I Don’t Want To Defy The Heavens - ตอนที่ 79 ข้ายินดีที่จะกล่าวว่าเจ้าแกร่งที่สุด
นิยาย Don’t Want To Defy The Heavens DTH ตอนที่ 79 ข้ายินดีที่จะกล่าวว่าเจ้าแกร่งที่สุด
นายน้อยหวังได้รับข่าวจากตระกูลทำให้ต้องจากเมืองหยูฉางไปเป็นธรรมดาที่เขาไม่เต็มใจที่จะจากไปเพราะเขายังไม่ได้ได้เพลิดเพลินกับ 108 กระบวนท่าของศาลาหงซิ่งอย่างเต็มที่
ที่นี่มันมีสิ่งล่อตาล่อใจมากเกินไป
แต่ไม่ว่ามันจะมีมากแค่ไหนเขาก็เตรียมตัวกลับทันทีเนื่องจากเขารู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่เขาประสบ
ขอหยุดไว้แค่นี้
เพราะยิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากร้องไห้มากเท่านั้น
หยวนเทียนชูกล่าวคำร่ำลามันไม่ง่ายเลยที่จะบีบน้ำตาออกมาสองสามหยดเพื่อแสร้งทำราวกับรู้สึกเศร้าเมื่อเพื่อนจากไป
“พี่หวังแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่เราก็ได้สร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกันและแม้ว่าข้าจะไม่เต็มใจที่จะแยกกับท่านแต่ความฝันของท่านยังอีกไกลข้าจะรอคอยวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง”
ผู้ที่ชื่นชอบแลกเปลี่ยนเรื่องวรรณกรรมสามารถกล่าวคำที่ดูไพเราะได้ดี
หวังหยุนเฟยหลั่งน้ำตาและจับมือกับหยวนเทียนชู“พี่หยวนข้าต้องขอลาแล้ว!”
“เดินทางปลอดภัย”หยวนเทียนชูกล่าวอย่างเคร่งขรึม
คนทั้งสองดูเหมือนไม่อยากแยกจากกัน
คนที่ไม่รู้สถานการณ์จริงๆคงคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาลึกซึ้งมาก
หลังจากที่หวังหยุนเฟยจากไปการแสดงออกของหยวนเทียนชูก็ดูเคร่งขรึมขึ้น
โงห้ย
เป็นธรรมดาที่เขาจะเข้าใกล้หวังหยุนเฟยเพื่อหาผลประโยชน์
“นายน้อยนายน้อยหวังออกไปแล้ว”ผู้จัดการลูกล่าว
“อา”หยวนเทียนชูพยักหน้า“ผู้จัดการลู่เรื่องที่ข้าบอกให้เจ้าใส่ใจเมื่อเร็วๆนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง?”
เรื่องที่ตระกูลหลินเข้ายึดสองหมู่บ้านของตระกูลเหลียงมันไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ
แต่หลังจากที่เขารู้ว่าหลินฟานเป็นคนฉลาดเขาก็สั่งให้ผู้จัดการอู่ให้ความสนใจกับสถานการณ์ของหมู่บ้านเหล่านั้นทันที
แม้ว่าผู้จัดการลู่จะไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นไปทำไมแต่ตราบใดที่เขาได้รับคำสั่งมาเขาก็ต้องทำตามแม้ว่าเขาต้องทุกข์ทรมานแต่เขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้
ผู้จัดการลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา“นายน้อยข้าสังเกตว่าในช่วงที่ผ่านมาเหล่าชาวบ้านมีแรงจูงใจมากขึ้นแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิงถ้าก่อนหน้านี้พวกเขาใช้แรงแค่50%งั้นตอนนี้พวกเขาก็กำลังใช้แรง100%”
อย่างที่คิดไว้
หยวนเทียนชูเข้าใจอย่างชัดเจนอีกครั้งว่าคนฉลาดอย่างหลินฟานจะทำสิ่งที่ดูไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร?
