I Don’t Want To Defy The Heavens - ตอนที่ 47 ข้าคือเหยื่อ
กลางคืน
เหลียง หยงฉีนอนไม่หลับเพราะเขารู้สึกเหมือนมีหนามคอยทิ่มแทงอยู่ในใจ
วิกฤตกำลังใกล้เข้ามา
เขาพบว่าพี่ชายของเขาเปลี่ยนไปและต้องการแข่งขันกับเขาเพื่อความโปรดปราณของท่านพ่อ
ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะแข่งกับข้าเพื่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูล
หลังจากที่คิดและพลิกตัวไปมาเขาก็พบว่ามันยากที่เขาจะหลับ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นนั่งและขมวดคิ้ว
“พี่ใหญ่ ถ้าท่านอยากจะสู้กับข้าจริงๆก็อย่าหาว่าข้าโหดร้ายละกัน” เหลียง หยงฉีตัดสินใจที่จะสู้เป็นตายกับพี่ชายของเขา ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเหลียงต้องตกเป็นของเขาเท่านั้น
ด้วยเหตุผลบางอย่างเขากลับอิจฉาหลิน ฟาน
เนื่องจากหลิน ฟานเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลหลิน
เขาจึงไม่มีพี่น้องที่ค่อยสู้กับเขาเพื่อแย้งอำนาจ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
เขาคิดแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว
‘ความโกรธ +66’
หลิน ฟานกำลังหลับอยู่บนเตียงขณะที่ความโกรธลอยมาหาเขาจากท้องฟ้า
เช้าตรู่
แสงแดดสาดส่องเข้ามา
คืนนี้นักฆ่าไม่ได้มามันจึงทำให้เขาหลับสบายมาก เอวและขาของเขาก็ไม่เจ็บ ส่วนร่างกายก็เต็มไปด้วยพลังงาน
โกวชิที่รออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเมื่อได้ยินเสียงข้างในบ้าน เขาจึงรีบเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดทันที
หลิน ฟานคุ้นเคยกับชีวิตที่หรูหราเช่นนี้แล้ว
มีคนรับใช้ค่อยเสิร์ฟอาหาร ทำความสะอาด และแม้แต่แต่งตัวให้
“นายน้อย ดูเหมือนว่าสีหน้าของท่านจะดูดีกว่าเมื่อวานมาก” โกวชิหวีผมของหลิน ฟานและพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะเมื่อวานข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเมื่อกลับมาข้าจึงหลับเป็นตาย ไปเร็ว เราไปหาเรื่องสนุกๆทำกันเถอะ”
ตอนนี้หลิน ฟานรู้สึกมีพลังราวกับมันเป็นการระเบิดพลังครั้งสุดท้ายก่อนตาย
แต่มันก็ช่วยไม่ได้
ในเมื่อเขามีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว เขาจะต้องไขว่คว้าและทำงานไปเพื่ออะไร?
การที่คนอื่นต้องดิ้นรนเพราะพวกเขาไม่มีอะไรเลย พวกเขาไม่มีทั้งเงินและอำนาจ แต่เขาแตกต่าง เพราะเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น เขามีทั้งเงินและอำนาจ ชีวิตของเขาดีมากจนทำให้เขาอ่อนแอ
สิ่งที่เขาทำในทุกวันมันไม่ใช่อะไรเลยนอกจากกินและนอนรอความตาย ซึ่งสาเหตุที่เขาต้องออกไปหาอะไรทำมันมาจากการที่เขาต้องการเพิ่มสีสีนให้กับชีวิตที่น่าเบื่อของเขา
เขาจะปล่อยตระกูลเหลียงไปงั้นเหรอ?
แน่นอนว่าไม่ เพราะเขายังหยามพวกเขาไม่พอ
นอกจากนี้ยังมีตระกูลหยวนอีก แต่เขาเลือกให้ความสำคัญกับตระกูลเหลียงก่อน มันนับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาที่หลิน ฟานไม่ได้เลือกตระกูลเหลียงเป็นเป้าหมาย
สักวันยุ้งฉางของตระกูลหยวนจะต้องถูกปล้นแน่นอน เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้นเอง
ตอนนี้พวกเขายังระวังตัวกันอยู่หากเขาทำอะไรตอนนี้มันจะถูกตระกูลหยวนพบอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวนะ!”
