I Don’t Want To Defy The Heavens - ตอนที่ 55 เป็นข้าอีกครั้ง
เหลียง หยงฉีเป็นคนเด็ดขาด หากเขาตัดสินใจอะไรไปแล้วเขาจะลงมือทำทันทีโดยไม่ลังเล
เนื่องจากเขามั่นใจ แล้วเขาจะต้องลังเลอะไรอีก? เขาสั่งให้ยามไปหาพี่น้องที่เชื่อใจได้ของเขาทันที เรื่องทั้งหมดจะต้องถูกเก็บเป็นความลับ หากมีใครพบเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่จะซวย แต่เป็นพวกเราทั้งหมด
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารยามทั้งหกคนก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเหลียง หยงฉีอย่างรวดเร็ว
“นายน้อย พวกเขาทั้งห้าเป็นพี่น้องของข้าเอง พวกเขาสามารถเชื่อใจได้อย่างแน่นอน”
ทหารยามเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่มีความฝัน พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถกลายเป็นทหารยามชั้นสูงได้ ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงและมีช่องว่างให้พวกเขาแทรกตัวเข้าไปช่วยพวกเขาก็ยินดีที่จะทำ และถ้าหากมันสำเร็จมันก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้พวกเขาเลื่อนไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมได้
เมื่อทหารยามทั้งห้าที่ถูกเรียกมาเห็นข้าวในยุ้งฉาง พวกเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
ไม่ใช่ว่ายุ้งฉางของตระกูลเหลียงถูกปล้นงั้นหรือ?
แล้วข้าวพวกนี้มันมาจากไหน?
วันนี้ยุ้งฉางของตระกูลหยวนถูกปล้น หวังว่าของพวกนี้คงจะไม่ได้มาจากตระกูลหยวนหรอกใช่ไหม?
“อืม” เหลียง หยงฉีรู้สึกประหม่า เป็นเจ้าหากต้องทำแบบนี้เจ้าจะไม่รู้สึกประหม่างั้นรึ?
ทหารยามคนเดิมมองไปที่อีกห้าคนที่เหลือแล้วพูดออกมา “พวกเจ้าทุกคนจงฟัง ครั้งนี้ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดเพราะเราไม่สามารถผิดพลาดได้เด็ดขาด หากงานนี้สำเร็จพวกเจ้าทุกคนจะกลายเป็นคนสนิทของนายน้อย และจะได้เพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่งและเกียรติยศ แต่หากมีใครกล้าทรยศหรือปากโป้ง พวกเจ้าก็น่าจะรู้ถึงผลที่ตามมาดีอยู่แล้ว”
เหลียง หยงฉีโบกมือของเขา “หยุดเสียเวลาและรีบลงมือได้แล้ว”
ไม่รู้ทำไมเมื่อเขานึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จู่ๆหัวใจของเขาก็เต้นรัวราวกับกำลังจะกระดอนออกมา
เดิมทีเขาควรจะเป็นคนไปแจ้งพ่อของเขาหรือไม่ก็ตระกูลหยวนให้ทราบ
เพื่อบอกพวกเขาว่ามีใครบางคนต้องการใส่ร้ายตระกูลเหลียงโดยการนำข้าวมาไว้ที่นี่ แต่เขาก็ยังไม่ได้แตะมัน ไม่แม้แต่เมล็ดเดียวและพร้อมที่จะส่งพวกมันคืนให้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามทหารยามของเขาฉลาดมากและสามารถวิเคราะห์ได้ทุกอย่าง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลงไปเช่นนั้น
