยสุดๆ! ผู้ชายคนนั้นมาคุยเดี๋ยวนี้!}
[น้องสาวที่เหมือนปีศาจขนาดนั้นดูท่าจะน่ารำคาญ ผมขอปฏิเสธดีกว่าครับ]
ผู้สัมภาษณ์รีบหนีเข้าไปในห้อง
[ไม่ต้องเป็นห่วงทุกอย่างมันจะต้องโอเค อาจมีอันตรายนิดหน่อยแต่โอนี่จังจะกลับมาแน่นอน]
{หนูรู้สึกกังวลทุกครั้ง ที่พี่พูดว่าทุกอย่างมันต้องโอเค}
[แต่เงินมันดีนี่นา…]
{การเอารางวัลกับความสำเร็จมาล่อ มาดูเหมือนวิธีที่พวกต้มตุ๋นนิยมใช้กันเลย}
[น่าตกใจจริงๆ ยูกิคาเซะจัง! น้องฉลาดมากเลย]
{พี่ต่างหากล่ะที่โง่เอง}
สิ่งที่น้องผมสาวพูดนั้นถูกต้องที่สุด
[แต่มันคงสายไปแล้วถ้าจะเทียบกันว่าพวกนี้เป็นพวกต้มตุ๋นหรือเปล่า คนพวกนี้เขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการมาหลอกพี่หรอก]
{ก็บอกไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ว่าพี่อย่ากังวลเรื่องขาของหนู คุณหมอเองก็ได้บอกไว้แล้วว่า ถ้าเกิดว่าชินกับขาเทียมเมื่อไหร่ หนูจะวิ่งได้เร็วกว่าเมื่อก่อนซะอีก}
[…..รู้แล้วล่ะ]
ถึงอย่างนั้นก็เถอะฉันนะเป็นพี่ชายของเธอ อย่างน้อยพี่ชายก็อยากทำอะไรเพื่อน้องสาวของตัวเองบ้าง ฉันเองก็รู้สึกผิดที่ทิ้งให้เธออยู่ตัวคนเดียว ถ้าหากจะเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างแล้วละก็ สู้เสียใจทีหลังที่ได้พยายามทำทุกวิถีทางแล้วยังจะดีกว่า ต่อให้มันน่าสงสัยแค่ไหนก็ตามฉันต้องไปไขว่คว้าทุกโอกาสที่ฉันจะหาได้ ฉันนี่มันโง่จริงๆ
[ไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงเดี๋ยวพี่ก็จะกลับ ขอโทษด้วยนะ]
{ชิส์! เจ้าบ้า! ยังไงพี่ก็ไม่ฟังหนูอยู่แล้วเชิญไปถูกทรมานให้เต็มที่ซะละ เจ้าโง่! ตายซะ!}
เธอได้วางสายไปแล้ว
ประตูก็ได้ถูกเปิดออกมา
[คุยเสร็จหรือยังครับ?]
[เสร็จแล้วครับ]
[ตอนนี้เรายังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง ผมอยากให้คุณเตรียมอุปกรณ์ของคุณให้พร้อม และศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับต่างโลกให้เรียบร้อย]
ตามที่ผู้สัมภาษณ์ได้กล่าวมา ฉันได้เกียรติเครื่องแบบเป็นเครื่องแบบทหาร และสวมใส่อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเบา เป็นเสือกที่มีกระเป๋าไว้ใส่กระสุนได้หลายขนาด และเปลี่ยนไปสวมรองเท้าคอมแบทน้ำหนักเบาที่เสริมด้วยเหล็ก
พื้นที่ทางบริษัทเตรียมมาให้นั้นเป็นปืน AK-47 ซึ่งใช้เทคนิคสมัยใหม่ในการผลิต ออกแบบให้ดูคล้ายกับรุ่นที่ผลิตในปี 1953 ส่วนปืนพกที่ได้รับแจกนั้นเป็นรุ่น Colt Government ที่ผลิตในรูปแบบและปีเดียวกัน
ตามที่กล่าวมา ฉันได้ เปลี่ยนเป็นเครื่องแบบ ทหาร และสวม สายเสื้อเกราะเซรามิก มีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถใส่ ปลอกกระสุนได้หลาย แบบ รองเท้าก็มีขนาดเบา เสริมด้วย เหล็ก