ในตอนนั้นจู่ๆหลิน ฟานก็คิดบางอย่างได้ แม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นพวกเขาจะทำอะไรได้? ก็ในเมื่อเขาไม่ได้ไปที่เกิดเหตุด้วยตนเอง
บ่อยครั้งที่ความประหลาดใจนั้นสวยงามกว่าความตกใจ
ลงมือ เขาต้องลงมือในคืนนี้
“เสร็จแล้วขอรับนายน้อย” โกวชิที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้วยืนอยู่ด้านข้างของเขา
หลิน ฟานกลับมารู้สึกตัว เพียงช่วงเวลาสั้นๆเขาก็สามารถวางแผนสิ่งที่จะทำในวันนี้ได้ทั้งหมด “ไปเดินเล่นกันเถอะ ข้าจะไปเรียกลูกพี่ลูกน้อง”
แม้ว่าเขาจะแค่อยากเดินเล่นในเมืองโดยไม่ก่อปัญหา แต่เขาก็ยังต้องการพาลูกพี่ลูกน้องไปด้วยเผื่อเกิดการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เพราะเขาจะได้รับอันตรายถ้าหากเขาเจอเข้ากับพวกไร้ยางอายหรือคนที่เขาทำให้โกรธ
“ขอรับนายน้อย”
บนถนน
หลิน ฟานและอีกสองคนเดินไปรอบๆขณะที่กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปทั่ว มีทั้งของทอด เต้าหู้และอีกมากมายที่ทำให้คนหิว
เขาเดินเข้าไปที่แผงลอยหนึ่งและสั่งแป้งทอด
เจ้าของร้านจำหลิน ฟานได้ทันที เขารู้สึกตื่นเต้นเละยืนกรานว่าจะไม่เก็บเงิน
แต่สำหรับหลิน ฟานแล้วเขาเป็นคนกินแล้วไม่จ่ายงั้นหรือ?
เขาจึงบอกให้โกวชิจ่ายเงินและเดินออกไปทันที
เจ้าของร้านดีกับเขามาก
มันจึงทำให้เขามั่นใจมากว่าตอนนี้เขาค่อนข้างมีชื่อเสียง ไม่เลว ไม่เลวเลย
ในตอนนั้นเอง ก็ได้มียามหลายคนเดินลาดตระเวนบนท้องถนนอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับดาบของพวกเขาราวกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“นายน้อยพวกเขาเป็นทหารยามของตระกูลเหลียง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังหาคนที่ขโมยข้าวไป” โกวชิกระซิบ
จริงๆแล้วเขารู้สึกว่าการปล้นยุ้งฉางของตระกูลเหลียงต้องเกี่ยวข้องกับนายน้อย
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยแน่ใจ แต่อย่างน้อยมันก็มีความเป็นไปได้มากที่สุด
หลิน ฟานยิ้ม หาขโมยงั้นเหรอ? พวกเขาตาบอดรึเปล่า? ข้าก็อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้วนี่ไงทำไมไม่รีบมาจับข้าละ?
