I Don’t Want To Defy The Heavens - ตอนที่ 54 ฟังดูเข้าท่าจริงๆ
ภายในบ้าน ณ ลานด้านหลัง
หลิน ฟานกำลังมองไปที่ดาบยาวที่แขวนอยู่บนผนัง จากนั้นเขาก็หยิบมันมาถือไว้ในมือของเขา
ขณะที่เขาสัมผัสมัน เขาก็รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย
วิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตของเขาได้ยกระดับเข้าสู่ระดับกลับสู่ความจริง ซึ่งเป็นขอบเขตสูงสุดของวิชาดาบนี้
เขาค่อยๆหลับตาลง
ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงบางอย่างดังเข้ามาในหัวของเขา มันคือ….เสียงของดาบ
ชิ้ง!
เขาฟันออกไปอย่างเงียบๆแต่ดุดันและทรงพลัง วิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตมีชื่อเสียงในด้านความรุนแรง ไม่ใช่ด้านความรวดเร็ว มันมุ่งเน้นไปที่การสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ด้วยแรงที่ไม่อาจต้านทานได้ราวกับเสือร้ายที่ลงมาจากภูเขาและสังหารทุกสิ่งที่ขวางหน้ามัน
กลับสู่ความจริง
แม้ว่าการฟันแต่ละครั้งจะดูธรรมดา แต่มันก็แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่อาจปิดกั้นได้
ด้วยเหตุผลบางอย่างมันทำให้เขานึกถึงประโยคหนึ่ง ‘เสือร้ายในตัวข้ามีกลิ่นราวกับกุหลาบ1’
วิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตเป็นเทคนิคดาบที่ดุร้าย ซึ่งมีข้อเสียที่ชัดเจนคือมันไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย หากปล่อยมันออกไปแล้วจะไม่สามารถรั้งมันกลับมาได้จนกว่าแรงที่ฟันออกไปจะหมดลง
“บางทีนายน้อยผู้นี้อาจจะเป็นอัจฉริยะด้านการบ่มเพาะจริงๆ”
หลิน ฟานพึมพำราวกับตระหนักถึงบางสิ่ง
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขายกระดับวิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตให้มาถึงระดับกลับสู่ความจริง มันจึงทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความต่าง การยกระดับครั้งนี้มันไม่ได้เพิ่มพลังให้กับวิชาของเขา แต่เป็นการขจัดข้อบกพร่องที่หลงเหลืออยู่ของวิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตออกไปเพื่อสร้างเทคนิคดาบที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ข้าแค่อยากจะเป็นนายน้อยที่ร่ำรวยพร้อมกับใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ”
“แต่ความจริงกลับตบหน้าและไม่อนุญาตให้ข้าทำเช่นนั้น”
“ในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกนอกจากเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้น และเมื่อความแข็งแกร่งของข้ามันถึงระดับที่ไม่มีใครเทียบได้แล้วเมื่อไหร่ เมื่อนั้นหากใครก็ตามที่กล้าบังอาจมารบกวนชีวิตดั่งเช่นนายน้อยผู้ร่ำรวยของข้า ข้าจะเป็นคนระเบิดหัวของมันผู้นั้นทิ้งซะ!”
เนื่องจากความคิดแบบนั้นมันผุดขึ้นมาในหัวของเขา เขาก็ต้องทำให้มันเป็นจริง
อย่างไรก็ตามการทำลายเทคนิคในวันนี้ได้เปิดโลกใหม่ให้กับเขาซึ่งดูน่าสนใจมากสำหรับเขา
เขาสามารถปฏิบัติต่อมันเป็นแผนสำรองของเขาได้ หากในอนาคตเขาลงคะแนนผิดเขาก็สามารถรีเซ็ตเพื่อเอาคะแนนของเขากลับคืนมาได้ ดังนั้นหลังจากนี้เขาจะทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการและไม่กังวลกับมันมากนัก
ตกดึก
เมืองหยูฉางเงียบสงัด แสงจันทร์ที่ส่องลงมาปกคลุมทั่วทั้งเมืองราวกับเป็นชั้นของน้ำค้างแข็ง
ณ ยุ้งฉางตระกูลเหลียง
“เชี่ย!”