มันกลายเป็นว่าเขากำลังวางแผนบางอย่าง
“ทำตามที่ข้าพูดให้เจ้าหาผู้ลี้ภัยและจัดตั้งหมู่บ้านขึ้นหลังจากนั้นก็ให้ทำตามวิธีของหลินฟาน”
โดยปกติแล้วหยวนเทียนชูรู้ว่าการลดภาษีของหมู่บ้านนั้นผิดปกติเพียงใด
แต่ถ้าหลินฟานทำเช่นนี้แน่นอนว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขาแม้เขาจะไม่เต็มใจเล็กน้อยแต่ตราบใดที่เขาทำตามหลินฟานเขาก็จะไม่สูญเสียมากนัก
“ขอรับนายน้อย”แม้ผู้จัดการมู่จะไม่เข้าใจว่าทำไมนายน้อยถึงต้องการเช่นนั้นแต่เมื่อได้รับคำสั่งมาเขาก็ต้องทำตาม
หยวนเทียนชูหันหลังกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลินฟานข้าหยวนเทียนชูยินดีที่จะกล่าวว่าเจ้าเป็นคนฉลาดแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเหตุผลของเจ้าในการทำเช่นนี้คืออะไรแต่ถ้าข้าทำตามสิ่งที่เจ้าทำแม้ว่าข้าจะไม่ได้รับกำไรจากมันแต่อย่างน้อยข้าก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของเจ้า
นี่คือสิ่งที่เขาคิดในตอนนี้
ตัวเขาเองไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าหลินฟานกำลังทำอะไรอยู่ทั้งการทำร้ายผู้อื่นและการลดภาษีให้อยู่ในระดับนี้เขาจะได้อะไรจากการทำทั้งหมดนี้?
แถมเขายังยกดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ของตัวเองให้คนเหล่านั้นอีก
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายทำ
หลังจากต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์และแผนการชั่วร้ายของอีกฝ่ายทำให้เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนเลยว่าหลินฟานไม่ใช่คนธรรมดาดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาทำนั้นจะเต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาล
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ง่ายนัก
เขาจะต้องไปเกลี้ยกล่อมพ่อของเขาให้แจกจ่ายที่ดินออกไปแม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ถ้าพ่อไม่เข้าใจท่านก็คงจะผิดหวังในตัวเขาอย่างมากดังนั้นเขาจึงต้องทำให้ท่านสบายใจ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
วันนี้หลินฟานก็ยังคงไม่มีอะไรทำเช่นเดิม
ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้สักที่ว่าการเป็นนายน้อยของตระกูลที่ร่ำรวยนั้นอิสระเพียงใด
แม้แต่มือสังหารก็หายวับไปราวกับระเหยหายไปจากโลกและไม่มาสร้างปัญหาให้เขาอีก
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงคิดว่าชีวิตของเขาได้มาถึงจุดสูงสุดแล้วแต่เขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้บางทีมือสังหารคนนั้นน่าจะแค่เหนื่อยและกำลังสะสมพลังสำหรับการโจมตีระลอกใหญ่
เขาเดินไปรอบๆเมืองเพื่อหาคะแนนความโกรธแต่สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังคือเขาไม่พบอะไรเลย
หยวนเทียนชูก็หายตัวไปไม่เห็นแม้แต่เงาและเขาก็พบว่าหยวนเทียนชูได้เรียนรู้จากเขาโดยการลดภาษีและยังมอบที่ดินบางส่วนให้กับผู้ลี้ภัยเพื่อก่อตั้งหมู่บ้านใหม่
สำหรับเขานี่เป็นสิ่งที่ดีเขาจึงไม่ได้จงใจรบกวนอีกฝ่ายด้วยเรื่องนี้
เพราะไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่คนที่โชคร้ายคือพวกผู้ลี้ภัยเหล่านั้นการมีทางออกให้พวกเขานับเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม
วันนี้มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาในเมืองหยูฉาง
มันไม่ได้หรูหราแต่ได้รับการปกป้องอย่างหนาแน่นโดยมีกล่องขนาดใหญ่ผูกติดกับด้านหลังของรถม้า
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็หยุดดูเพราะถึงแม้เมืองหยฉางจะถูกมองว่าเป็นเมืองแต่ผู้คนที่นี่ก็ไม่ค่อยขี่ม้าหรีอนั่งรถม้ากันมากนัก
