DTH ตอนที่ 96 นี้ไม่ใช่หยงฉีในใจข้า
กองทัพโลหิตเงินออกจากเมืองโหย่ว
ข้างหลังพวกเขามีซู เซียงเดินตามอยู่ขณะมีเลือดไหลออกจากบาดแผลตรงท้อง
หลิวชวนไม่ได้เก็บซู เซียงไว้ในใจ เขากระทั่งลืมอีกฝ่ายไปแล้วด้วยซ้ําหลังออกจากเมืองมา
ในทางกลับกัน เหล่าทหารจากกองทัพโลหิตเงินยังคงมองย้อนกลับไปเป็นครั้งคราว
ชายคนนี้คงเป็นคนโง่ที่ถูกกล่าวถึงในต่านาน
เมื่อพวกเขาถึงที่หมาย เกรงว่าเวลานั้นเขาอาจจะกลายเป็นศพไปแล้ว
ทําไมถึงคิดว่าคนระดับท่านจะรับเจ้าเข้าดูแล?
ถ้าเขารับทุกคนจริงป่านนี้เขาคงถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนมากมาย
ซู เซียงนั้นเป็นแค่ไอโง่อย่างแท้จริง
เขาหุนหันพลันแล่นเกินไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังกล้วยแล้วไม่สามารถทําได้
นั่นทําให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น
หากเขาเลือกยอมแพ้และกลับไป งานทั้งหมดที่เขาทําก็คงไม่กลับมาและการแทงตัวเองของเขาก็จะสูญเปล่า
เขากัดฟัน
ต่อให้ตายก็ต้องตามให้ทัน
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารคนหนึ่งก็โยนยาให้ซูเซียง
“เจ้าน่าสนใจดี ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถอดทนต่อไปได้
หลังกล่าวจบเขาก็เพิกเฉยและติดตามกองทัพต่อไป
ซู เซียงมองเม็ดยาในมือ
“ขอบคุณ”
เขากลืนมัน
ยาเริ่มออกฤทธิ์ทําให้เลือดของเขาหยุดไหลอย่างช้าๆ มันสร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ บนบาดแผลเพื่อปิดกั้นเลือดและป้องกันไม่ให้ไหลออกมา
“เจ้าชื่ออะไร?” ซูเซียงอยากรู้ว่าใครเป็นคนช่วยเขา และเมื่อเขาประสบความสําเร็จ เขาจะต้องตอบแทนให้ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเจตนาดีของเขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากอีกฝ่าย
“ไว้เจ้ารอดก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”
ตามที่คาดไว้ ค่าพูดของคนตัวเล็กที่อ่อนแอไม่ได้รับการใส่ใจเท่าไหร่นัก
เขากัดฟันเดินตามต่อไป
ณ คฤหาสน์ตระกูลเหลียง
อาการบาดเจ็บของเหลียง หยงหายดีแล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้านี้สําหรับเขาไม่ได้เป็นมากไปกว่าการทรมาน
เขาสาบานต่อสวรรค์ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
เขาไปหาพ่อของเขาก่อนจะพบว่าพ่อและพี่ใหญ่ของเขาทั้งคู่กําลังอยู่ในห้องอ่านหนังสือ สําหรับเขานั่นไม่ใช่ข่าวดี
ผ่านไปเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่และพ่อกลับใกล้ชิดกันขึ้นมาก?
แล้วแบบนี้ตระกูลเหลียงจะยังคงมีที่สําหรับเขาอยู่อีกหรือ?
ตําแหน่งหัวหน้าตระกูลจะถูกพี่ใหญ่แย่งไป?
เมื่อเข้าไปใกล้ห้องอ่านหนังสือเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากภายใน เสียงหัวเราะทั้งฟังดูสนุกสนานและสดใส พ่อของเขาไม่เคยแสดงรอยยิ้มหรือหัวเราะแบบนี้ต่อหน้าเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สายลมพัดผ่าน
เหลียง หยงฉียืนอยู่ข้างนอกคนเดียว เขายกมือขึ้นเพื่อดันประตูเข้าไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาไม่ได้ออกแรงผลักก่อนที่เขาจะเขาค่อยๆลดมือลง สีหน้าของเขาดูสิ้นหวังขณะหันหลังและเดินจากไป
เมื่อเร็วๆนี้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโหย่วไม่ค่อยเป็นมิตรกับตระกูลหยวนและเหลียงนัก
โดยเฉพาะเรื่องของราชาหรูทง
ในความคิดของพวกเขา อันตรายจากเรื่องนี้นั้นมีสูงมาก พวกเขาต่างก็คิดว่าควรจะทําอย่างไรดีหากราชาหรูทงส่งทูตมาหาพวกเขา พวกเขาควรจะเห็นด้วยหรือไม่?