แม้ว่าพวกเขาจะพลิกเมืองหามันก็ไร้ประโยชน์
การเคลื่อนไหวของตระกูลเหลียงในครั้งนี้นั้นก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่
เมืองหยูฉางเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินทันที
พวกชาวบ้านไม่กล้าเสี่ยง ใครจะรู้บางทีพวกเขาอาจจะจับใครสักคนมาเป็นแพะรับบาปรองรับอารมณ์ของพวกเขา นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขารีบออกห่างพวกยามทันทีที่เห็น
ตอนเที่ยง ณ ศาลาเสาวธารเมามาย
เมื่อหลิน ฟานเข้ามาในร้านเขาก็พบเข้ากับเหลียง หยงฉีที่กำลังดื่มอยู่คนเดียว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย
“ไอหยา นายน้อยสามของตระกูลเหลียงช่างเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสียจริง ยุ้งฉางของตระกูลถูกปล้น แต่เจ้ากลับมีอารมณ์มาดื่มที่นี่ได้ ไม่เลวเจ้าควรทำตัวเช่นนี้เพื่อเดินออกจากเงามืดและต้อนรับชีวิตที่สวยงาม” หลิน ฟานยิ้ม
“ผู้จัดการนำไวน์ชั้นดีและอาหารรสเลิศมา”
ผู้จัดการตกใจกลัว
เขากลัวว่านายน้อยทั้งสองจะทะเลาะกัน และทำลายศาลาเสาวธารเมามาย ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆเขาคงร้องไห้ไม่ออกแน่
เมื่อเหลียง หยงฉีได้ยินเสียงเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดวงตาคู่นั้นของเขาราวกับจะกลืนหลิน ฟานลงไปทั้งตัว
“หลิน ฟาน ทั้งหมดมันเป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม? ใช่ไหม?!” เขาดื่มไปไม่มากแต่ก็เมาเล็กน้อย
เมื่อเขาเห็นหลิน ฟาน ความเมาที่เดิมมีอยู่เล็กน้อยทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งสูงขึ้นทันที
ตอนนี้เขารู้สึกรำคาญมาก
เขาเคยคิดมาตลอดเลยว่าพี่ชายของเขาเสียความไว้ใจของพ่อไปทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อคืนนี้เขากลับสังเกตเห็นว่าความคิดของพ่อที่มีต่อพี่ชายของเขาเปลี่ยนไป ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอันตรายอย่างมาก
ในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในอาคารเลยนอกจากเหลียง หยงฉีและพวกเขาสามคน
“ใช่ ข้าเป็นคนทำ” หลิน ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหลียง หยงฉีตกตะลึง แม้ว่าเขาจะเมาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าหลิน ฟานจะยอมรับมันได้เร็วขนาดนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “เจ้ายอมรับมันเองนะ!”
“อา ข้ายอมรับแล้วเจ้าจะทำไม?” หลิน ฟานกล่าว
ที่นี่มันไม่มีใครอยู่เลยและเขาก็แค่พูดมันออกมาเอง
ที่สำคัญเหลียง หยงฉีก็คิดมาตลอดว่าอยากจะให้เขาพูดแบบนี้ ในเมื่อรู้แบบนั้นแล้วทำไมเขาจะไม่ให้ความหวังเขาเสียหน่อยละ?
การบอกว่าเขาเป็นคนทำมันไม่ได้ทำให้เขาเสียอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แถมเขายังสามารถทำให้เหลียง หยงฉีมีความสุขกับตัวเองไปได้สักพัก
เขาชอบช่วยเหลือผู้อื่นและมีความสุขกับการได้ทำแบบนั้น นี่คือสิ่งดีงามที่ต้องสืบต่อไป
ตามที่คาดไว้จากเหลียง หยงฉีเขาเริ่มตื่นเต้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เนื่องจากเขาลุกขึ้นเร็วเกินไปมันจึงทำให้อาหารและไวน์บนโต๊ะกระจัดกระจาย “เจ้ากล้ายอมรับหรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนขโมยข้าวจากตระกูลเหลียงของข้าไป?”
“ใช่ข้าทำ แม้ว่าพ่อของเจ้าจะมา ข้าก็ยังยอมรับว่าข้าเป็นคนทำ” หลิน ฟานยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอย่างใจเย็นจากนั้นก็พูดออกมาว่า “งั้นตอนนี้เจ้าก็ต้องการจะจับข้างั้นรึ?”
ดวงตาของเหลียง หยงฉีกลายเป็นสีแดง “ดีจริงๆ! ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยอมรับมันด้วยตัวเอง ไปเร็ว! ไปกับข้า! ข้าอยากจะรู้นักว่าตระกูลหลินของเจ้าจะแก้ตัวยังไง!”