ที่รับกระสุนฉันก็ได้ทำการยิงทดสอบ และคิดว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น ตราบใดที่กระสุนออกมาในตอนที่อยากให้มันออกแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ได้ทำการบรรจุกระสุนและตรวจสอบความสมบูรณ์ เอาล่ะลองเช็คปืนพกดูโอเคไม่มีปัญหา ฉันได้เตรียมมีด Karambit ไว้มือข้างนึง และได้เตรียมมีดญี่ปุ่นสำหรับล่าไว้ในมืออีกข้าง นำไปเก็บไว้บริเวณเอว จากนั้นก็สวมเสื้อกั๊กและสวมเสื้อคลุมแบบทหารเอาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อซ่อนอาวุธจากสายตาของชาวบ้าน เอาล่ะตอนนี้ก็เตรียมพร้อมเสร็จแล้ว
[ตอนนี้นายก็ดูเหมือนพวกของเราแล้ว]
[ขอบคุณมากครับ]
ยังไงฉันก็แค่มือสมัครเล่น
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ถูกอัดด้วยข้อมูลของต่างโลกไปจนถึงวินาทีสุดท้าย โดยเฉพาะเรื่องของเผ่าพันธุ์ ศาสนา สมดุลอำนาจทางการเมือง สภาพเศรษฐกิจ วัฒนธรรม อารยธรรม ฤดูกาล และพวกเกี่ยวกับโรคร้ายต่าง รายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับประวัติของดันเจี้ยน โครงสร้างพื้นฐาน ศัตรูที่พบเจอ ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากความทรงจำของฉันเข้าขั้นเลวร้าย เกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่พวกเขาพูดมานั้นไม่ได้เข้าอยู่ในหัวเลย
และท้ายที่สุด ข้อมูลต่างๆที่ได้รวบรวมมานั้น เป็นข้อมูลย้อนหลังถึง 50 ปี ตอนนี้มันคงจะยากเกินไป หากจะหวังว่าข้อมูลทุกอย่าง ในโลกนั้นจะถูกต้องทั้งหมด
ถัดมาพวกเราถูกนำพาไปยังห้องที่มีขนาดใหญ่ และมีแสงสว่างระยิบระยับ
มีเเถบลักษณะคล้ายแท่นบูชาอยู่ตรงกลางของห้อง และมีเครื่องมือที่มีลักษณะทันสมัยอยู่ล้อมรอบ และบริเวณรอบๆก็มี ผู้คนที่ใส่เสื้อเหมือนบรรดานักวิจัย วิ่งกันอยู่วุ่นวายไปหมด พร้อมกับมีเสียงตะโกนผ่านมาเป็นระยะ
มีคนที่สัมภาษณ์และผู้เชี่ยวชาญห้าคนที่จะเดินทางกำลังรอฉันอยู่ตรงหน้า
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีผู้หญิงหนึ่งคนและมีผู้ชายอีกห้าคน ถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่เฉยๆก็ตาม แต่ก็ไม่เปิดเผยช่องว่างให้เห็น สายตาของพวกเป็นสายตาของมืออาชีพมีความมั่นคงและน่าเกรงขาม อยากเป็นคนที่เก่งที่สุด ในสายงานของตน
พวกเขามีลักษณะน่าเคารพน่าเกรงขามเหมือนกัน
แล้วฉันล่ะมีมันรึเปล่า?
ทักษะที่สามารถข่มคนอื่นได้เหมือนพวกเขา
[ท่านประธาน หมอนี่น่ะเหรอสมาชิกคนสุดท้าย]
ชายหนุ่มท่าทางเหมือนผู้นำที่รอยแผลบนใบหน้าเอ่ยถาม
[ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้ฉันยังไม่สามารถการันตีความสามารถว่าเขาเก่งเหมือนพวกเธอก็เถอะ เนื่องจากเราไม่มีเวลามาก แต่ค่าความสามารถของเขาอยู่ที่ 60 คะแนน]
[อย่างน้อยก็ดีกว่าคะแนนติดลบ]
ดูเหมือนคนที่ให้สัมภาษณ์ฉันจะเป็นประธานบริษัท
[เออ คนคือท่านประธานอย่างงั้นเหรอครับ?]