เหลียง หยงฉีมองเข้าไปในยุ้งฉางด้วยความตกตะลึง ข้าวพวกนี้มันมาจากไหนกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้ตัว
เขากล้าสาบานต่อสวรรค์เลยว่าเขาไม่รู้จริงๆว่ามีข้าวพวกนี้อยู่ในยุ้งฉาง
การที่เขามาที่นี่กลางดึกไม่ใช่เพราะเขารู้ว่ามีข้าวอยู่ข้างใน แต่เป็นเพราะทัศนคติของพ่อที่มีต่อเขาในช่วงนี้มันเปลี่ยนไปและท่านก็ไม่ได้รักเขามากเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องการทำให้พ่อของเขารู้ว่าเขาทำงานหนักมากแค่ไหน
ดังนั้นเมื่อยุ้งฉางของเขาถูกปล้นเขาจึงทำเป็นกระวนกระวายนอนไม่หลับเพื่อให้พ่อของเขารับรู้ เขาออกเดินลานตระเวนรอบๆยุ้งฉางเพื่อแสดงว่าเขากำลังเป็นห่วงสถานการณ์ของตระกูล ไม่เหมือนกับใครบางคนที่ตอนนี้คงหลับสนิทโดยไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเรื่องที่ใครจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไปนั้นท่านพ่อคงจะต้องคิดให้รอบคอบ
กลับมาปัจจุบันที่ตอนนี้เขากำลังตื่นตระหนก
การที่ข้าวมาปรากฏที่ยุ้งฉางเดิมแล้วควรจะเป็นข่าวดี แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เขาคงดีใจไม่ออก
“นายน้อย นี่มัน…” ทหารยามที่ติดตามเหลียง หยงฉีมาก็ตกตะลึงเช่นกัน
ท่านไม่ได้บอกว่ายุ้งฉางของเราถูกปล้นงั้นเหรอ?
แล้วข้าวพวกนี้มันมาจากไหน?
“สมรู้ร่วมคิด ข้าได้กลิ่นการสมรู้ร่วมคิด!” เหลียง หยงฉีกลายเป็นจริงจังราวกับว่าเขาได้ค้นพบความลับบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้
ทันใดนั้นเขาก็ได้นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
เจ้าสารเลวนั่นดูเหมือนว่ามันได้วางแผนบางอย่างเอาไว้ มันชี้นำความคิดของหัวหน้าตระกูลหยวน และพยายามเตือนเขาหลายครั้งว่าเส้นทางนั้นนำไปสู่ยุ้งฉางของตระกูลเหลียง
ในที่สุดเหลียง หยงฉีก็รู้สึกตัว “ช่างโหดเหี้ยมนัก! เขาวางแผนที่จะผลักความผิดและต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างตระกูลเหลียงและตระกูลหยวน จากนั้นก็ทำตัวราวกับเป็นชาวประมงที่เก็บเกี่ยวทุกอย่างไป ช่างชั่วร้ายเสียจริง!”
‘ความโกรธ +222’
ในตอนนั้นเองเมื่อเหลียง หยงฉีคิดไปถึงจุดที่น่ากลัว เขาก็ระเบิดความโกรธออกมาโดยที่เขาให้คะแนนถึง 200 คะแนนแก่หลิน ฟานทันที
แม้คนอื่นจะไม่รู้ว่าใครทำ แต่เขารู้
น่าเสียดายที่แม้ว่าเขาจะบอกกับคนอื่นถึงความจริงข้อนี้ แต่ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
ส่วนที่เขาสงสัยที่สุดคือเขาก็อุตส่าห์ตะโกนออกไปแล้วว่าหลิน ฟานเป็นคนขโมย ทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อข้ากัน?