เมื่อเขาพูดจบเขาก็เดินเข้ามาคว้าแขนของหลิน ฟาน
หลิน ฟานหันกลับมาอย่างใจเย็น ”ลูกพี่ลูกน้องข้ากำลังถูกทำร้าย! ทำไมเจ้าถึงยังยืนงงอยู่ตรงนั้น?”
โจว เชียงเหมาเชื่อลูกพี่ลูกน้องและจำได้ว่าเขาต้องฟังให้จบประโยคก่อน ดังนั้นมันจึงทำให้เขาตั้งใจฟัง
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาต้องการให้เขาทุบตีผู้อื่น และเขาก็จะไม่ปล่อยให้เป้าหมายหนีไป
ปัง!
โจว เชียงเหมาเตะออกไปอย่างแรง จากนั้นเหลียง หยงฉีที่ถูกเตะก็ล้มลงไปกับพื้นส่วนโต๊ะตรงหน้าของเขาก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ผู้จัดการที่กำลังคิดเงินอยู่ด้านล่างเมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายเขาก็หน้าซีดทันที
“ไปที่ตระกูลหลินและเหลียงแล้วบอกพวกเขาว่านายน้อยทั้งสองกำลังสู้กัน”
“แล้วมัวรออะไรอยู่เล่า? รีบไปเร็วเข้า!”
ภายในร้าน
หลิน ฟานกำลังส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ นี่ข้ารังแกเขาไปกี่ครั้งแล้ว? แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างดูเหมือนว่าเขาจะไม่เบื่อเลย
บางทีความสดใหม่มันอาจจะยังไม่หายไป
ความแข็งแกร่งของเหลียง หยงฉีไม่นับว่าเป็นอะไรเลยเพราะเขาอยู่ในขั้นสามเท่านั้น
แม้แต่ตัวเขาในตอนนี้เองก็ยังสามารถบดขยี้เขาได้
แต่ในฐานะนายน้อยที่ร่ำรวย เขาจะลงมือเองได้ยังไงเพราะมันเป็นการกระทำของพวกไม่มีคลาส
โจว เชียงเหมากดเหลียง หยงฉีลงกับพื้นจากนั้นก็ต่อยเขาจนทำให้อีกฝ่ายแข็งค้าง
“ลูกพี่ลูกน้องเจ้าต้องตบเขาที่ใบหน้า อย่าโดนอวัยวะภายในเพราะเดี๋ยวเขาจะตายเอา” หลิน ฟานกล่าว
เหลียง หยงฉีพยายามสู้กลับ “หลิน ฟานข้าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้าอีก…อ๊ากก!!”
หลังจากนั้นไม่นาน ณ ศาลาเสาวธารเมามาย
หลิน วานยี่และหัวหน้าตระกูลเหลียงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน พวกเขาทั้งสองสบตาและพยักหน้าให้กัน
ทั่วทั้งร้านเงียบลงทันทีเมื่อทั้งสองเดินขึ้นบันไดไป สิ่งแรกที่หลิน วานยี่เห็นคือลูกชายของเขาที่กำลังดื่มไวน์อย่างสบายๆ แต่เหลียง หยงฉีกลับนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับร้องไห้ออกมาด้วยใบหน้าที่บวมเป่ง
“ลูกสาม!” ใบหน้าของหัวหน้าตระกูลเหลียงกลายเป็นน่ากลัว เขาหันหน้ากลับมาและพูดว่า “นายน้อยหลินเจ้าทำเกินไปแล้ว!”
เหลียง หยงฉีจับมือพ่อของเขา “ท่านพ่อ เขายอมรับว่าเขาเป็นคนขโมยข้าว!”
หลิน ฟานตกใจ แก้วไวน์ในมือของเขาตกลงไปบนพื้นและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ “นายน้อยสาม ข้าจะไม่หยุดถ้าเจ้าอยากจะกินขี้ แต่เจ้าไม่สามารถพูดคำโกหกได้เช่นนี้ เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า!”