ตอนแรกฉันคิดว่าตาลุงนี่เป็นแค่ชายแก่ธรรมดาซะอีก
[ใช่แล้วล่ะครับ เนื่องจากอนาคตของบริษัทของเราขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ เพราะเหตุนี้แหละ ฉันถึงไม่สามารถมอบงานให้คนอื่นทำแทนได้ ถ้าหากพวกเราทำงานนี้สำเร็จ มันก็เหมือนกับถูกหวยนั่นแหละ ถ้าเกิดงานนี้ดันล้มเหลวขึ้นมา พวกคุณและครอบครัวของพวกคุณจะต้องทำตามสิ่งที่เซ็นไว้ในสัญญาข้อตกลงการเก็บรักษาความลับ ถ้าหากไม่อยากว่ายน้ำในลำคลองหรือว่านอนเล่นบนกองขยะก็นะ]
ชายคนนี้พูดเหมือนจะเป็นคนมีเมตตา
[ผมต้องขอยอมรับนะครับ ตัวผมเองรู้สึกพลาดใจมาก ที่คุณกล้าเลือกคนอย่างผมเข้ามาร่วมด้วย]
[ทางผมได้ทำการลงทุนไว้กับโปรเจคท์นี้เป็นจำนวนมาก ไหนจะเสียทรัพยากรมนุษย์ไปอีก ทางผมเองก็ ต้องทำตามกฎรักษาความลับของบริษัท ในช่วงเวลาที่เรากำลังแย่ที่สุดผมก็บังเอิญไปเจอคุณนะครับ]
[ตาลุงนี่ พูดจาไร้ความรับผิดชอบชะมัด]
มันจะไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหมเนี่ย?
[ไม่ต้องคิดมากเจ้าหนู ถึงแม้จะเห็นท่านประธานเป็นคนแบบนี้ก็เถอะ แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ทำผิดพลาดล่ะก็เขาคงไม่มีทางสร้างบริษัทใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้หรอก จงรู้สึกภูมิใจเถอะที่ถูกเลือก]
ท่านประธาน เริ่มบ่น อุบอิ๊บ
[ถึงมันจะเป็นนิสัยเสียของคนแก่เหอะ]
[เจ้างั่งนี่]
ฉันได้ยินเสียงฟังชัดมาก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันอยาก จะต่อยหน้าประธานบริษัทคนนี้สักครั้งจัง
[เจ้าหนู เดี๋ยวเราจะแนะนำตัวอีกที หลังจากที่เราเดินทางไปถึงอีกฟากของประตูแล้ว]
ตะลุยชุดทำงาน ได้เริ่มโบกมือลากับเรา
[ตอนนี้กำลังจะเริ่มทำการเปิดประตู พวกเราจะเปิดประตูเป็นระยะเวลา 6 วินาที ขอให้ทุกท่านโยนอุปกรณ์ อาหาร อุปกรณ์ที่จำเป็นที่อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ทุกอย่างลงไปยังประตูมิติที่อยู่กับพื้น หลังจากนั้น ขอให้หน่วย AI ของมาคินา เข้าประตูมิติเป็นลำดับถัดไป หลังจากนี้ประตูจะทำการปิดตัวลง เป็นระยะเวลา 20 วินาที ขอทุกท่านให้โยนสัมภาระทุกอย่างเข้าไปในการเปิดประตูครั้งแรก ทางเราจะทำการเปิดประตูครั้งที่ 2 เป็นเวลา 7 วินาทีขอให้สมาชิกหน่วยสำรวจ ทุกท่าน กระโดดไปยังประตูมิติที่อยู่กับพื้นให้รวดเร็วที่สุด ทุกท่านมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ขอให้ทุกท่านอย่าช้าจนถูกทิ้งไว้อยู่ที่นี่ละ]
เหล่าบรรดาตู้คอนเทนเนอร์ถูกเรียงไว้บนรางรถไฟอย่างสวยงาม ตู้คอเทนเนอร์เหล่านี้บรรจุ อาหารยา อุปกรณ์ในการดำรงชีวิต อาวุธยุทโธปกรณ์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความสำคัญกับการสำรวจ ในแถวถัดมา จะเป็นหน่วยของ AI ทั้ง 3 ยูนิต และถัดมาเป็นกลุ่มมนุษย์เป็นกลุ่มสุดท้าย ตัวฉันเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในแถว
[ไปได้!]
เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งห้อง ตรงบริเวณแท่นบูชาที่อยู่ข้างห้อง และประตูวาร์ปและเปิดการใช้งาน
[ดันเข้าไป! ดันเข้าไป! ]
แล้วบรรดาผู้ที่สวมชุดเหมือนชุดวิจัยทั้งหลายต่างพยายามตันตู้คอนเทนเนอร์ลงไปตามรางที่มุ่งหน้าไปยังประตูมิติ ตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดค่อยๆถูกดูดจมหายไปเข้าไปยังประตูมิติ รู้สึกเหมือนเคยดูฉากนี้ในโรงหนังมาก่อนเลย
จากนั้นหน่วยของ AI ก็ถูกส่ง ไปอย่างไร้ปัญหา
มีเวลาเหลืออีกตั้ง 1 วินาทีแบบนี้สบายบรื๋อ ต้องขอบคุณเราผู้ใช้แรงงานหนักทั้งหลาย รู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก ว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่มันคงจะเร็วกว่านี้ถ้าหากเราใช้เครื่องจักรเข้ามาทุ่นแรง แต่แบบนี้ก็สมกับที่เป็นญี่ปุ่นดี ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์เป็นแรงงานหลักก็อย่างนี้แหละ
ต่อไปก็เป็นตาของพวกเรา
ถึงแม้ตัวผมจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ตาม แต่ความรู้สึกของคนหอสูงก็คงจะประมาณนี้ล่ะมั้ง รู้สึกว่าหัวใจของฉัน มันจะเต้นเหมือนมันจะหลุดออกมาให้ได้ ตอนนี้ร่างกายทุกส่วนของชั้นเกร็งไปหมดเรียบร้อย เนื่องจากความกังวลสุดขีดฉันลองจึงใช้หมัดชกค่าของตัวเองดูว่าตัวเองยังรู้สึกอะไรอยู่หรือเปล่า
[คิด คิดดูแล้ว เหมือนท่านประธานจะเคยพูดไว้ว่า จะใช้ชื่อของปฏิบัติการนี้ตามชื่อของพวกเราแต่ละคน]
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมกล่าวขึ้นมาอย่างกังวล
[ฉันเชื่อว่าโซวยะ]
[ดูเหมือนเป็นชื่อที่จะนำโชคดีมาให้เลยค่ะ]
ถึงแม้ฉันจะใช้ชีวิตแบบแหลกเหลวก็ตามเหอะ
[ไปได้! วิ่งไปเร็วเข้า! วิ่ง!]
เราทั้งหมดพยายามวิ่งให้เร็วที่สุด ในขณะที่ชายหน้าโหดตะโกนเหมือนโกรธใครมา
แสงสว่างเริ่มปกคลุมห้องอีกครั้งและประตูก็เปิดเผยตัวให้เห็น
ไกลกันขั้นนี้แล้วคงจะสายเกินไปที่จะลังเลหรือว่าจะขอถอนตัวแล้วล่ะ คนที่ดูเหมือนหัวหน้าก็ค่อยๆจมหายไปเข้าในประตูมิติ จากนั้นก็คนที่สอง คนที่สาม……. และคนสุดท้ายอย่างฉันก็วิ่งตามพวกเขา
จากนั้น
ไม่ว่าจะเหตุผลไรก็ตาม รู้สึกเหมือนว่าเวลามันเดินช้าลงราวกับเวลาหยุดหมุนเมื่อเราเจอกับเหตุการณ์วิกฤต
เริ่มที่จะมองเห็นทิวทัศน์บริเวณรอบๆ
สมาชิกคนที่สี่เริ่มหายเข้าไปในแสงสว่าง แต่เมื่อฉันมองไปยังผู้หญิงที่มีผมสั้นเธอเองก็ค่อยๆหายไปในแสงสว่าง เช่นกัน ตอนนี้เหงื่อก็ค่อยๆเรื่มไหลออกมาจากหน้าผาก รู้สึกไม่ดีเลยแฮะฉันเคยมีประสบการณ์วิกฤติอยู่หลายครั้งก็เถอะแต่ครั้งนี้มันเทียบกันไม่ได้เลย
ซวยชิบ!
นี่มันแย่จริงๆแล้วล่ะ!