สายลมพัดพาความหนาวเข้ามา
ร่างกายของเหลียง หยงฉีสั่นสะท้าน อากาศหนาวทำให้เขากลับมารู้สึกตัว จากนั้นเขาก็หันไปทางด้านประตูยุ้งฉางที่เปิดกว้างและตะโกนออกมาทันที “เจ้ามัวรออะไรอยู่ รีบปิดมันเร็วเข้า!”
ยามตอบสนองและรีบปิดประตูยุ้งฉางอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้โง่และรู้ว่านายน้อยกังวลเรื่องอะไร
มันมีคนพยายามโยนความผิดมาให้ตระกูลเหลียงของพวกเขา
ห่างออกไปในทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงามมีดวงตาสองคู่กำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ภายในยุ้งฉาง
“ข้าจะกลับไปรายงานเรื่องนี้แก่ท่านหัวหน้าตระกูล ส่วนเจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อไป”
ทันใดนั้นคนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ภายในยุ้งฉาง
เหลียง หยงฉีกำลังมองไปที่ข้าวตรงหน้า โดยไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะพูด แต่เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรดี
เสียงในหัวของเขาบอกให้เขารีบมุ่งหน้ากลับไปแจ้งพ่อของเขาให้จัดการเรื่องนี้
แต่เขาก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างมาหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
มันคือความโลภนั่นเอง
“เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำยังไงดี?” เหลียง หยงฉีถามออกมา
ทหารยามก้มหน้าของเขาลง “นายน้อยขอรับ ข้าไม่กล้ากล่าวสิ่งนั้น”
“ไม่เป็นไรเพียงแค่เจ้าพูดออกมา ข้าสัญญาว่าจะไม่ลงโทษเจ้า” ตอนนี้เหลียง หยงฉีต้องการหาความเห็นที่สนับสนุนเขา
ส่วนที่มีเหตุผลของเขาบอกว่าข้าวพวกนี้ไม่ได้ถูกตระกูลเหลียงขโมยมา แต่เป็นของที่หลิน ฟานส่งมา ดังนั้นการที่พวกเขาเก็บมันไว้กับตัวจะกลายเป็นหายนะ
ทหารยามกล่าว “นายน้อยข้าว่าต้องมีใครบางคนทำสิ่งนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ตระกูลหยวนค้นพบ แต่อย่างไรก็ตามวันนี้คนของตระกูลหยวนไม่ได้มาที่นี่ซึ่งหมายความว่าเป้าหมายของคนร้ายนั้นล้มเหลว”
“ถ้าพูดกันตามหลักแล้ว ข้าวพวกนี้เป็นของที่มีปัญหาและเราควรจะกำจัดมันทันที”
“แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นโอกาสดีสำหรับนายน้อยเช่นกัน”
เหลียง หยงฉีรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ยามคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เนื่องจากนายน้อยต้องการให้ข้าพูด ข้าก็ทำได้แค่พูดอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น เมื่อเร็วๆนี้นายน้อยคนโตได้แสดงความสามารถของเขาให้ทุกคนได้เห็น ส่วนมุมมองของท่านหัวหน้าตระกูลที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน และจากสถานการณ์ข้างต้นดูเหมือนว่านายน้อยคนโตจะได้เริ่มคุกคามตำแหน่งของท่านเสียแล้ว หากท่านไม่รีบลงมือทำอะไรสักอย่าง ข้าเกรงว่าท่านคงจะต้องเสียตำแหน่งของท่านไป”