ซุยหลานที่เดินตามรถม้ามามองสำรวจไปรอบๆก่อนที่จะขมวดคิ้วและพูดออกมาเบาๆ“คุณหนูเรามาถึงเมืองหยูฉางแล้วแต่สภาพแวดล้อมที่นี่ดูแย่มากมันไม่สามารถเทียบกับเมืองหลงของเราได้เลยทางของพวกเขายังคงเป็นลูกรังถ้าฝนมันตกลงมามันคงเดินทางลำบากไม่ใช่น้อย”
“ไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลินก่อน”เสียงของหลี่จือเซียวดังมาจากในรถม้า
หากคนที่ไม่ทราบสถานการณ์เห็นสิ่งนี้พวกเขาคงจะคิดว่าหลี่จ่อเซียวอยากจะแต่งงานด้วยตัวเอง
แต่ความคิดของเธอก็ชัดเจนมากเธอต้องการไปพบกับนายน้อยตระกูลหลินโดยเร็วและประเมินเขาถ้าหากเขาน่าเกลียดเกินไปเธอก็จะหันหลังและจากไปทันที
แม้ว่าเธอจะเป็นคนสบายๆแต่เมื่อเป็นเรื่องแต่งงานเธอคงไม่ปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆ
ซุยหลานไม่ชอบเมืองหยูฉางเป็นอย่างมากมันทั้งฟังและไม่มีส่วนไหนเลยที่สามารถเทียบเคียงกับเมืองหลงได้
ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนจี้จี้จุกจิก
แต่สำหรับเธอคุณหนูเป็นคนที่โดดเด่นมากเธอจะแต่งงานในเมืองที่ห่างไกลและยากจนเช่นนี้ได้อย่างไร?เธอควรที่จะแต่งงานกับตระกูลชนชั้นสูงที่ร่ำรวยและยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่างหากจึงจะเหมาะสม
มันทำให้เธอรู้สึกสงสารคุณหนูมาก
ณ คฤหาสน์ตระกูลหลิน
ยามทั้งสองที่เฝ้าอยู่ด้านหน้ายืนตัวตรงโดยไม่ไหวติงพวกเขาล้วนเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนและไม่ใช่คนที่ยามของตระกูลหยวนและเหลียงสามารถเทียบได้ถ้าพวกเขาสู้กันจริงๆพวกเขาจะสามารถเอาชนะกลุ่มคนเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก
เมื่อพวกเขาเห็นตราประจำตระกูลบนรถม้าพวกเขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลชนชั้นสูง
หลี่จือเซียวเปิดม่านและลงจากรถม้า
ยามต่างตกใจเมื่อเห็นหญิงงามเช่นนี้แต่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่นุ่มนวลและอ่อนโยนแต่เป็นเพราะรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่ได้รับการฝึกฝนมานานต่างหากที่ทำให้พวกเขาตกใจ
“ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”ยามถามออกมา
เดิมซุยหลานต้องการตอบกลับแต่คุณหนูของเธอก็พูดออกมาเสียก่อน
“ตระกูลหลี่จากเมืองหลง”
เมื่อยามได้ยินดังนั้นเขาก็เข้าใจได้ทันที่เรื่องที่ท่านหัวหน้าตระกูลหาภรรยาให้นายน้อยไม่ใช่ความลับมันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้
เขากล่าวต้อนรับคุณหนูจากตระกุหลี่จากนั้นก็รีบไปแจ้งท่านหัวหน้าตระกูลทันที
แต่ในมุมมองของพวกเขานี่เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเล็กน้อยเพราะมันเป็นเพียงข้อเสนอที่ยังไม่ได้รับการยืนยันแต่คุณหนูหลี่คนนี้กลับมุ่งหน้ามาที่นี่ราวกับเธอรอไม่ไหวนายน้อยของเรามีเสน่ห์ขนาดนี้เลยงั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นมันถึงจุดที่ไม่สามารถต้านทานได้เลย?
หลินวานยี่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องศึกษาเมื่อได้รับแจ้งว่าคุณหนูจากตระกูลหลื่อยู่ที่นี่แล้วการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นยินดี
นี่เป็นสัญญาณที่ดีเพราะเธอถึงกับมาที่นี่ด้วยตัวเองราวกับรอไม่ไหวที่จะได้แต่งงานกับบุตรชายของเขา
“น้องวุ่!ไปเรียกเจ้าเด็กคนนั้นมาและบอกให้เขาแต่งตัวดีๆด้วยหากเขาไม่ทำตามข้าจะถลกหนังเขาทั้งเป็น
หลินวานยี่รู้สึกกังวลจริงๆ
นี่เป็นเพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าเด็กไม่
เอาไหนคนนี้ต่อต้านความคิดเรื่องการแต่งงาน
หากเขาไม่ได้แต่งตัวดีๆแล้วเดินเข้ามาเขาจะทำให้ตัวเองและตระกูลมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีและถ้ามันเกิดขึ้นจริง…เรื่องทั้งหมดนี้จะไม่พังงั้นหรือ?