ตอนนี้ขาของฉันไม่รู้สึกว่ามันเหยียบอะไรเลย รู้สึกเลวร้ายสุดๆตรงข้างนั้นเริ่มเห็นแสงสว่างบางอย่าง ถึงแม้จะชั่วพริบตาก็เถอะแต่ก็กลัวจนต้องเอามือมาปิดตาไว้
ถึงแม้ว่าจะเอามือปิดตาอยู่ก็เถอะ แต่แสงสว่างนั้นมันก็จ้าซะจนหลุดรอดเข้ามาในเปลือกตา เมื่อลองพยายามลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตรงพื้นนั้นไม่มีอะไรให้เหยียบเหมือนเดิมบริเวณรอบข้างก็ไม่มีอะไรซักอย่าง
ช่วงเวลานี้ รู้สึกว่าร่างกายเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยลมแต่ไม่รู้เพราะความมืดหรือเปล่า ทำให้ตัวเองรู้สึกว่ากำลังจะตกลงไปถึงพื้นจริงๆไหม ความเร็วในการล่วงหล่น โคตรน่ากลัวเลย บางครั้งก็เผลอได้ยินเสียงกรี๊ดของตัวเองและเสียงของลมผ่านหู
ตายแน่งานนี้
ฉันตายแน่ๆ งานนี้
ฉันน่าจะตกลงไปเละเหมือนกับมะเขือเทศแน่ๆล่ะ ยูกิคาเสะขอโทษนะ โอนี่จังกำลังจะตายด้วยท่าทางสุดอุบาทว์ล่ะ
ต่อฉันพยายามงอตัวให้เหมือนนักกีฬาโอลิมปิกก็ตาม
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
อย่างไรก็ตาม เสียงของลมค่อนข้างน่ารำคาญเลย ปากของฉันเริ่มรู้สึกแห้งก็รู้สึกโล่งใจอยู่หรอกที่ไม่ได้รู้สึกหนาว ขนาดนั้น
[ไม่อยากจะเชื่อ]
หลังจากที่ร่วงลงมาตอนนี้ฉันก็เริ่มชินกับมันละ ถึงแม้จะอยู่ระหว่างความเป็นความตายมนุษย์ก็สามารถทำตัวไร้สาระได้ถ้าหากพวกเขามีเวลาว่างพอ ฉันพยายามใช้แสงจากนาฬิกาข้อมือส่องดูบริเวณรอบๆ
แต่มันไม่มีไรเลย ก็แค่พื้นที่มืดๆ
เดี๋ยวนะ! ฉันเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างแว้บๆ
วาฬงั้นหรอ?
เหมือนจะมีตัวอะไรบางอย่างมีคล้ายวาฬแต่ขนาดมันไม่ใช่ เพราะอยู่ในความมืดแหละทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด รูปลักษณ์และขนาดของมันค่อยๆเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น มันคือสายระยางค์ที่สะท้อนแสงสีขาวจากไฟนาฬิกา ค่อยๆโผล่ออกมาให้เห็น และระยางค์นั้นเองค่อยๆ อ้าปากของมันออกมาอย่างช้าๆเหมือนดอกไม้ที่รับแสงแดดในยามเช้า แกนกลางของดอกไม้นั้นได้มีสิ่งมีชีวิตมีลักษณะคล้ายมนุษย์
นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมองเห็น
ในวินาทีนี้ฉันกรีดร้องสุดเสียง จนคอของฉันแสบไปหมด เจ้าสิ่งนี้มันน่ากลัวยิ่งกว่าความตายซะอีก จะตัวขนาดมหึมานี้มันก็ค่อยๆเข้ามาหาฉันอย่างช้าๆ
ในจังหวะนี้จะเทพ(พระเจ้า)องค์ไหนก็ได้ ขอร้องล่ะช่วยลูกช้างด้วย
วินาทีถัดมา
มันก็ได้มีแสงบางอย่างส่องเข้ามาในดวงตาของฉัน
ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่น ที่เข้ามาสัมผัสบริเวณทั่วร่างกาย และฉันก็ค่อยๆลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่มองเห็นก็คือท้องฟ้า หลังของฉันสัมผัสได้ถึงพื้นดิน
นี่เรากำลังฝันอยู่รึเปล่า? รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันร้ายมาเป็นเวลานานเลย ดูเหมือนนี่จะยังเป็นความฝันดีสินะ เพราะบนท้องฟ้ามีดวงจันทร์อยู่ตั้งสามดวงนะ ฉันพยายามตั้งสติจากอาการช็อกจากนั้นพยายามยืดเส้นยืดสายก่อนที่จะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด
หลังจากเย็นขึ้นฉันก็เริ่มตรวจสอบรอยแผลหรือเราพกช้ำ หลังจากยืนยันสิ่งต่างๆเสร็จสิ้น
ก็เริ่มรู้สึกสัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดพลิ้ว ตอนนั้นเองทีสังเกตเห็นป่าไม้และลำธารที่อยู่ตรงหน้า เมื่อมองไปยังด้านตรงข้ามก็มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ไม่อาจจะสร้างได้โดยมนุษย์ยุคปัจจุบัน“ดันเจี้ยน”เป้าหมายที่ต้องทำการสำรวจ
ไม่ผิดแน่ ที่นี่ต้องเป็นต่างโลกอย่างแน่นอน
เมื่อเช้านี้ฉันอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่เลย ถึงจะเริ่มทำอะไรต่อมิอะไรก็เถอะ รู้ตัวอีกทีตอนนี้ฉันเข้ามาอยู่ต่างโลก ตัวฉันในตอนนี้รู้สึกสะเทือนใจสุดๆ ถ้าหากฉันมีเวลามากกว่านี้ละก็ ฉันไม่น่าจะเลือกมายังต่างโลกเลย ไม่งั้นฉัน ไม่ต้องมารู้สึกเสียใจอย่างงี้หรอก
เอาล่ะ เลิกหนีจากความจริงได้แล้ว
เศษซากของคอนเทนเนอร์ทรัพยากรที่ส่งมาและ AI ได้กระจัดกระจายอยู่รอบๆตัวฉัน
พื้นที่บริเวณรอบๆไม่มีสิ่งกีดขวาง รายการมองเห็นยังคงชัดเจนอยู่ ตอนนี้ฉันสามารถมองเห็นไปจนถึงขอบฟ้า ต่อให้พยายามมองหาสิ่งต่างๆ มาแค่ไหนก็ตาม ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะมีเพียงแค่ที่ราบ และสายลมที่คอยพัดผ่านหญ้าเท่านั้น
ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะเหลือตัวคนเดียวซะแล้ว
****************************************************************************************************************************************************
ก็ว่าทำไม่ไม่มีใครหยิบเรื่องนี้มาแปลซะทีแค่ อารัมภบท ล่อไปกว่า 5000 คำ
เรื่องนี้จะเริ่มสนุกจริงๆก็ช่วงใกล้จบเล่ม 2 แหละ เป็นนิยายที่มีความนุ่มลึกเหมือนพวก Overlord และ tsuki ga michibiku isekai douchuu หากใครอ่านแนวนี้ก็น่าจะชอบ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมหัดแปล โดยจะแปลจากอิงเป็นหลักเพราะไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นในหัวเลย
*เทพเจ้าเกี่ยวกับข้าวอยู่ตั้ง 3 องค์: อ้างอิงจากความเชื่อญี่ปุ่นจะมีเทพเจ้า 7 องค์ในข้าว ส่วน 3 องค์ในเรื่องที่กล่าวนี้หมายถึง 1.ชาวนาที่ปลูกข้าวนั้นคือเทพ 2.คนที่คอยแบกข้าวนั้นคือเทพ 3.ร้านค้าที่ขายข้าวนั่นคือเทพ(ประเทศที่มีเทพ 8 ล้านกว่าองค์ก็งี้แหละ)
อีกอย่าง ตาคนนี้ดันไปโกหกตอนสัมภาษณ์เฉย เจ้าคนนี้ไม่ได้เชื่อใน(พระเจ้า)เทพเจ้าเลยซักกะนิด
Chapters
Comments
- ตอนที่ 4.1: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon III กุมภาพันธ์ 22, 2022
- ตอนที่ 3.2: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon II กุมภาพันธ์ 22, 2022
- ตอนที่ 3.1: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon II กุมภาพันธ์ 17, 2022
- ตอนที่ 2: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon I กุมภาพันธ์ 14, 2022
- ตอนที่ 1 กุมภาพันธ์ 12, 2022
- ตอนที่ 0: Prologue กุมภาพันธ์ 11, 2022
MANGA DISCUSSION