ลองคิดดูสิเขาเพียงแค่ต้องเสี่ยงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ผลตอบแทนที่เขาจะได้รับมันมหาศาล
นอกยุ้งฉาง
ในความมืดที่ด้านบนสุดของอาคาร มีสายตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในยุ้งฉางของตระกูลเหลียง
“ท่านหัวหน้าตระกูลช่างอัจฉริยะจริงๆที่ส่งข้ามาสอดแนมที่นี่ สุดท้ายแล้วตระกูลเหลียงก็เป็นคนขโมยไปจริงๆด้วย! และตอนนี้พวกเขาก็กำลังวางแผนที่จะย้ายพวกมันออกไป”
เขาดูอยู่นานและเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทหารยามคนหนึ่งเดินออกมาจากยุ้งฉางและนำยามห้าคนกลับมาพร้อมกับเขา นอกจากนี้ก็ยังมีรถม้าอีกหกคันที่พวกเขานำมาด้วย
เหลียง หยงฉีมองไปที่พวกยามขณะที่พวกเขากำลังใส่ข้าวลงกระสอบ หัวใจของเขาค่อยๆเต้นช้าลงสวนทางกับความสุขที่มากขึ้นเมื่อมองไปยังข้าวที่ถูกใส่เข้าไปในกระสอบ
เมื่อเห็นว่าสิ่งต่างๆมันถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เขาก็รู้สึกได้เลยว่าชัยชนะมันอยู่แค่เอื้อมแล้ว
“เร็วเข้า พวกเจ้าต้องเร็วกว่านี้! พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว!” เหลียง หยงฉีเร่ง ตราบเท่าที่เรื่องนี้เสร็จสิ้นสถานะในตระกูลของเขาจะไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้อีกต่อไป
นอกจากเขาแล้วมันจะมีใครที่เหมาะจะเป็นหัวหน้าตระกูลเหลียงได้อีก?
ส่วนพี่ใหญ่ของข้านะเหรอ? ขอแค่เขาทำตัวดีและไม่สร้างปัญหาให้ข้าก็พอ
นอกยุ้งฉาง
“อย่างที่ท่านคาดไว้เลยท่านหัวหน้าตระกูล เหลียง หยงฉีเขานำคนมาที่ยุ้งฉางในตอนกลางดึก และดูเหมือนว่าเขากำลังจะเคลื่อนย้ายพวกมันออกไป” ยามที่เฝ้าดูมาตั้งแต่ต้นกล่าว
หัวหน้าตระกูลหยวนหรี่ตาลงและจับจ้องไปทางประตูยุ้งฉาง
เดิมทีเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นตระกูลเหลียงที่ขโมยข้าวของเขาไป แต่เมื่อฟังสิ่งที่หลิน ฟานกล่าวเขาก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลและทำให้เขาคิดบางอย่างได้
เพื่อป้องกันไม่ให้หลิน ฟานวางแผนอะไร เขาจึงไม่ได้มุ่งหน้าไปที่ตระกูลเหลียงทันที แต่ส่งคนไปสอดแนมยุ้งฉางของตระกูลเหลียง และยังส่งคนไปเฝ้าด้านนอกคฤหสน์ตระกูลหลินอีกด้วยเพื่อตรวจสอบยุ้งฉางของพวกเขา
สิ่งที่เขากลัวคือหลิน ฟานคิดจะเบนความสนใจเรื่องการปล้นไปทางอื่น
อย่างไรก็ตามมันกลับไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางตระกูลหลินเลยแม้แต่น้อย
แต่มันกลับมีการเคลื่อนไหวจากตระกูลเหลียงแทน
ในตอนนั้นเองประตูยุ้งฉางก็ถูกเปิดออก
ทหารยามคนหนึ่งเดินออกมาและหันมองไปรอบๆ หลังจากที่เขายืนยันแล้วว่าไม่มีใครแล้ว เขาจึงโบกมือให้คนข้างในและหยักหน้าอย่างเงียบๆ
“เร็วเข้า!”
