I Was Kidnapped By The Strongest Guild - ตอนที่ 42 ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง
หรือว่าจริง ๆ แล้วฉันจะกลัวหินมานา?
ฉันคิดว่าไม่ แต่ถ้าว่ากันตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้
ฉันรู้ดีถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของฉันตั้งแต่ตอนที่ร่างกายของฉันเปลี่ยนแปลงไป
ประสาทสัมผัสของฉันคมขึ้นมากและฉันก็เริ่มชอบปลามากขึ้น
เนื่องจากความชอบของฉันเปลี่ยนไป จึงเป็นไปได้ว่าร่างกายของฉันจะพัฒนาความกลัวรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาเช่นกัน
“เฮ้อ”
แต่อย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าฉันจะไม่กลัวหินมานา
ฉันถอนหายใจออกมาในขณะที่เดินตามยอรึมเข้าไปในชั้นใต้ดินของตึกกิลด์
“เราอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“ที่นี่ก็คือพื้นที่จัดเก็บหินมานาน่ะ”
“พื้นที่จัดเก็บ?”
มันเป็นโกดังที่มีขนาดใกล้เคียงกับโกดังที่ฉันเคยเห็นในชาติที่แล้ว
ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในชั้นใต้ดินของตึกกิลด์ด้วย
ดวงตาของฉันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเมื่อฉันมองไปรอบ ๆ ฉันก็พบกับตะกร้ามากมาย
“ว้าว”
แต่ละตะกร้าเต็มไปด้วยหินมานาจำนวนมาก
หากขายของเหล่านี้ทั้งหมด จะสามารถทำให้คน ๆ หนึ่งติดหนึ่งในร้อยของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้หรือเปล่านะ?
มีหินมานามากมายอยู่ที่นี่ จนความคิดแบบนั้นเข้ามาในหัวของฉัน
“รออยู่ตรงนี้สักแป๊ปหนี่ง
“รออยู่ตรงนี้ก้อนได้ไหม? พี่จะไปหยิบหินมานามาหนึ่งก้อน”
“แค่หนึ่งเหรอ?”
“ใช่ ถ้ามากเกินไปอาจทำให้เธอหมดสติไปเหมือนเพื่อนกระต่ายของเธอก็ได้”
“อ่า…ตกลง”
ฉันมองดูยอรึมเดินจากไป หลังจากนั้นฉันก็หันไปสนใจหินมานาที่อยู่ใกล้ ๆ
มีตั้งแต่ขนาดเท่าเล็บนิ้วจนไปถึงขนาดศีรษะ
เมื่อไม่อาจเอาชนะความอยากรู้อยากเห็นได้ ฉันเลยแตะไปที่หินมานาขนาดใหญ่อยู่หลายก้อน
“…พวกมันแข็งมาก”
หินมานาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคริสตัลเหล่านี้มีพลังงานที่ฉันไม่รู้จักอยู่
เป็นพลังงานประเภทหนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้สึกได้จากหินมานาก็อบลินที่มีขนาดเล็กกว่า
นี่คงเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่ามานาสินะ?
ในขณะที่ฉันหลับตาเพื่อสัมผัสมานา จู่ ๆ ก็มีเสียงห้าวๆ ดังออกมาจากด้านหลัง
“อย่าซี้ซั้วจับหินมานา”
“ฮะ!”
ฉันรีบหุบมือกลับมาและหันหน้ากลับไป
ชายที่อยู่ในชุดทำงานมองลงมาที่ฉันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“นี่คืองานของฉัน ได้โปรดอย่าทำแบบนั้น”
“อ่า…”
ทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนั้น
ไปเล่นกับหินมานาที่เป็นสินค้าได้ยังไง
บางทีฉันอาจจะกลายเป็นคนอวดดีเล็กน้อยจากการมีสัมพันธ์กับกิลด์รุ่งอรุณ
ฉันคิดว่าคงจะไม่เป็นไรที่จะจับพวกมันเพราะฉันรู้จักใครบางคนจากกิลด์รุ่งอรุณ
“ฉ-ฉันขอโทษ…!”