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิด
อย่างไรก็ตามดูเหมือนพวกเขาจะคิดมากเกินไปเพราะราชาหรูทงไม่ได้สนใจพวกเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขาไม่ได้มีค่าในสายตาของอีกฝ่ายของแม้แต่น้อย
เมืองโหย่วเป็นเมืองที่อยู่ชายแดนและไม่สามารถเทียบได้กับเมืองอื่น ๆ นับประสาอะไรกับตระกูลที่อยู่ในเมืองอื่น ๆ ที่ว่านั่น
โดยสรุปแล้วตระกูลหลินค่อนข้างพิเศษ
คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่ตัวราชาหรูทงเข้าใจ
คฤหาสน์ตระกูลหลิน ณ ห้องอ่านหนังสือ
“ท่านหัวหน้าตระกูล เราควรแจ้งเรื่องนี้แก่เมืองจักรพรรดิรีไม่?” อาวุโสหวี่ถาม
ที่พวกเขามาอยู่เมืองโหย่วไม่ใช่ว่าพวกเขาไร้ความสามารถหรืออ่อนแอจนอยู่ได้แค่ที่นี่ แต่มันเป็นเพราะพวกเขาแข็งแกร่งต่างหากจึงจําเป็นต้องอยู่ที่นี่
เมืองโหย่วในตอนนี้ค่อนข้างทรุดโทรมแต่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการปรับปรุงมันให้ดีขึ้น
มันแค่ไม่จําเป็นต้องทําก็เท่านั้น
อันเนื่องมาจากสุดท้ายแล้วยังไงพวกมันก็คงถูกทําลายเป็นชิ้นๆอยู่ดี เมื่อรู้แบบนั้นแล้วเราจะเสียทั้งกําลังคนและเงินไปทําไม? ดังนั้นสู้อยู่แบบเดิมไปยังดีซะกว่า
“มันเป็นเรื่องภายในของพวกเขา ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่งเท่าไหร่นัก หลินวานยกล่าวจากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในอีกไม่กี่วันจากนี้ให้ส่งเจ้าเด็กไม่เอาไหนไปภูเขาวิถียุทธ์
“แล้วตอนนี้ใครเป็นหัวหน้าของภูเขาวิถียุทธ์?”
อาวุโสหวี่กล่าว “จางเทียนซาน”
“ดีมาก ครั้งล่าสุดเราได้ช่วยชีวิตของเขาไว้ ดังนั้นการฝากดูแลลูกชายของข้าคงไม่เป็นค่าของที่มากเกินไป” หลินวานยกล่าว
เป็นเรื่องยากมากที่จะหาใครสักคนที่พึ่งพาได้เพื่อฝากฝังลูกชายของเขาไว้
โชคดีที่เขายังมีเพื่อนเหลืออยู่ มิฉะนั้นมันคงน่าเศร้าไม่น้อย
“ท่านหัวหน้าตระกูล ท่านไม่คิดว่ามันเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือ?” อาวุโสหวี่ถาม
เขากังวลและคิดว่ามันเร็วเกินไปที่จะส่งนายน้อยออกไปเผชิญโลกที่โหดร้าย
ที่สําคัญเลยคือเขาไม่สามารถทนได้
ในสายตาของเขา นายน้อยยังเด็กเกินไป การให้เขาออกไปโดยปราศจากที่พึ่งเขาคงไม่มีอิสระอย่างที่เขาอยู่ในเมืองโหย่วอย่างแน่นอน แล้วจะทํายังไงหากเขาถูกรังแกขึ้นมา?
หลิน วานยกล่าว “แม้เขาจะไม่เห็นด้วย ข้าก็ไม่สนใจ ส่งเขาไปและอย่าลืมให้ เชียงเหมาตามเขาไปด้วย”
อาวโสหว่ยิ้ม “ท่านหัวหน้าตระกูลดูเหมือนท่านจะยังคงห่วงใยนายน้อยมาก”
“หากข้าไม่สนใจเขาแล้วใครจะทํา? เชียงเหมาติดอยู่ขั้น 8 และกําลังจะทะลวงสู่ขั้น 9 คืนนี้เจ้าจงไปช่วยเขา” หลินวานยกล่าว
“ขอรับ ท่านหัวหน้าตระกูล” อาวุโสหปูพยักหน้า
ค่ําคืนผ่านไปอย่างเงียบสงบ
หลิน ฟานหลับสบายมากเนื่องจากไม่มีใครมารบกวนเขา แม้แต่ในความฝันก็ไม่มีเขาในตอนนี้สามารถสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งที่อยู่ในลานบ้าน ตราบใดที่มีคนมาเข้ามา เขาก็จะสามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงที
แต่ระยะการรับรู้นี้ค่อนข้างเล็ก
มันกว้างสุดเพียงลานด้านหลังทั้งหมด
ขณะเดียวกันมันก็ทําให้เขายืนยันได้สิ่งหนึ่ง
พ่อแข็งแกร่งมาก ดังนั้นระยะการรับรู้ของเขาควรจะกว้างกว่าเขา อย่างน้อยก็น่าจะครอบคลุมคฤหาสน์ตระกูลหลินทั้งหมดได้อย่างไม่มีปัญหา
หารลอบเข้ามาจริง พ่อของเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
ดังนั้นนี่จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าพ่อของเขาแสร้งเป็นมือสังหารมาตลอด!