พวกทหารยามแบกกระสอบขณะที่ค่อยๆนำพวกมันไปลำเลียงบนรถม้า
กระสอบแล้วกระสอบเล่า
ในตอนนี้การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเหลียง หยงฉีนั้นน่าสนใจทีเดียว ในตอนแรกเขาตื่นตระหนกมากเมื่อมองไปยังยุ้งฉางที่เต็มไปด้วยข้าว แต่หลังจากที่เขาเห็นพวกยามกำลังขนกระสอบข้าวอยู่ตลอดเวลาและของข้างในที่เหลือก็ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ ความรู้สึกเดิมที่มีอยู่มันก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่ว่าทุกอย่างจะสำเร็จ
“ท่านหัวหน้าตระกูลเราจะลงมือกันตอนนี้เลยหรือไม่?” ยามตระกูลหยวนถาม
พวกเขาโกรธมากและรู้สึกว่าตระกูลเหลียงเป็นพวกตีสองหน้า
จริงๆแล้วพวกเขาเป็นคนขโมยข้าวพวกนั้นไป แต่ก็ยังมาที่ตระกูลหยวนเพื่อแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าใครเป็นตัวการ
แถมยังมาป่าวประกาศว่าตนจะเป็นคนหาขโมยอีก ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
“ไม่ต้องรีบ เราจะดูกันต่อไปอีกสักหน่อย” หัวหน้าตระกูลหยวนกล่าว
เขาอยากจะรู้ว่าพวกเขาจะย้ายของไปไว้ที่ไหน
ความประทับใจที่หัวหน้าตระกูลหยวนมีต่อเหลียง หยงฉีนั้นแย่มาก ทำไมเขาถึงไม่สังเกตเห็นมันก่อนกันนะ?
เขาได้ยินมาว่าเหลียง หยงฉีถูกนายน้อยจากตระกูลหลินทุบตีมาหลายครั้ง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะสมควรได้รับมันแล้ว
เหลียง หยงฉีมองไปที่รถม้าทั้งหกคันที่เต็มไปด้วยกระสอบข้าวและรู้สึกตื่นเต้นมาก “ไปเร็ว! เราต้องรีบนำข้าวพวกนี้ออกไป”
หัวหน้าตระกูลหยวนและยามตามพวกเขาไป
“ท่านหัวหน้าตระกูลพวกเขากำลังจะออกจากเมือง”
ด้วยสถานะและตำแหน่งของเหลียง หยงฉี โดยปกติแล้วยามประจำเมืองคงจะไม่กล้าขัดขวางเขา
ในขณะที่เขากำลังจะออกจากเมืองนั้นเอง
เหลียง หยงฉีก็สังเกตเห็นว่าในความมืดภายใต้ประตูเมืองมีเงาเลือนรางสองร่างยืนอยู่ตรงนั้น
นี่มันก็ดึกมากแล้วคนพวกนี้มาจากไหนกัน?
ทำไมพวกเขาถึงไม่นอนอยู่บ้าน?
“หยุด!” มันเป็นทหารยามสองคนที่หยุดรถม้าของพวกเขา
เหลียง หยงฉีตกตะลึงและรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงสถานะและตำแหน่งของเขาแล้ว เขาจึงพูดออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กัน!? ทั้งๆที่มันดึกขนาดนี้แล้ว? แถมยังกล้าถึงขนาดมาขวางรถม้าของข้าอีก! รีบไสหัวไปให้พ้น!”
“ที่แท้ก็นายน้อยเหลียงนี้เอง” ทหารยามของตระกูลหยวนป้องหมัด “ยุ้งฉางของตระกูลหยวนถูกปล้น ดังนั้นท่านหัวหน้าตระกูลจึงสั่งให้เรามาเฝ้าที่นี่เพื่อตรวจสอบรถม้าที่วิ่งผ่านไปมา แล้วดึกดื่นป่านนี้แล้วนายน้อยคิดกำลังจะไปไหนกัน? หืม แล้วในรถม้าพวกนั้นมันมีอะไรกัน?”