ฉันขอโทษผู้ชายคนนั้นและวิ่งไปทางที่ยอรึมไป
มีหลายคนที่ทำงานอยู่ในโกดัง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เก็บรอยเท้าของยอรึมไว้ในหู เพราะงั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบเธอ
“ย-ยอรึม…!”
“ฮืม?”
ยอรึมหันมาตามเสียงเรียกเบา ๆ ของฉัน
ในมือของเธอถือหินมานาขนาดเท่าลูกเบสบอลอยู่
มันเป็นหินมานาประเภทหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็สัมผัสได้ถึงพลังงานที่เล็ดลอดออกมาจากมัน
ฉันสามารถบอกได้เลยว่ามันคือหินมานาของมอนสเตอร์ประเภทแมว
“ว-โว้ว…”
มันทำให้ฉันตัวสั่น
ฉันที่วิ่งไปหายอรึม จึงหยุดลงอย่างกระทันหันราวกับเหยียบเบรก
ฉันไถลเล็กน้อยด้วยความเฉื่อย เพราะงั้นฉันจึงพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มด้วยความสามารถทางกายภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์สัตว์
“ฮะ?”
ยอรึมกระพริบตาอย่างประหลาดใจ และสลับมองฉันกับหินมานาที่อยู่ในมือ
ในขณะที่เธอซ่อนหินมานาไว้ข้างหลัง ความรู้สึกน่าขนลุกก็เริ่มค่อย ๆ หายไป
“มันรู้สึกน่าขนลุกนิดหน่อย”
“จริงเหรอ? ยากที่จะมองเหรอ?”
“ไม่ใช่ มันไม่ได้น่ากลัวหรืออะไรหรอก ก็แค่รู้สึกแปลก ๆ …”
ยอรึมเอื้อมมือไปหาหินมานาที่เธอซ่อนไว้ข้างหลังเธอ
เมื่อมองดูมันก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรง แต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกเหมือนเลวีนัส
‘มีบางอย่างเปลี่ยนไป’
แต่ถึงอย่างนั้น หินมานาของมอนสเตอร์ประเภทแมวก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนเลย
มันเหมือนกับว่ากำลังมองดูหัวใจของสิ่งมีชีวิตซะมากกว่า
มันน่าขนลุก นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันรู้สึก
หลังจากที่สังเกตหินมานาต่ออีกหน่อย ฉันก็ส่งมันกลับไปให้ยอรึม
“มันให้ความรู้สึกเหมือนหัวใจจริง ๆ เลย”
“ใช่ ในทางเทคนิคแล้วมันคือหัวใจ”
“อืม”
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหินมานา
ด้วยความโล่งใจ ฉันจึงหันหลังเพื่อที่จะออกไป แต่ทันใดนั้นฉันก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถือกระเป๋าใบใหญ่อยู่
เธอเป็นพนักงานที่ฉันเคยเห็นที่เคาน์เตอร์กิลด์เพื่อซื้อหินมานา
“โอ๊ะ ยอรึม คนออุลก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
“อ่า ซังอา”
ฉันพยักหน้าอย่างงุ่มง่ามให้กับผู้หญิงที่ชื่อซังอา
ที่หลังเธอมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่อยู่
“นั่นอะไรน่ะ?”
“หินมานาทั้งหมดที่มีข้อบกพร่องน่ะ หินมานาของเรดแคทมีแนวโน้มที่จะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว”
“อ๋อ…งั้นแสดงว่าเธอจะเอาพวกมันทั้งหมดลงเครื่องสร้างไฟฟ้าใช่ไหม?”