“ส่วนโอกาสที่ข้ากำลังพูดถึงคือข้าวเหล่านี้ ถ้าหากเราสามารถขนมันออกไปได้ จากนั้นก็ทำเป็นว่าเราเป็นคนพบมัน เมื่อนั้นท่านจะไม่เพียงแต่จะอยู่ในใจของท่านหัวหน้าตระกูลมากขึ้น แต่มันจะไม่มีใครมาสั่นคลอนตำแหน่งของท่านได้”
เหลียง หยงฉีครุ่นคิด และดูเหมือนเขาจะถูกล่อลวงเล็กน้อย
เพราะเมื่อไม่นานมานี้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
ทุกอย่างมันเคยดี แต่จู่ๆความรักที่พ่อมีต่อเขามันก็ลดน้อยลงซึ่งทำให้เขารู้สึกกดดันมาก
ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างเหลียง อี้ชูคงจะเหยียบหัวเขาขึ้นไป
“อืม มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี แต่ข้าว่ามันอันตรายไปหน่อย” เหลียง หยงฉีรู้สึกกลัวเล็กน้อย
ทหารยามคนเดิมกล่าว “นายน้อยโอกาสที่ยิ่งใหญ่มักมาพร้อมกับอันตรายเสมอ แต่ตราบใดที่ท่านทำมันสำเร็จท่านก็จะได้รับกำไรมหาศาล”
“ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วดังนั้นมันน่าจะไม่มีสังเกตเห็น ตราบใดที่นายน้อยเห็นด้วย ข้าสามารถหาพี่น้องที่ไว้ใจได้เพื่อขนมันออกไป จากนั้นท่านก็ค่อยทำเป็นออกไปค้นหามันในวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงตอนนั้นท่านก็มั่นใจได้เลยว่าท่านจะเป็นที่หนึ่งในใจของท่านหัวหน้าตระกูลอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดจบยามก็ยกนิ้วให้เขา คำพูดของเขาทำให้เหลียง หยงฉีถูกล่อลวง
ใช่
มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
หากไม่มีใครพบ และเขาทำมันได้สำเร็จ เขาก็จะได้รับผลประโยชน์มากมายจากครั้งนี้
“ไม่เลว ไม่เลว ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะฉลาดขนาดนี้” เหลียง หยงฉีตบไหล่ของยามคนนั้น
ทหารยามยิ้มออกมาอย่างเจ้าเลห์ “นายน้อย ท่านเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเหลียงมากที่สุด ดังนั้นอนาคตของเราก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ข้าไม่ได้หวังอะไรมากนอกจากได้เป็นมือขวาของท่านและช่วยท่านพิชิตเมืองหยูฉางก็เท่านั้น”
“ฮ่าฮ่า” เหลียง หยงฉียิ้ม เขาเชื่อใจชายคนนี้
เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำมันสมเหตุสมผล
หลิน ฟานเจ้าไม่ได้หวังให้มันเป็นแบบนี้ใช่ไหม? โชคดีที่หัวหน้าตระกูลหยวนไม่ฉลาดพอ ไม่งั้นถ้าหากเขาเข้ามาที่นี่ในวันนี้ แผนของเขาอาจจะสำเร็จไปแล้ว
แต่ช่างน่าเสียดายที่สวรรค์อยู่ข้างข้า เหลียง หยงฉีผู้นี้
และข้าก็ยังมีทหารยามที่เป็นอัจฉริยะอยู่ข้างกาย เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเจ้าจะชนะข้าได้ยังไง?
นี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของข้า!
……………
‘เสือร้ายในตัวข้ามีกลิ่นราวกับกุหลาบ1’ – เสือหมายถึงอำนาจ ส่วนกุหลาบใช้แทนความอ่อนโยน การมีทั้งสองอย่างนี้หมายถึงการมีส่วนที่ดีที่สุดของทั้งสองทาง ดังนั้นคนที่ใช้สำนวนนี้ส่วนมากมักจะใช้เพื่ออธิบายตนเอง (ถ้ามีคนใช้ประโยคนี้เราสามารถมั่นใจได้เลยว่าเขากำลังหลงตัวเอง)