เมื่อได้ยินคำถามจากอีกฝ่าย เหลียง หยงฉีจึงตื่นตระหนกเล็กน้อย
ในชีวิตนี้เขาไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่มือใหม่อย่างเขาจะประหม่า
เขารู้สึกผิดและไม่กล้าพูดเสียงดัง
“ช่างกล้านัก! คนต่ำต้อยเช่นเจ้ากลับกล้าสงสัยและตั้งคำถามกับรถม้าของนายน้อยของข้าได้ยังไง? ถ้าเจ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ! อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา” ทหารยามของตระกูลเหลียงกล่าวอย่างไม่พอใจ
พวกเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อนและสามารถโกหกหน้าตายได้
แม้แต่หัวใจของพวกเขาก็ยังไม่เต้นผิดจังหวะเลยแม้แต่น้อย
ทหารยามทั้งสองจากตระกูลหยวนไม่ได้ตื่นตระหนกและยังคงแสดงต่อไป สาเหตุมันมาจากการที่ท่านหัวหน้าตระกูลที่อยู่ข้างหลังพวกเขาต้องการให้พวกเขาสองคนตรวจสอบ
“ได้โปรดอย่าทำให้มันเป็นเรื่องยากระหว่างเราเลย พวกเราแค่อยากจะรู้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในก็เท่านั้นเอง” ทหารยามตระกูลหยวนกล่าว
เคร้ง!
ทหารยามตระกูลเหลียงเริ่มรู้สึกรำคาญ
เขาชักดาบออกมาทันที
ความหมายที่เขาจะสื่ออออกมาก็ชัดเจน
ถ้าเจ้าพูดอะไรอีก ข้าจะฟันไอโง่สองตัวอย่างพวกเจ้าซะ!
พวกเจ้าไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าพวกข้ามีกี่คน แต่กล้ามาขวางทางพวกข้าแบบนี้มันก็ไม่ได้ต่างจากการแส่หาความตายเลยไม่ใช่รึไงกัน?
เหลียง หยงฉียกมือขึ้นเพื่อหยุดพวกยามและพูดอย่างจริงจังว่า “นี่คือความลับของตระกูลเหลียง พวกเจ้าสามารถดูได้ตามต้องการ แต่หลังจากที่พวกเจ้าเห็นมันแล้วพวกเจ้าต้องตาย! เอาล่ะทีนี้ใครอยากจะดูบ้าง?”
คำพูดของเขาออกแนวข่มขู่เล็กน้อย
ที่กล่าวไปคือสิ่งที่เหลียง หยงฉีเพิ่งคิดขึ้นมาได้
พวกเขาเป็นแค่ทหารยามตัวเล็กๆแท้ๆแต่กลับกล้ามาค้นรถม้าของเขาได้ยังไง? แบบนี้มันก็ไม่ต่างจากมองหาความตายเลยไม่ใช่รึไง?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหัวหน้าตระกูลหยวนค้นพบเรื่องนี้? ข้าก็แค่ต้องบอกเขาว่าพวกยามตระกูลหยวนพยายามจะหลอกลวงข้า ดังนั้นข้าจึงสังหารพวกเขา
ถ้าเป็นกลางวันแสกๆเขาคงรู้สึกผิดอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้พระจันทร์ลอยอยู่เหนือหัวแถมรอบข้างก็ยังมืดสนิท มันจะไม่เป็นปัญหาแน่นอนถ้าหากข้าสังหารยามไปสักสองคน
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงพูดดังขึ้นมา
เสียงมันแลฟังดูคุ้นเคยมากจนเหลียง หยงฉีเกือบจะฉี่รดกางเกง
“ความลับ? งั้นก็เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ ข้าอยากจะรู้นักว่าตระกูลเหลียงจะสังหารข้ารึไม่?” มีคนเดินออกมาจากความมืดอย่างช้าๆ
ทหารยามตระกูลเหลียงทั้งสองคนถอยออกไปด้านข้างและพูดออกมาด้วยความเคารพ “ท่านหัวหน้าตระกูล”
“เชี่ย!”
เหลียง หยงฉีตกตะลึงและตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์