“ท่านพ่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ข้าออกมาเมื่อตอนเที่ยงและเกิดหิวขึ้นมา ข้าจึงมาที่นี่เพื่อหาอะไรกิน แต่ข้ากลับพบนายน้อยเหลียงที่กำลังดื่มอยู่คนเดียว และดูเหมือนว่าเขาจะดื่มไปค่อนข้างมากมันจึงทำให้เขาเมา จากนั้นเมื่อเขาเห็นข้า เขาก็บอกกับข้าว่าข้าเป็นคนขโมยข้าวของเขาไป มิหนำซ้ำเขายังด่าข้าว่าข้าเป็นเจ้าสารเลวและต้องการสู้กับข้าทันทีอีก”
หัวของหลิน วานยี่แทบระเบิดออกมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?
เขาไม่มีความสามารถอื่นใดนอกเหนือจากการใส่ความ
เหลียง หยงฉีโกรธมากจนอยากจะกระอักเลือดจากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “หลิน ฟานเจ้าสารเลว!”
“ท่านพ่อท่านเห็นไหม? เขาเรียกข้าว่าเจ้าสารเลวอีกแล้ว! ถ้าข้าเป็นเจ้าสารเลวแล้วท่านละ? เพื่อนคนนี้กล้าหยาบคายต่อหน้าท่าน ใครจะรู้ว่าเขาพูดอะไรบางเมื่อเขาอยู่ลับหลังท่าน” หลิน ฟานพูด
ใบหน้าของหัวหน้าตระกูลเหลียงแย่ลงเขากำหมดและพูดออกมาว่า “พี่หลินนี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันเป็นเพียงแค่ความขัดแย้งของเด็กๆเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่”
“เดี๋ยวก่อน” หลิน ฟานกล่าว “หัวหน้าตระกูลเหลียงข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าท่านอยากจะบอกว่าเขายังเด็กข้าก็โอเค แต่ได้โปรดอย่าเหมารวมข้าไปกับเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นพวกชอบอ่านหนังสือและไม่เคยชอบรังแกผู้อื่น ข้าจะไม่ลดตัวเองลงไปเล่นกับเด็ก แต่ถ้าเขาไม่ใช่เด็ก ท่านก็ต้องให้คำอธิบายกับข้า”
ความโกรธที่หัวหน้าตระกูลเหลียงมีต่อหลิน ฟานเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เขามองไปที่ลูกสามด้วยความผิดหวัง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกสามที่เขาหวังไว้สูงจะไปเสียรู้ให้กับเจ้าขยะจากตระกูลหลิน เขาต้องโง่ขนาดไหนกัน?
“เอาล่ะเรามาจบเรื่องนี้กัน” หลิน วานยี่กล่าว
อ่านหนังสือบ้าบออะไรกัน
หลิน ฟานพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ตั้งแต่ที่ท่านพ่อพูดแบบนั้นงั้นก็ช่างมันเถอะ ข้าจะไม่เอาเรื่องกับเขา แต่อย่างไรก็ตามนายน้อยเหลียงต้องจ่ายเงินเรื่องทำลายร้านอาหาร”
หัวหน้าตระกูลเหลียงป้องหมัดไปทางหลิน วานยี่และกล่าว “ตามที่นายน้อยกล่าว เราจะชดเชยเรื่องร้ายอาหารเอง”
เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วิเดียว เพราะถ้าเขาอยู่นานกว่านี้เขาต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน
เจ้าเด็กตระกูลหลินเป็นพวกคนพาล
หลังจากที่ทุกคนออกไป
“รู้สึกดีไหม?” หลิน วานยี่กล่าว
หลิน ฟานทำตัวไม่ถูก “ท่านพ่อข้าเป็นเหยื่อแล้วข้าจะรู้สึกดีได้อย่างไร?”
หลิน วานยี่เย้ยหยันอย่างเย็นชา “เชียงเหมา ข้าขอแนะนำเจ้าอย่างหนึ่ง ข้าว่าหลังจากนี้เจ้าควรอยู่ห่างจากลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเสียดีกว่า”
“ขอรับท่านลุง”