“ใช่ ประหยัดค่าไฟฟ้าน่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นแสดงสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเป้ให้เราดู
หินมานาขนาดเท่าลูกเบสบอล ลักษณะคล้ายกับหินมานาที่ยอรึมเอาให้ฉันดู แค่มองมันก็ทำให้ฉันขนลุกซู่แล้ว
“……”
หูและหางของฉันชูขึ้น
หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
มันเหมือนกับการมองดูของแปลก ๆ พิศดารและหัวใจที่เน่าเปื่อยของมนุษย์
หัวใจหลายสิบดวงถูกบรรจุไว้ในถุง
“คยออุล…?”
ยอรึมโบกมือต่อหน้าสายตาที่แข็งเป็นหินของฉัน
แต่ฉันก็ไม่อาจขยับตัวได้เนื่องจากความตกใจ
“อ๊ะ อึ๋ย…!”
เพราะความตกใจเลยทำให้ฉันสูญเสียสติไปครู่หนึ่งใช่หรือเปล่า?
พอรู้ตัวอีกที ฉันก็กลับมาที่บ้านสำเร็จรูปแล้ว
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ยอรึมพาคยออุลที่ตัวแข็งเป็นหินกลับมาที่บ้านสำเร็จรูป
เธอกำลังจะเข้าไปข้างใน แต่เมื่อเธอเห็นโซเฟียที่กำลังนั่งอยู่ตรงแคมป์ไฟ เธอจึงเลือกที่จะเดินไปหาโซเฟียก่อน
“…ทำไมเด็กนั่นถึงได้กลายเป็นแบบนั้นอีกแล้วล่ะ?”
“เอ่อ…เธอหมดสติไปทั้งยืนหลังจากที่เห็นหินมานาที่มีข้อบกพร่องน่ะค่ะ”
ยอรึมวางคยออุลลงบนเสื่อที่อยู่ใกล้ ๆ และหยิบหินมานาออกมาจากกระเป๋าของเธอ
มันคือหินมานาที่มีข้อบกพร่องที่ทำให้คยออุลหวาดกลัว
“โอ้ที่รัก”
โซเฟียเหลือบมองเห็นมานาและถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอก็มองไปที่คยออุลด้วยความสงสาร
“คุณโซเฟีย คุณรู้ไหมว่าทำไมคยออุลถึงได้แสดงปฏิกิริยาแบบนั้นออกมา?”
“รู้สิ เธอคงจะตกใจหินมานาน่ะ”
“หินมานา?”
เธอตกใจเพราะหินมานาที่มีข้อบกพร่อง?
ยอรึมเอียงหัวด้วยความสับสน
“เด็กมนุษย์สัตว์มักจะเข้าใจผิดว่ามานาที่มาจากหินมานาเป็นญาติของตัวเอง”
“หมายความว่าคยออุลเข้าใจผิดที่คิดว่าหินมานาของเรดแคทเป็นศพของญาติของเธอ?”
“ใช่ แถมอันที่เธอเอามายังเป็นของบกพร่องด้วย เธอคงรู้สึกเหมือนกับเจอศพที่เน่าเปื่อยของญาติของตัวเองแน่”
“อ๊ะ…”
ราวกับว่าเธอได้เห็นศพที่เน่าเปื่อยหลายสิบศพ
นั่นมันก็น่ากลัวจริง ๆ นั่นแหละ
จากนั้นยอรึมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคยออุลถึงได้ตัวแข็งทื่ออย่างกับหิน
“เธอเห็นหินมานาหลายสิบก้อนอยู่ตรงหน้าเธอ”
“…โอ้ที่รัก”
โซเฟียจ้องมองไปที่คยออุล สีหน้าของเธอแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจ
บางทีเธออาจจะเคยเจอเรื่องที่คล้าย ๆ กัน
ยอรึมอยากจะถาม แต่โซเฟียก็ชิงพูดก่อน
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์สัตว์หลาย ๆ คนผ่านมาแล้ว”
“อ่า เข้าใจแล้วค่ะ”
ฉันหวังว่ามันจะไม่ทิ้งความชอกช้ำทางจิตใจไว้ให้คยออุล
ทันใดนั้น คยออุลที่นอนอยู่บนเสื่อก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ยอรึมที่ไม่อยากทำให้คยออุลตกใจ เธอจึงรีบโยนหินมานาที่มีข้อบกพร่องลงไปในกองไฟ
“……?”