สมรู้ร่วมคิด!
การสมรู้ร่วมคิดครั้งนี้มันยิ่งใหญ่มาก ลองคิดดูสิว่าแม้แต่อาวุโสหวี่ยังกลายเป็นหนึ่งในนั้น ช่างน่ากลัวจริงๆ
ในคืนนั้นด้วยความช่วยเหลือของอาวุโสหญ่ โจว เชียงเหมาสามารถเข้าสู่ขั้น 9 ได้สําเร็จ
ระดับบ่มเพาะของหลิน ฟานได้มาถึงเส้นทางต่อสู้ขั้นแปดทั้งภายในและภายนอก เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงออกมาก็เท่านั้น
การโอ้อวดเรื่องระดับบ่มเพาะนั้นดูไม่มีรสนิยมสิ้นดี
โดยปกติแล้วเขาชอบที่จะใช้เสน่ห์ของเขาเพื่ออวดมากกว่า
เขาใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลขณะเดินเล่นในเมือง มันไม่มีอะไรสําคัญเกิดขึ้นระหว่างนี้
ณ ศาลาเสาวธารเมามาย
เหลียงหยงฉีดหดหูขณะที่เขาดื่มอยู่คนเดียว เขาส่ายหัวและถอนหายใจ ชีวิตที่รอเขาอยู่ข้างหน้าช่างมืดมนนัก
พี่ใหญ่ของเขาพลิกสถานการณ์กลับมาได้และกลายเป็นตัวตนที่ขาดไม่ได้
เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเกิดอะไรขึ้น มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
“เฮ้! นั่นนายน้อยเหลียงไม่ใช่รึไงกัน? ทําไมเจ้าถึงมานั่งดื่มอยู่คนเดียวเล่า?” หลินฟานผ่านศาลาเสาวธารเมามายและเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบเมื่อเห็นเหลียงหยง
เยี่ยม!
นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนที่คุ้นเคย
บางทีเขาอาจจะมีโอกาสปะทะฝีปากกันเพื่อเพิ่มความสดใสให้กับชีวิตในช่วงนี้ของเขาได้
เหลียง หยงฉีเหลือบมองหลิน ฟานอย่างไม่ใส่ใจและเริ่มดื่มต่อไป
“เกิดอะไรขึ้น? ข้าจําได้ว่าเจ้าเคยร่าเริงมากกว่านี้ ใยเจ้าถึงดูไม่ค่อยร่าเริงนัก?” หลินฟานถามขณะนั่งลงข้างๆ
ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับสูงทําให้เมื่อเขาเดินจะมีลมอยู่รอบๆตัว และตัวเขาในตอนนี้สามารถเดินไปที่ไหนก็ได้ในเมืองโหย่วตามแต่ที่เขาต้องการ
“ถ้าเจ้าอยากเยาะเย้ยข้าก็เชิญเลย หากอยากทุบตีก็ทําเลย ข้าจะไม่สู้กับเจ้าอีกต่อไป” เหลียงหยงฉีกล่าวอย่างสิ้นหวัง
สู้?
สู้เพื่ออะไร?
ตาแหน่งของเขาในตระกูลเหลียงถูกพี่ใหญ่แย่งไปแล้ว
นั่นทําให้เขาท้อแท้ในชีวิต แม้แต่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความมุ่งมั่นของเขาก็หายไป
นี่ไม่ใช่เหลียง หยงฉีที่หลิน ฟานอยากเห็น เหลียง หยงคนนั้นที่ไม่กลัวถูกทุบตี และต่อต้านเขาทุกเรื่องคนนั้นไปอยู่ไหนแล้ว?
ไม่นะ..
โอ้ สวรรค์…
ได้โปรดคืนเหลียง หยงฉีตัวจริงมา ที่เขาใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในเมืองโหย่วได้กว่าครึ่งแล้วมาจากเขาทั้งนั้น
เขาดื่มต่อ
ไม่นานหลังจากนั้น เหลียง หยงฉีก็เมาก่อนจะล้มฟุบบนโต๊ะและเริ่มกรนออกมา
“แล้วแบบนี้ข้าควรทําเช่นไรดี?”
หลิน ฟานปวดหัว
เขาคิดว่าเหลียง หยงจะกลับมา แต่ใครจะไปคิด…
เฮ้อ
MANGA DISCUSSION