“คยออุล ตื่นแล้วเหรอ?”
“อืม…”
คยออุลลุกขึ้นและค้นหาของในกระเป๋าของเธอ
เธอดึงจอบสำหลับเพาะปลูกออกมา จากนั้นเธอก็เดินไปที่สวน
“คยออุล…?”
“อืม?”
“จะไม่พักสักหน่อยเหรอ?”
การเดินตรงไปที่สวนหลังจากที่เพิ่งผ่านพ้นประสบการณ์ที่กลัวมามันดูแปลกมากเลย
ยอรึมมองไปที่โซเฟียโดยคาดหวังให้เธอร่วมห้ามด้วย แต่โซเฟียกลับเอาแต่จ้องมองกองไฟ
“ฉันต้องทำงานเพื่อที่จะได้มีเงินจ่ายหนี้”
“แต่ว่า นั่นมัน…”
ไม่ใช่หนี้ที่จำเป็นต้องชดใช้จริง ๆ นะ
ยอรึมต้องทำยังไงถึงคยออุลจะยอมรับ?
ในขณะที่ยอรึมมองลงไปที่พื้นและกำลังครุ่นคิด คยออุลก็โพล่งคำที่น่าตกใจออกมา
“ฉันต้องจ่ายหนี้ของฉันให้หมดก่อนที่ฉันจะไปพบเพื่อน ๆ ของฉัน”
“เพื่อน ๆ ?”
“ใช่ ฉันไม่อยากจากไปทั้ง ๆ ที่ยังมีหนี้เหลืออยู่”
เธอกำลังบอกเป็นนัยใช่ไหมว่าเธอยังไม่คิดที่จะตายหากเธอยังเป็นหนี้อยู่?
ยอรึมกัดริมฝีปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
เธอเป็นหนี้มากมาย แต่ถ้าหากคยออุลโตขึ้นจนกลายเป็นนักผจญภัยที่มีความสามารถ เธอก็จะสามารถชดใช้หนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ยังไงซะ เธอก็ใช้ ‘พรแห่งเทพสัตว์ร้าย’ ไปแล้ว
หากเธอได้รับคำแนะนำที่ดี เธอก็จะกลายเป็นนักผจญภัยระดับสูงได้
‘บางทีฉันควรจะป้องกันไม่ให้เธอชดใช้หนี้ของเธอ…”
รอให้เธอโตและหาเหตุผลเพื่อป้องกันไม่ให้เธอชดใช้หนี้
มันไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็ยังดีกว่าผลักดันเธอไปสู่ความตาย
เมื่อยอรึมคิดได้แบบนั้น เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด มันก็ไม่ดีสำหรับคยออุลเลย
‘ฉันต้องหาวิธีดี ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอชดใช้หนี้…”
เป่าหูให้เธอซื้ออุปกรณ์ราคาแพง ๆ โดยบอกว่าเธอจะหาเงินได้มากขึ้นหากมีมัน หรือไม่ก็ชักชวนให้เธอทำธุรกิจอะไรบางอย่าง
ยอรึมคิดว่านั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็เป็นประโยชน์ต่อตัวของคยออุลเอง
มันจะส่งผลทำให้เธอเติบโตขึ้นและมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่าแผนยังคงเป็นทำให้เธอใช้จ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘เอาละ’
เธอต้องเป่าหูคยออุลให้เธอใช้จ่ายทุกครั้งที่เธอหาเงินได้
ยอรึมตัดสินใจและกำหมัดแน่น
อาจจะฟังดูคุกคาม แต่นั่นก็เพื่อคยออุล
หลังจากที่ซื้อเวลาได้แล้ว แผนต่อไปก็คือการปลูกฝังเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ให้เธอ
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━